บทที่ 180: พี่น้องฝาแฝด
“นอกจากนี้ เซียวเซียวกับข้าไม่ใช่จื่อเฟิงสักหน่อย” มู่ไป๋ไป่พูดพลางทำหน้าซับซ้อน “เราจะกินเยอะขนาดนั้นได้อย่างไร!”
“หา?” จื่อเฟิงที่อยู่ด้านข้างพอได้ยินคนพูดถึงตัวเอง เขาก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาตั้งคำถาม “คนหนู ที่นี่มีอาหารไม่มากหรือ?”
“...”
แน่นอนสิว่าไม่มากพอสำหรับท่าน!
“พี่รอง ท่านอยากกินข้าวด้วยกันหรือไม่?” มู่ไป๋ไป่เห็นมู่จวินเซิ่งกำลังจ้องมองตน เธอจึงยิ้มให้อีกฝ่ายและกวักมือเรียกเขา “ไปกินด้วยกันเถอะ!”
เด็กหนุ่มที่ถูกชักชวนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย มื้อที่แล้วเขาไม่ได้กินอะไรมากเพราะเขาอยู่กับมู่จวินฝาน ดังนั้นตอนนี้เขาจึงรู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อย
นอกจากนี้อาหารบนโต๊ะล้วนมีรสหวานอมเปรี้ยวซึ่งเป็นรสที่เขาชอบ ดังนั้นท้องของเขาจึงเริ่มส่งเสียงคำรามประท้วงทันที
แต่ว่า…
มู่จวินเซิ่งเหลือบมองพี่ชายคนโตด้วยความรู้สึกลังเล
“ไปกัน!” มู่ไป๋ไป่เห็นสีหน้าของพี่รองของตนจึงรีบก้าวไปข้างหน้าและลากเขาลงไปชั้นล่างด้วยกัน
เธอตัวเตี้ยมาก แล้วมือเล็ก ๆ ของเธอก็นุ่มดุจผ้าฝ้าย
มู่จวินเซิ่งรู้สึกราวกับว่าเขาสามารถบดขยี้มือเล็ก ๆ นี้ได้ด้วยการออกแรงเพิ่มเพียงเล็กน้อย
“ท่านพี่ ท่านจะไปกินข้าวด้วยกันหรือไม่เจ้าคะ?” มู่ไป๋ไป่รู้ว่าอาหารส่วนของมู่จวินฝานนั้นจะถูกจัดขึ้นโต๊ะตรงเวลามาก แต่เธอก็ยังเอ่ยปากถามเขาตามมารยาท
“ไม่แล้วล่ะ” ตามที่คาดไว้ เด็กหนุ่มปฏิเสธ “พวกเจ้าค่อย ๆ กินไปเถอะ ข้ายังมีเรื่องต้องไปจัดการอยู่อีก”
หลังจากพูดจบเขาก็เดินกลับไปนั่งแล้วฟังรายงานของซุนเต๋อเซิ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมืองต่อไป
เมื่อวานนี้ชายชราก็ได้ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของนักดาบหิรัณย์เช่นกัน
แน่นอนว่าเขาก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่ผู้คนกลายเป็นบ้าและไล่กัดกินแขกในงานอีกด้วย
ตอนนั้นเขาตกใจมากจึงวิ่งหนีไปทันที
ไม่อย่างนั้น คนของมู่จวินฝานคงไม่ไปจับเขาแล้วลากเขากลับมาเพื่อให้เขาเข้ามาควบคุมสถานการณ์โดยรวม
“ตอนนี้คนที่ได้รับบาดเจ็บในเมืองได้พักอยู่ที่ศาลาว่าการเป็นการชั่วคราวขอรับ” ซุนเต๋อเซิ่งก้มหน้าลงไม่กล้ามองหน้าองค์รัชทายาท “และเจ้าหน้าที่ระดับล่างได้จัดหมอในเมืองให้ไปตรวจผู้บาดเจ็บทุกคนเรียบร้อยแล้ว”
“บาดแผลที่ถูกคนที่ถูกพิษกัดเปลี่ยนกลายเป็นสีดำซึ่งดูเหมือนจะเป็นสัญญาณของการติดพิษ”
มู่จวินฝานเคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ เป็นจังหวะ ซึ่งแต่ละจังหวะดูเหมือนจะกระทบเข้าที่หัวใจของชายสูงวัย ทำให้เขาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
“ท่านจับฆาตกรที่ฆ่าเจ้าเจ็ดได้แล้วหรือยัง?” มู่จวินฝานถามเสียงเย็นชา เป็นผลให้ซุนเต๋อเซิ่งประหลาดใจ
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในจวนตระกูลจินเมื่อวานนี้ อีกฝ่ายยังจำเจ้าเจ็ดได้อยู่อีกหรือ?
ชายชราแทบจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเจ้าเจ็ดคือใคร
ทางด้านมู่จวินฝานดูเหมือนจะมองทะลุความคิดของชายตรงหน้า เขาจึงยกยิ้มมุมปากพร้อมกับพูดว่า “ต้องให้ข้าเตือนความจำท่านหรือไม่ ใต้เท้าซุน?”
ท่าทางนั้นทำให้ซุนเต๋อเซิ่งยิ่งตัวสั่นเทาแล้วรีบปฏิเสธ “ไม่! ไม่ต้องขอรับ! เจ้าเจ็ด การตายของเจ้าเจ็ดยังอยู่ในระหว่างการสืบสวนขอรับ”
“เจ้าหน้าที่ระดับล่างระบุตัวผู้ต้องสงสัยได้แล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำของศาลาว่าการ”
“ข้าน้อยเชื่อว่าอีกไม่กี่วันฆาตกรก็จะสารภาพขอรับ”
“รอให้ฆาตกรสารภาพอย่างนั้นหรือ?” มู่จวินฝานเยาะเย้ย “ซุนเต๋อเซิ่ง ข้าคิดว่าท่านยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะจัดการกับคดีนี้อย่างไร”
ในเวลานี้มู่ไป๋ไป่กินข้าวไปด้วยและแอบฟังคนทั้ง 2 พูดคุยกันไปด้วย ด้วยความไม่ระวังเธอจึงเผลอกินขิงแก่ชิ้นหนึ่งเข้าไป รสเผ็ดของมันแผ่ซ่านไปในปากของเธอจนแทบจะหายใจไม่ออก
“เอ้านี่” มู่จวินเซิ่งหยิบถ้วยชาส่งให้เด็กน้อย เมื่อเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของนาง เขาก็รู้สึกว่ามันน่าขบขันและอดไม่ได้ที่จะล้อเลียนน้องสาว “เวลาอยู่ที่นั่นเจ้าก็กินเช่นนี้หรือ เสด็— ท่านพ่อไม่ว่าอะไรเจ้าหรือ?”
“อึก ๆๆ” มู่ไป๋ไป่ดื่มชารวดเดียวหมดถ้วย แต่ก็ยังรู้สึกเผ็ดอยู่เลยจึงต้องแลบลิ้นออกมา “ไม่เจ้าค่ะ ไป๋ไป่ก็กินเช่นนี้ตลอด”
“นอกจากนี้ ท่านพ่อก็ไม่ว่าอะไรไป๋ไป่สักคำ”
“จริงหรือ?” เด็กหนุ่มทำหน้าตาเหลือเชื่อ ในความทรงจำของเขา มู่เทียนฉงเป็นพ่อที่เข้มงวดมากมาโดยตลอด
“แน่สิเจ้าคะ!” เด็กหญิงยืดอกอย่างภาคภูมิใจ “ท่านพ่อรักไป๋ไป่มากที่สุด”
“...”
เด็กคนนี้น่าทึ่งมาก!
“แล้วเหตุใดท่านพ่อถึงยอมให้เจ้าตามพี่ใหญ่มายังที่ห่างไกลเช่นนี้?” มู่จวินเซิ่งรู้สึกขบขันกับท่าทางของน้องสาว ก่อนจะถามขึ้นมาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าชายแดนอันตรายมากเพียงใด? ที่นี่มีพายุทรายตลอดทั้งปี และอากาศดี ๆ มีให้เห็นเพียงไม่กี่วันเท่านั้น”
“อาหารการกินก็มีน้อย”
“มันแร้นแค้นมาก”
มู่ไป๋ไป่ไม่รู้ว่าชายแดนเป็นอย่างไร พอเธอได้ยินสิ่งที่พี่ชายคนรองพูด เธอก็รู้สึกว่ามันเกินจินตนาการของตนไปมาก เธอจึงตกใจและถามออกไปว่า “มันแร้นแค้นขนาดนั้นเลยหรือ แล้วทำไมพี่รองถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”
“...”
