บทที่ 205: ทั้ง 2 มีใจให้กัน

-A A +A

บทที่ 205: ทั้ง 2 มีใจให้กัน

“ยุติธรรม?” เซียวถังอี้ยังคงยิ้มไม่หุบ “ข้าไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลย”

มันเป็นเรื่องดีมากแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เอาเปรียบคนอื่น แต่เจ้าตัวเล็กนี่กลับมาพูดเรื่องความยุติธรรมกับเขา

“ข้าเข้าใจแล้ว” มู่ไป๋ไป่ปัดมืออีกคนออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยถูกท่านหลอกมาก่อนสักหน่อย”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้วพร้อมกับคิดว่าตนเคยไปหลอกเจ้าเด็กนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

ไม่สิ เด็กน้อยคนนี้ดูเหมือนจะใจกล้ามากยิ่งขึ้นยามที่อยู่ต่อหน้าเขา

การที่นางไม่เรียกเขาว่าเสด็จอานั้นเขาไม่ถือสา แต่การที่นางมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไรนั้นไม่น่าให้อภัยยิ่งนัก

เซียวถังอี้กำลังคิดว่าจะสั่งสอนมู่ไป๋ไป่สักหน่อย แต่จู่ ๆ มู่จวินเซิ่งก็เดินเข้ามา

“เสด็จอา หลังจากที่หารือกับกุนซือมู่หรงแล้ว เราตัดสินใจจะลงมือในคืนนี้” ขณะนี้ใบหน้าหล่อเหลาของมู่จวินเซิ่งดูจริงจังมาก

มู่ไป๋ไป่รู้สึกว่าพี่ชายคนรองของเธอแตกต่างไปจากปกติอย่างสิ้นเชิงในทุกครั้งที่เขาพูดถึงธุระทางทหาร

“เจ้าจะลงมือด้วยตัวเองหรือ?” เซียวถังอี้ครุ่นคิดเล็กน้อย “มันอันตรายเกินไป”

“แต่ฝีมือของกระหม่อมดีที่สุดในกองทัพ” มู่จวินเซิ่งอธิบายต่อไปว่า “ไม่มีใครในกองทัพสามารถเทียบกระหม่อมได้ในเรื่องวิชาตัวเบา”

ครั้งนี้เขาจะไปที่แคว้นหนานซวนเพื่อช่วยคน มันเป็นการลักลอบเข้าไปภายในค่ายทหาร ดังนั้นเขาจึงเลือกเฉพาะคนที่มีวิชาตัวเบาที่เก่งที่สุดเท่านั้น

“พี่รอง บางทีวิชาตัวเบาของท่านอาจจะดีที่สุดในกองทัพ แต่ข้าคิดว่าตอนนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป” มู่ไป๋ไป่ขัดพี่ชายขึ้นมาทันที “ท่านลืมอวี้เซิ่งไปแล้วหรือ?”

เธอเคยสัมผัสวิชาตัวเบาของชายคนนั้นตอนที่อยู่ในวังหลวง

นั่นคือคนที่หลบซ่อนตัวได้ไร้ร่องรอยอย่างแท้จริง

“อวี้เซิ่ง?” มู่จวินเซิ่งตกตะลึง ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาจะลืมอีกฝ่ายไปแล้วจริง ๆ

“ใช่” มู่ไป๋ไป่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถึงอย่างไรครั้งหนึ่งเขาก็เป็นถึงนักฆ่าอันดับ 1”

 ในเวลาเดียวกัน อวี้เซิ่งที่กำลังนั่งอยู่ข้างกองไฟก็จามออกมา

เจียงเหยาซึ่งกำลังนอนเอามือก่ายหน้าผากค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาถามว่า “ท่านเป็นหวัดหรือ?”

“ไม่ใช่!” ชายหนุ่มยิ้มอย่างไม่แยแส จากนั้นก็นำมันย่างออกจากกองไฟมาปอกเปลือกแล้วส่งให้อีกคน “นี่ รีบกินตอนร้อน ๆ สิ”

หมอสาวเหลือบมองอีกฝ่ายก่อนจะยกยิ้มมุมปาก “ทำไมท่านถึงดีกับข้าขนาดนี้?”

พวกเขาทั้ง 2 ใช้เวลาร่วมกันในเมืองชิงหยางมานานกว่า 10 วัน จากคนแปลกหน้าในตอนแรกก็ค่อย ๆ คุ้นเคยกันมากขึ้น

เจียงเหยาไม่ใช่คนโง่ นางสัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่ที่โง่เขลาของชายคนนี้ที่มีต่อนาง

“ขะ-ข้า… ข้าดีกับเจ้าหรือ?” อวี้เซิ่งพูดตะกุกตะกักอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกมาว่า “ข้าดีกับเจ้าขนาดนั้นเลยหรือ?”

