บทที่ 156: เรียนรู้จากพ่อครัว
“หา?” มู่ไป๋ไป่เบิกตากว้าง “ท่านพี่รู้ได้อย่างไรว่าจะมีคนของทางการมาที่นี่?”
อวี้เซิ่งทำเพียงแค่ยิ้มมุมปาก แล้วเก็บงำไม่ยอมบอกอะไรเธออีก
“ช้าก่อน!” เด็กหญิงตกตะลึงและลดเสียงถามว่า “หรือว่าท่านพี่ส่งท่านไปฆ่าคนผู้นั้นเมื่อคืนจริง ๆ?”
นักฆ่าหนุ่มยกชาขึ้นจิบพลางเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง “คุณหนูเป็นคนฉลาด ลองพิจารณาดูเอาเอง”
“!!!” คำพูดของเขาทำให้มู่ไป๋ไป่ตกใจยิ่งกว่าเดิม
พี่ชายของเธอไม่ใช่สุภาพบุรุษหรอกหรือ? เหตุใดเขาถึงได้เปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือตั้งแต่หลังออกจากวังหลวง?
“แต่ที่รู้แน่ชัดก็คือข้าไม่ได้เป็นคนลงมือแน่นอน” อวี้เซิ่งเชิดคางขึ้นแล้วพูดกับตัวเองว่า “เรื่องเล็กเช่นนั้นคงไม่ต้องให้ถึงมือข้าหรอก แล้วอีกอย่างเมื่อคืนข้าก็ไปดื่มกับเซียว— สหายของข้า”
มู่ไป๋ไป่กะพริบตาปริบ ๆ ถึงอย่างไรเธอก็ยังไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายเต็มร้อย
แต่สัญชาตญาณบอกเธอว่าสิ่งที่เขาพูดน่าจะเป็นความจริง
มู่จวินฝาน รัชทายาทแห่งแคว้นเป่ยหลงเป็นใครกัน? ภายในวังหลวงที่ดูเงียบสงบแต่แฝงไปด้วยคลื่นใต้น้ำนับพันลูก ที่นั่นโหดร้ายไม่ต่างจากโลกภายนอก
ไม่เช่นนั้นเด็กหนุ่มคงไม่สามารถครองตำแหน่งรัชทายาทมาได้เป็นเวลาหลายปีเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ครั้งที่แล้วตอนที่เธอขอให้มู่จวินฝานพาเธอไปที่จวนตระกูลหลัวเพื่อช่วยเหลือแม่ของหลัวเซียวเซียวออกมา ตอนนั้นเธอก็ได้รู้แล้วว่าพี่ชายของเธอไม่ใช่คนธรรมดา
“อวี้เซิ่ง” เสียงนุ่มนวลขององค์รัชทายาทดังขึ้นจากชั้นบน ซึ่งมันขวางคำพูดของนักฆ่าหนุ่มในเวลาที่เหมาะสม
วันนี้มู่จวินฝานสวมชุดสีขาว ปัจจุบันตัวเขาเริ่มสูงพอ ๆ กับผู้ใหญ่หลายคนแล้ว ถ้าเขาไปเดินบนถนนในเมือง คงมีสาว ๆ หลายคนมองเขาจนเหลียวหลัง
เมื่อมู่ไป๋ไป่มองดูรอยยิ้มอันอบอุ่นของพี่ชาย มุมปากของเธอก็กระตุก
“ไป๋ไป่ เมื่อคืนเจ้านอนหลับสบายหรือไม่?” เด็กหนุ่มเดินไปนั่งข้างน้องสาวโดยไม่พูดถึงเรื่องการสั่งให้อวี้เซิ่งมาขัดขวางเจ้าหน้าที่ทางการเมื่อครู่นี้ “ถ้าเจ้านอนไม่อิ่ม วันนี้เจ้าก็พักผ่อนรอข้าอยู่ที่โรงเตี๊ยมเถอะ”
“พรุ่งนี้เราจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนตระกูลจิน ข้าคิดว่าอาจจะมีบางอย่างเกิดขึ้น”
“ท่านพี่ ฟังจากสิ่งที่ท่านพูด ตระกูลจินมีอะไรผิดปกติหรือไม่เจ้าคะ?” มู่ไป๋ไป่เข้าไปใกล้คนเป็นพี่ชายแล้วถามด้วยน้ำเสียงแฝงความนัย “ท่านเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ มันเป็นเรื่องเดียวกับที่มีคนตายเมื่อคืนนี้หรือไม่?”
