บทที่ 100 วิชามีดบิน
บทที่ 100 วิชามีดบิน
ฮั่นจงคิดว่าลู่ฉงจวินอยู่บ้าน แต่หลังจากเข้ามาเขากลับพบว่าในบ้านมีลู่หยางเพียงแค่คนเดียว
“พ่อหนุ่ม พ่อนายไปไหน?” ฮั่นจงถาม
“พ่อกับแม่ไปทำงานที่ต่างจังหวัดครับ กว่าจะกลับมาก็น่าจะอีก 2-3 เดือน” ลู่หยางตอบ
ฮั่นจงชะงักไปเล็กน้อย ขณะที่ค่อย ๆ นั่งลงบนโซฟา จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า
“ใจเย็น ๆ นะพ่อหนุ่ม ลุงไม่ใช่คนไม่ดี ลุงเป็นเพื่อนตอนที่พ่อของนายเป็นทหารจริง ๆ ถ้าไม่เชื่อโทรไปถามพ่อของนายได้”
ลู่หยางกำลังคิดจะโทรไปหาพ่ออยู่แล้วเขาถึงพูดขึ้นมาว่า
“ผมเคยได้ยินพ่อพูดถึงคุณลุงอยู่ครับ รอสักครู่เดี๋ยวผมไปโทรหาพ่อให้”
หลังจากพูดจบชายหนุ่มก็ไปเตรียมน้ำอุ่น, ผ้าขนหนูและผ้าพันแผลมาให้ฮั่นจงกับพี่น้องทั้งสามคน จากนั้นเขาจึงพูดว่า
“ทำแผลกันก่อนนะครับ ผ้าพันแผลพวกนี้เป็นของที่พ่อซื้อเอาไว้ให้ตั้งแต่เมื่อ 2 เดือนก่อน เพราะพ่อกลัวว่าผมอยู่บ้านคนเดียวแล้วมันจะบังเอิญเกิดอุบัติเหตุ”
สามพี่น้องยังไม่ทันจะได้ขอบคุณ พวกเขาก็รีบรับผ้าพันแผลเพื่อมาทำแผลให้กับพ่อของพวกเขาก่อน
ฮั่นจงรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกาย แต่เขาก็สังเกตเห็นว่าลู่หยางไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวเขาเลย นอกจากนี้อีกฝ่ายยังดูแลเขาดีมากมันจึงทำให้เขารู้สึกชอบลู่หยางอยู่ภายในใจ
“ขอบใจมากนะ” ฮั่นจงกล่าว
“อาจารย์ นี่เป็นสิ่งที่ลูกศิษย์ควรจะทำอยู่แล้วครับ” ลู่หยางคิดในใจ
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ พ่อเคยเล่าให้ฟังว่าลุงเป็นเพื่อนตายของพ่อ”
“นึกไม่ถึงเลยว่าพ่อของนายจะเล่าเรื่องของฉันให้นายฟังด้วย” ฮั่นจงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เรื่องนี้ลู่หยางไม่ได้โกหก เพราะครั้งหนึ่งตอนที่พ่อของเขาเมา พ่อก็เคยเล่าประสบการณ์ตอนไปเป็นทหารบริเวณชายแดน ซึ่งในเวลานั้นพ่อกับฮั่นจงก็เคยช่วยชีวิตกันเอาไว้หลายครั้ง
ไม่นานพ่อของเขาก็รับสาย เมื่อลู่ฉงจวินรู้จากปากลู่หยางว่าฮั่นจงมา เขาก็ตื่นเต้นจนรีบขอคุยกับฮั่นจงในทันที
ทั้งสองพูดคุยกันนานพอสมควร ก่อนที่ฮั่นจงจะคืนโทรศัพท์ให้ลู่หยาง
“ลู่หยาง เดี๋ยวพ่อจะโอนเงินให้ 20,000 เครดิต ลูกไปกดเงินมาให้ลุงแล้วให้เขาไปหาห้องพักแถว ๆ นั้นนะ” ลู่ฉงจวินกล่าว
ลู่หยางสัมผัสได้ในทันทีว่าพ่อเป็นห่วงความปลอดภัยของเขา และถึงแม้ว่าพ่อจะไม่อยากให้ฮั่นจงพักที่บ้านแต่ก็เสียดายมิตรภาพที่มีในอดีต ทางออกที่ดีที่สุดคือการโอนเงินให้ฮั่นจงไปหาที่พักใกล้ ๆ เพื่อความปลอดภัยของลูกชายตัวเอง
“พ่อไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจัดการเรื่องนี้เอง” ลู่หยางกล่าวก่อนจะวางสายไป
ตอนนี้สามพี่น้องทำแผลให้ฮั่นจงเสร็จแล้ว ทุกคนจึงมองไปที่ลู่หยางด้วยความกังวล เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไล่พวกเขาออกไป
“พ่อบอกให้พวกคุณพักบ้านนี้ได้รอจนกว่าแผลของลุงจะหาย แล้วตอนนั้นพวกคุณค่อยไปทีหลัง” ลู่หยางกล่าว