“...” เจียงเหยาถอนหายใจ นางช่างโง่เง่าจริง ๆ ที่คิดไปเช่นนั้น “ลืมมันไปเสียเถอะ ถือว่าข้าไม่ได้พูดเรื่องนี้ก็แล้วกัน ส่งมันมาให้ข้าสิ”

“อืม” นักฆ่าหนุ่มยื่นมันเผาที่เย็นลงแล้วให้อีกฝ่าย จากนั้นก็หันไปย่างข้าวโพดต่อ

เมื่อหญิงสาวมองดูแผ่นหลังที่ตั้งตรงของชายหนุ่ม นางก็ไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “ท่านไม่กินหรือ?”

“หา? อ๋อ… ข้าไม่หิว” อวี้เซิ่งส่ายหัวตอบ “เจ้ากินให้อิ่มก่อนเถอะ”

 การกินอาหารของเจียงเหยานั้นเป็นเรื่องใหญ่ เขาไม่อยากทำให้ใครอดอาหารตายโดยไม่ตั้งใจเหมือนกับที่เขาทำในเมืองชิงหยางเมื่อไม่กี่วันก่อน

เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นตอนที่พวกเขาเดินทางไปถึงเมืองชิงหยาง

หลังจากที่ได้รู้ว่าซุนเต๋อเซิ่งกักคนที่ถูกพิษเอาไว้ในที่เดียวกัน เขากับเจียงเหยาก็แยกกันไปคนละทาง โดยที่คนหนึ่งไปจัดการกับพวกเจ้าหน้าที่ที่อ่อนแอของตาเฒ่าซุน ส่วนอีกคนตรงไปยังเรือนที่กักขังคนที่ถูกพิษเอาไว้

แม้ว่าวิธีการรักษาอาการนั้นจะไม่ยากสักเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่ได้สบายมากนัก

หมอสาวต้องดูแลผู้ป่วยหลายคนเพียงลำพังโดยที่หมอคนอื่น ๆ ไม่สามารถช่วยนางได้ นางจึงทำได้เพียงลงมือด้วยตัวเองเท่านั้น

ทางด้านอวี้เซิ่งในตอนแรกเขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเจียงเหยา จนกระทั่งวันหนึ่งนางเป็นลมหมดสติไปในขณะที่กำลังรักษาผู้ป่วย

จากนั้นชายหนุ่มก็รู้ว่าอีกฝ่ายแทบไม่ได้กินอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเลยตั้งแต่ที่มาถึงเมืองชิงหยาง 

แล้วอวี้เซิ่งก็รู้สึกโกรธมาก เขาโกรธที่เจียงเหยาไม่ใส่ใจสุขภาพร่างกายของตน อีกทั้งเขายังโกรธตัวเองที่ไม่ดูแลนางให้ดี

ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนอาสาที่จะเดินทางมากับเจียงเหยาเพราะเขาเคยได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับนางในยุทธภพ เขาอยากจะรู้ว่าสตรีแบบไหนที่ถูกกล่าวขานเช่นนั้น

หลังจากที่ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันสักพัก เขาก็ค่อย ๆ ค้นพบว่าเจียงเหยานั้นไม่ได้ต่างจากผู้หญิงทั่วไป

หากจะมีอะไรพิเศษเกี่ยวกับนาง ก็คงจะเป็นความเมตตาที่หมอคนหนึ่งควรมี

ตราบใดที่นางสามารถรักษาโรคและช่วยเหลือผู้คนได้ นางก็ไม่ได้สนใจชีวิตของตัวเองด้วยซ้ำ

พออวี้เซิ่งคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว 

“ท่านเองก็ควรจะกินอะไรบ้างเหมือนกัน” เจียงเหยาแบ่งมันเผาครึ่งหนึ่งแล้วโยนไปให้ชายที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ

นักฆ่าหนุ่มที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็รู้สึกเห่อร้อนไปทั่วหน้า

ขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ย

“ฮ่า ๆๆ หากคนที่ถูกท่านฆ่าไปก่อนหน้านี้เห็นว่าท่านซื่อบื้อมากเพียงใด พวกเขาคงจะโกรธจนคลานออกมาจากหลุมศพ” อวี้ฉีถือไหสุราอยู่ไม่ไกล แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ ถ้าไม่รังเกียจ ข้าขอร่วมวงด้วยได้หรือไม่?”

เจียงเหยาชะงักไปทันที “เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”

“อวี้ฉี เลิกล้อเล่นได้แล้ว!” อวี้เซิ่งเหลือบมองหญิงสาวอย่างเป็นกังวล “พี่สะใภ้อะไรกัน! ถ้าเจ้ายังพูดเรื่องไร้สาระอีก ระวังจะไม่มีปากใช้!”