“เจ้ายังเด็ก เจ้าไม่ควรเอาแต่พูดเรื่องของคนตาย” มู่จวินฝานยิ้มพลางลูบหัวเด็กน้อยตรงหน้า “เจ้าควรไปกินข้าวและเดินเล่นจะดีกว่า พรุ่งนี้เราค่อยไปจัดการธุระของเจ้าที่จวนตระกูลจิน”
“ส่วนเรื่องที่เหลือให้ข้าจัดการเอง”
เมื่อฟังจากน้ำเสียงของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากให้เธอเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่มีคนตายเมื่อคืนนี้
มู่ไป๋ไป่เม้มปาก แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรมากนัก
เพราะคนที่ตายเมื่อคืนนี้เป็นคนเลว เขาสมควรตายอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่มันไม่ได้หมายความว่าเธอจะให้ความสนใจในทุกเรื่อง
ในเมื่อมู่จวินฝานไม่ยอมให้ตนเข้าไปยุ่ง ดังนั้นเธอจึงไม่ควรจุ้นจ้านเกี่ยวกับเรื่องนี้
หลังจากมู่ไป๋ไป่กินมื้อเช้าเสร็จ เธอก็ลืมเรื่องคนของทางการ และพาหลัวเซียวเซียวมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารผิงชาง
เมื่อวานนี้เธอได้กินอาหารอร่อย ๆ เธอจึงอยากจะเรียนรู้กรรมวิธีการทำอาหารพวกนั้น เพื่อตอนที่กลับไปยังวังหลวงเธอจะได้ทำให้ท่านพ่อท่านแม่กิน
ปัจจุบันร้านอาหารผิงชางยังคงไร้ผู้คนเช่นเคย แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือเถ้าแก่ร่างใหญ่ไม่ได้นั่งดื่มจนเมามาย
พอมู่ไป๋ไป่ไปถึงที่นั่น เธอก็ไปช่วยลุงจางขายน้ำแกงหวานอยู่ที่หน้าประตู
“คุณหนูมาแล้ว!” ทันทีที่เถ้าแก่ร้านผิงชางเห็นคนตัวเล็ก เขาก็ทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ท่านจะกินอะไรดี ข้าจะลงมือทำให้ท่านเอง… โอ้ แมวอ้วนตัวนี้มาจากที่ไหนกันเนี่ย?”
“อ้วนบ้านเจ้าสิ เจ้านั่นแหละที่อ้วน!” เจ้าส้มใช้ดวงตาสีเหลืองอำพันตวัดมองเถ้าแก่ด้วยสีหน้าเหวี่ยง ๆ “มู่ไป๋ไป่ เขาเป็นพ่อครัวที่เจ้าบอกว่าทำอาหารอร่อยมากอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าเห็นขนาดตัวของเขาแล้ว เขาดูเหมือนคนชอบกินมากกว่าที่จะมาเป็นพ่อครัว”
มู่ไป๋ไป่บีบท้องที่เต็มไปด้วยไขมันของมันแล้วกระซิบว่า “เจ้าไม่รู้อะไร พ่อครัวมักจะมีฝีมือที่ยอดเยี่ยมมากขึ้นตามน้ำหนักตัว!”
“อ่า แมวตัวนี้เป็นของคุณหนูเช่นนั้นหรือ?” เถ้าแก่รู้สึกประหลาดใจมากเมื่อเห็นแมวอ้วนตัวสีส้มนั่งอย่างว่าง่ายอยู่บนไหล่ของเด็กหญิง “ข้าไม่เคยเห็นแมวที่เชื่องเช่นนี้มาก่อน ท่านช่างเลี้ยงเก่งยิ่งนัก!”
“คนโง่อย่างเจ้าจะไปรู้อะไร” เจ้าส้มเหลือบมองชายร่างท้วมด้วยสายตาเอือมระอา “ไม่ใช่ข้าที่เชื่อฟังนางสักหน่อย แต่เป็นนางที่กำลังทำตามคำพูดของข้าต่างหาก”
“มนุษย์ล้วนเป็นทาสแมว!”
มุมปากของมู่ไป๋ไป่กระตุกทันที แต่เธอก็ยังแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของเจ้าก้อนขน ก่อนจะอธิบายจุดประสงค์ที่ตนมาที่นี่กับเถ้าแก่ร้าน “ข้าอยากจะเรียนวิธีการทำอาหารที่ท่านทำให้ข้าเมื่อวานนี้สัก 2-3 จาน ท่านยินดีจะสอนข้าหรือไม่?”
“คุณหนูอยากจะเรียนทำอาหารเช่นนั้นหรือ?” เถ้าแก่รู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย เขาเหลือบมองแขนขาเรียวเล็กของเด็กน้อยพลางหัวเราะแห้ง ๆ “ข้าว่าคุณหนูกำลังล้อข้าเล่นแล้ว”
“ในห้องครัวมันอันตราย แขกคนสำคัญอย่างท่านรออยู่ข้างนอกจะดีกว่า”
“หากคุณหนูอยากกินอาหารพวกนั้นอีก ข้าสามารถทำให้ท่านเพิ่มได้ตลอดเวลา”
เขาพูดจบแล้วก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องครัว
“ช้าก่อน!” มู่ไป๋ไป่รีบห้ามอีกฝ่ายเอาไว้ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากกินอาหารฝีมือท่าน แต่ข้าคิดว่าอาหารที่ท่านทำนั้นอร่อยมาก ข้าอยากจะเรียนรู้วิธีทำอาหารไว้กลับไปทำให้ท่านพ่อท่านแม่กินที่บ้าน”
“และข้าก็ไม่ได้มาขอให้ท่านสอนเปล่า ๆ เราสามารถแลกเปลี่ยนกันได้”
“ข้าเองก็จะสอนท่านทำอาหาร 3 อย่าง แล้วท่านก็สอนข้าทำอาหาร 3 อย่างเช่นกัน ดีหรือไม่?”