“เขาถูกพ่อของเจ้าส่งมาที่นี่น่ะ” จู่ ๆ เสียงเฉยเมยก็ดังขึ้นมาจากประตู ก่อนที่เซียวถังอี้จะเดินเข้ามาพร้อมกับมีชายหนุ่ม 2 คนที่หน้าเหมือนกันเดินตามหลังเข้ามาด้วย
“เสด็— อะแฮ่ม ท่านอา!” มู่จวินเซิ่งยืนขึ้นคำนับให้กับผู้เป็นอาด้วยท่าทางเคารพ “จวินเซิ่งคารวะท่านอา”
เซียวถังอี้ซึ่งมีอายุมากกว่ามู่จวินเซิ่งเพียงไม่กี่ปี แต่จู่ ๆ ก็ถูกเรียกขานในตำแหน่งที่แก่กว่าอายุจริงนับ 10 ปี มุมปากของเขาจึงกระตุกขณะที่เขาโบกมือเพื่อส่งสัญญาณบอกอีกฝ่ายว่าไม่จำเป็นต้องมากพิธี
จากนั้นเขาก็หันไปให้ความสนใจเจ้าตัวเล็กที่เขาตามหามาเกือบ 1 วัน 1 คืนเต็ม
มุมปากของมู่ไป๋ไป่ยังคงมีเมล็ดข้าวเปื้อนอยู่ สีหน้าของนางอาจจะดูสับสนมึนงงเล็กน้อย นอกจากรอยแดงบริเวณแก้มแล้ว แขนขายังอยู่ครบสมบูรณ์ ไม่มีส่วนไหนบุบสลาย
นั่นทำให้หัวใจที่เคยหนักอึ้งของเด็กหนุ่มค่อย ๆ เบาลง แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
“แม่เจ้าประคุณรุนช่อง!” อวี้เซิ่งรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเห็นมู่ไป๋ไป่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ “เมื่อคืนนี้มันเกิดอะไรขึ้น!”
“ท่านรู้หรือไม่ว่าคุณชายเซียวกับข้าแทบจะพลิกเมืองชิงหยางเพื่อตามหาท่านแล้ว!”
ปรากฏว่า ‘จมูกสุนัข’ ของจื่อเฟิงใช้การไม่ได้หลังจากที่ออกจากจวนตระกูลจินได้ไม่นาน
นอกจากนี้คนที่เฝ้าประตูเมืองยังบอกอีกว่าไม่มีใครพาเด็กออกจากเมือง ดังนั้นเซียวถังอี้จึงคิดว่ามู่ไป๋ไป่ยังคงอยู่ในเมือง
และเขาก็ได้พาอวี้เซิ่งไปค้นหาคนในเมืองตลอดทั้งคืน พวกเขาค้นหาไปทั่วทุกที่ที่เจ้าตัวเล็กอาจจะไป
“หา?” มู่ไป๋ไป่เหลือบมองเด็กหนุ่มที่สวมหน้ากากสีเงินด้วยความประหลาดใจ
อวี้เซิ่งใช้เวลาทั้งคืนในการตามหาเธอ เรื่องนั้นเธอยังพอเข้าใจได้
เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อให้มาดูแลเธอ
แต่เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าสัตว์ประหลาดคนนี้กัน?
เขาแค่ใจดีหรือ?
หรือเขากลัวว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับ ‘หลานสาว’ ของตัวเอง ท่านพ่อจะสอบสวนเขาในภายหลัง?
ยิ่งคิดหาเหตุผลเรื่องนี้มากเท่าไหร่ มู่ไป๋ไป่ก็รู้สึกว่ามีแนวโน้มจะเป็นเหตุผลอย่างหลังมากขึ้นเท่านั้น เธอจึงแอบแค่นเสียงเยาะเย้ยในใจ
ก่อนหน้านี้เขาทำตัวไม่เกรงกลัวใครเลยไม่ใช่หรือ?
ที่แท้เขาก็กลัวท่านพ่อนี่เอง!
“ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว!” อวี้เซิ่งมองไปที่โต๊ะอาหารที่พร่องไปเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งโดยไม่สนใจพิธีรีตอง จากนั้นเขาก็ตะโกนสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์นำชามและตะเกียบมาเพิ่ม “อวี้ฉี คุณชายเซียว นั่งลงกินข้าวกันก่อนเถอะ”
“คุณชายรอง ท่านไม่ถือสาใช่หรือไม่?”
แม้ว่าเขาจะหันไปถามคล้ายขอคำอนุญาตจากมู่ไป๋ไป่กับมู่จวินเซิ่ง แต่น้ำเสียงที่เขาใช้นั้นไม่ต่างจากการบังคับเลยสักนิด
“ตามสบายเถอะ…” เด็กหญิงไม่อยากโต้เถียงกับเขา แต่เมื่อดวงตาของเธอกวาดไปมองคนอื่น ๆ เธอก็ต้องตัวแข็งทื่อและขยี้ตาด้วยความเหลือเชื่อ “อวี้เซิ่ง นี่ข้ากำลังฝันไปอยู่หรือไม่? ทำไมข้าถึงเห็นคนผู้นี้มีหน้าตาเหมือนท่านเลย!”
“อุ้ย! ดูเหมือนเขาจะจ้องข้าอยู่ด้วย!”
อวี้ฉีหันไปมองคนตัวเล็กตรงหน้า ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
“อะแฮ่ม... คุณหนู ท่านมองไม่ผิด” อวี้เซิ่งไอแห้ง ๆ ก่อนจะแนะนำว่า “นี่คือน้องชายฝาแฝดของข้า อวี้ฉี”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: เจ้าตัวเล็กคิดไปเองเป็นตุเป็นตะ 5555
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 75
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น