สามพี่น้องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ฮั่นจงกลับชะงักค้างไปเพราะเมื่อสักครู่ตอนที่คุยกับลู่ฉงจวิน สหายเก่าของเขาไม่ได้พูดอะไรแบบนี้มาแน่ ๆ เขาจึงเตรียมตัวที่จะจากไปแล้วและไม่คิดว่าลู่หยางจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา
“พี่ลู่หยางขอบคุณมากนะคะ” ฮั่นอิ่งลุกขึ้นพูดอย่างนอบน้อม
ตอนนี้ฮั่นอิ่งเป็นเพียงเด็กสาวอายุ 14 ปีเท่านั้น และถึงแม้ใบหน้าจะยังดูเยาว์วัย แต่ภายในใจเธอกลับมีความเป็นผู้ใหญ่เกินตัว
ฮั่นเฟยกับฮั่นอวี่เป็นฝาแฝดที่อายุน้อยกว่าฮั่นอิ่ง 1 ปี ตอนนี้ทั้งสองเป็นเด็กหนุ่มที่ยังเติบโตไม่เต็มที่ และใบหน้าของพวกเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความโกรธและยอมแพ้ ไม่เหมือนในอนาคตที่ทั้งคู่จะมีใบหน้าอันเย็นชา แต่ก็ยังให้ความรู้สึกถึงความเป็นมิตร
“พี่ลู่หยางขอบคุณครับ” ฝาแฝดขอบคุณอย่างจริงใจ เมื่อมีคนแปลกหน้าหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ในสถานการณ์วิกฤตทั้งสองคนก็รู้สึกซาบซึ้งจากใจจริง
ลู่หยางตบไหล่ทั้งสองคน ก่อนที่จะส่งผ้าขนหนูให้กับฮั่นอิ่งและพูดว่า
“มีเพียงผู้สงบถึงจะควบคุมสถานการณ์ได้ ต่อไปนี้ให้ถือว่าที่นี่เป็นบ้านของพวกเธอก็แล้วกัน”
หลังจากพูดจบลู่หยางก็หันไปพูดกับฮั่นจง
“พ่อบอกว่าคืนนี้ถึงจะต้องใช้กำลังแต่ก็จะต้องล็อกลุงเอาไว้ที่นี่ให้ได้ ดังนั้นลุงห้ามไปไหนเด็ดขาดเลยนะครับ”
ฮั่นจงคิดอยู่สักพัก ซึ่งในตอนนี้เขาได้สลัดพวกที่ไล่ล่าเขาออกมาแล้ว การพักคืนเดียวจึงไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร เขาจึงพูดออกไปว่า
“ก็ได้ พรุ่งนี้เช้าเราค่อยไป”
“เดี๋ยวผมขอตัวไปซื้อเสื้อผ้าให้พวกคุณก่อน อีกประมาณครึ่งชั่วโมงเดี๋ยวผมจะรีบกลับมา” ลู่หยางกล่าว
ห่างจากบ้านไม่ถึง 10 นาทีมีห้างห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ลู่หยางจึงตั้งใจจะไปหาซื้อของแถวนั้น
หลังจากบอกลาชายหนุ่มก็ไปซื้อเสื้อผ้าและอุปกรณ์อาบน้ำ นอกจากนี้เขายังซื้อมีดปอกผลไม้ติดตัวไปอีกสองเล่ม
มีดปอกผลไม้พวกนี้มีใบมีดยาว 10 เซนติเมตรกว้าง 3 เซนติเมตร ไม่ต่างไปจากมีดทำครัวโดยทั่วไป แต่เนื่องจากเขากังวลว่าในคืนนี้ศัตรูอาจจะตามมาถึงบ้าน ชายหนุ่มจึงเตรียมพวกมันเอาไว้สำหรับการป้องกันตัว
เมื่อกลับมาจนถึงบ้าน ลู่หยางก็ได้พบว่าประตูถูกล็อกจากด้านใน
“นั่นใคร?” เสียงของฮั่นเฟยดังมาจากหลังประตู
“ฉันเอง” ลู่หยางตอบ
ฮั่นเฟยเปิดประตูอย่างระมัดระวัง เมื่อเขาแน่ใจว่ามันมีลู่หยางเพียงแค่คนเดียวเขาจึงพูดขึ้นมาด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความขอโทษ
“ขอโทษด้วยครับ ผมนึกว่าพี่ถูกจับตัวมา”
“ฮั่นเฟยทำไมพูดแบบนั้น!” ฮั่นอิ่งรีบพูดขึ้นมาอย่างฉับพลัน เพราะเธอกลัวว่าคำพูดของน้องชายจะทำให้ลู่หยางตกใจจนไล่พวกเธอออกจากบ้านไป
“เอ่อ ขอโทษครับ” ฮั่นเฟยพึมพำ
ลู่หยางเห็นมีดบินที่ฮั่นเฟยเก็บไว้ เขาก็พูดขึ้นมาด้วยความคิดถึงว่า
“น้องชาย ฉันขอยืมมีดบินหน่อยได้ไหม?”