“นี่ข้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระเช่นนั้นหรือ?” อวี้ฉีกระดกไหสุราดื่ม ก่อนจะหันมามองสลับไปมาระหว่างชายหญิงทั้ง 2 ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าคิดว่าพวกท่านทั้ง 2 ต่างมีใจให้กัน แล้วข้าพูดผิดตรงไหน?” 

ขณะนี้แก้มเนียนขาวของเจียงเหยาเปลี่ยนเป็นสีแดงจาง ๆ ภายใต้แสงไฟ

“ก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าเจ้าเข้าใจผิด!” อวี้เซิ่งก้าวออกไปขวางอยู่ตรงหน้าหมอสาวพร้อมกับวาดขาออกไปจะเตะน้องชายจอมปากมากสักที แต่คู่ต่อสู้ก็หลบไปได้ 

อวี้เซิ่งไม่ยอมแพ้รีบไล่ตามอีกฝ่ายไปทันที

จากนั้นพี่น้องฝาแฝดก็เริ่มต่อสู้กันอยู่ข้างกองไฟ

ทางด้านเจียงเหยาเฝ้าดูอยู่เงียบ ๆ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วกลับเข้าไปในกระโจม 

ตอนนี้นางไม่อยากเห็นคนโง่ทะเลาะกัน

“นางก็ไปแล้ว ทำไมท่านถึงยังสู้อยู่อีก?” อวี้ฉีเหลือบมองร่างที่หายลับตาไปของหมอสาวก่อนจะถอยออกไป

“อวี้เซิ่ง ท่านนี่มันไม่ได้เรื่องจริง ๆ ท่านเองก็ได้ใช้เวลาอยู่กับนางมาพักหนึ่งแล้ว แต่เหตุใดท่านถึงไม่ทำให้มันชัดเจนล่ะ?”

ในขณะที่อวี้ฉีถอนตัวออกไป อวี้เซิ่งก็ลดแขนตัวเองลงเช่นกัน

แล้ว 2 พี่น้องก็เดินไปนั่งลงที่ข้างกองไฟอย่างพร้อมเพรียง

“อวี้ฉี อย่าพูดเรื่องไร้สาระ” นักฆ่าหนุ่มมองดูเปลวเพลิงที่เต้นระบำอยู่ในกองไฟแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “แม่นางเจียงนางมีเป้าหมายที่สำคัญรออยู่ นางไม่สามารถมาคิดถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้ได้”

อวี้ฉีที่ได้ยินเช่นนั้นก็แค่นเสียงเยาะเย้ย “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเช่นนั้น เลิกเสแสร้งได้แล้ว”

อวี้เซิ่งหยุดพูดไปทันที แน่นอนว่าเขารู้

“เฮอะ คนแถวนี้มันหลอกตัวเองเก่งจริง ๆ” อวี้ฉีรู้สึกโกรธมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าพี่ชายฝาแฝดเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ขี้เกียจเกินกว่าจะมาพูดพร่ำทำเพลงกับอีกฝ่าย เขาจึงเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “ท่านอ๋องเรียกหาท่าน” 

“เกิดอะไรขึ้น?” นักฆ่าหนุ่มขมวดคิ้ว “ข้าเพิ่งกลับมาเขาก็มีเรื่องจะรับสั่งข้าอีกแล้วหรือ เขาใช้เจ้าบ้างไม่ได้หรืออย่างไร ถึงอย่างไรพวกเราก็หน้าตาเหมือนกัน”

“ใครหน้าตาเหมือนท่านกัน?” อวี้ฉีกลอกตามองคนพูดด้วยสายตารังเกียจ “อีกอย่าง ข้าไม่เคยตกปากรับคำว่าจะยุ่งเรื่องในราชสำนักด้วย”

หลังจากพูดจบเขาก็หันหลังกลับไปพักผ่อนที่กระโจมของตัวเองเงียบ ๆ

“ชิ” อวี้เซิ่งส่งเสียงขัดใจในลำคอ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องเดินไปที่กระโจมของเซียวถังอี้อย่างไม่เต็มใจ

เมื่อไม่มีใครอยู่รอบกองไฟ ร่างเล็ก ๆ 2 คนก็เดินออกมาจากมุมมืด

“ทำไมอวี้เซิ่งถึงซื่อบื้อขนาดนี้! ถ้าข้าเป็นว่าที่อาจารย์ ข้าคงโกรธไปนานแล้ว!” มู่ไป๋ไป่พูดพร้อมกับทำสีหน้าดูถูก

ระหว่างทางที่เธอเดินกลับกระโจม เธอบังเอิญผ่านมาที่นี่และได้เห็นเซียวถังอี้กับเจียงเหยานั่งอยู่ด้วยกัน เธอรู้สึกว่าตนได้กลิ่นตุ ๆ จึงได้พาหลัวเซียวเซียวไปซ่อนตัวเพื่อรอชมความสนุก

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Rights Reserved.