ลุงจางที่ยืนฟังบทสนทนาอยู่ด้านข้างก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มบ้าง “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าลูกหลานของขุนนางใหญ่โตจะทำอาหารเป็นด้วย เสี่ยวพ่าง ถ้าเจ้ายอมตกลงแลกเปลี่ยนกับนาง เจ้าก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไร”
“เอ่อ…” ชายตัวอ้วนเกาหัวเพราะทำอะไรไม่ถูก “เอาเถอะ แต่คุณหนูอย่าได้ขยับเข้าไปใกล้ครัวเลย ท่านแค่บอกข้ามาว่าท่านต้องการจะทำอะไรก็พอ”
เขาไม่เชื่อว่าเด็กอายุ 4-5 ขวบจะทำอาหารได้จริง ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น มือของนางดูเหมือนจะไม่เคยทำงานหนักมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
เขาคิดว่าเด็กน้อยคนนี้เพียงแค่ล้อเขาเล่นเท่านั้น
ทว่าผลลัพธ์กลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิด สุดท้ายแล้วเขาก็รู้สึกเหมือนถูกตบจนหน้าชา
“ข้าทำอาหารยาก ๆ ไม่ค่อยเก่ง ดังนั้นข้าจะสอนอาหารจานพิเศษของข้าสักหน่อย” มู่ไป๋ไป่คิดสักพักแล้วตั้งชื่ออาหาร 3 อย่างว่า “หมูตุ๋น หมูทอดราดน้ำแกงเปรี้ยวหวาน และน้ำแกงเต้าหู้รสเผ็ด”
ตอนที่เธอทำหมูตุ๋นกับน้ำแกงเต้าหู้รสเผ็ด ทุกคนที่ได้กินต่างก็เอ่ยปากชมกันทั้งนั้น
ส่วนหมูทอดราดน้ำแกงเปรี้ยวหวานเป็นอาหารจานโปรดของเธอ เธอรู้สึกว่าการแลกเปลี่ยนอาหาร 3 จานนี้กับเถ้าแก่ร้านผิงชางน่าจะคุ้มค่ากับทานได้เรียนรู้สูตรอาหารของเขา
“ข้าเคยได้ยินชื่อหมูตุ๋นมาก่อน แต่น้ำแกงเต้าหู้รสเผ็ดกับหมูทอดราดน้ำแกงเปรี้ยวหวานมันเป็นอาหารจากที่ใดกัน?” ชายร่างท้วมรู้สึกสงสัย
“มันเป็นสถานที่ที่ท่านไม่เคยได้ยินมาก่อน” มู่ไป๋ไป่อธิบายอย่างคลุมเครือ เพราะเธอเองก็ไม่ทราบที่มาที่แน่ชัดของมันเช่นกัน จากนั้นเธอก็เรียกสหายตัวน้อย “เซียวเซียว มานี่หน่อย ทำแบบที่เคยทำกัน”
“เจ้าค่ะ!” หลัวเซียวเซียวพับแขนเสื้อขึ้นแล้วตั้งท่ารอฟังคำสั่งของอีกคน
“เจ้าไปเคี่ยวหมูตุ๋นก่อนแล้วค่อยทำน้ำแกงเต้าหู้” คนตัวเล็กเริ่มวางแผน “แล้วสุดท้ายก็เอาเนื้อใส่ลงในหม้อ”
หลัวเซียวเซียวเคยทำอาหาร 2 จานแรกมาก่อนแล้ว มู่ไป๋ไป่จึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก เธอเพียงแค่เตรียมส่วนผสมแล้วใส่ลงไปในหม้อเพียงเท่านั้น
แล้วเถ้าแก่ร้านผิงชางก็เฝ้าดูเด็กทั้ง 2 พูดคุยและช่วยกันทำนู่นทำนี่ร่วมกันอย่างราบรื่น และค่อย ๆ เข้าใจว่าเด็กคนนี้ไม่ได้แค่พูดเล่น
ไม่นานกลิ่นอาหารก็ค่อย ๆ ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องครัว
ยามที่คนเป็นพ่อครัวมองดูหมูตุ๋นในหม้อ เขาก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย “อาหารจานนี้มีกลิ่นหอมมาก…”
“มันน่าอร่อยใช่หรือไม่เจ้าคะ?” หลัวเซียวเซียวพูดอย่างภาคภูมิใจ “นี่คืออาหารจานพิเศษของคุณหนูของเรา! ไม่มีใครในครอบครัวไม่เอ่ยปากชมนาง”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 58
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น