“พี่จะเอาไปทำไมงั้นเหรอ?” ฮั่นเฟยถามพร้อมกับยื่นมีดบินให้กับลู่หยาง
ชายหนุ่มรับมีดบินมาซ่อนไว้ที่ฝ่ามือและทันใดนั้นเขาก็ทำการสะบัดมือขวาออกไปอย่างรวดเร็ว
ฮั่นจงและลูก ๆ มองตามการเคลื่อนไหวของลู่หยางไป ก่อนจะสังเกตเห็นมีดบินปักเข้าตรงกลางเป้าลูกดอกที่แขวนอยู่บนผนังพอดี ใบมีดฝังเข้าไปในตัวเป้าเห็นได้ชัดเลยว่าการจู่โจมในครั้งนี้ทั้งมีความรุนแรงและแม่นยำมากแค่ไหน
“นี่นายทำได้ยังไง?” ฮั่นจงเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เพราะท่าทางและเทคนิคที่ลู่หยางได้ใช้เมื่อสักครู่นี้มันเหมือนกับวิชาลับการปามีดของเขาไม่มีผิด ยิ่งไปกว่านั้นท่าทางการเคลื่อนไหวของลู่หยางยังดูมีความเชี่ยวชาญ มันจึงไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำได้ด้วยความบังเอิญ
“ท่านี้มันก็เป็นท่าที่อาจารย์สอนผมเมื่อชาติก่อนนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นคนเมืองแบบผมจะรู้จักใช้วิชามีดบินได้ยังไง” ลู่หยางคิดในใจ
“ผมก็แค่ชอบปาลูกดอกเล่นนะครับ ระหว่างปาผมก็แค่คิดว่ามันเป็นลูกดอกก็เท่านั้นเอง” ลู่หยางพูดโกหก
“พี่ลู่หยางพูดจริง ๆ เหรอ? ผมยังปาแม่นได้ไม่เท่าพี่เลย” ฮั่นเฟยพูดด้วยท่าทางราวกับจะร้องไห้ เพราะเขาฝึกวิชาปามีดบินมามากกว่าสองปีแล้ว แต่เขาก็พึ่งเข้าใจเทคนิคการปามีดบินเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ฮั่นอิ่งกับฮั่นอวี่ต่างก็ตกตะลึงกับการเคลื่อนไหวของลู่หยาง โดยเฉพาะเด็กสาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน
เธอจำได้อย่างชัดเจนว่าพ่อเคยบอกว่าการปาลูกดอกกับการปามีดเป็นคนละเรื่องกัน ยิ่งได้เห็นท่าทางการปามีดของลู่หยาง มันก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าชายคนนี้มีการฝึกฝนมาจนช่ำชอง
“คุณเคยเรียนปามีดมาก่อนใช่ไหม?” ฮั่นอิ่งถาม
ลู่หยางรับมีดบินมาอีก 14 เล่ม จากนั้นเขาก็ทำการปามีดเข้าใส่เป้าบนผนังสองครั้งติดต่อกันและมีดทั้งสองก็ปักเข้ากลางเป้าอย่างพอดี
“มันยากตรงไหน? ฉันก็เคยเห็นพระเอกในหนังปามีดกันแบบนี้ไม่ใช่เหรอ” ลู่หยางยังคงโกหกต่อไป
ฮั่นจงไม่แน่ใจว่าลู่ฉงจวินรู้จักวิชาปามีดหรือเปล่า และเขาก็ไม่เคยได้เจอกับลู่หยางมาก่อน ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือลู่หยางได้เรียนเทคนิคนี้มาจากการดูหนังจริง ๆ
“พรสวรรค์ของนายไม่เลวเลยทีเดียว สนใจอยากจะลองเรียนวิชาปามีดจริง ๆ จัง ๆ ไหม?” ฮั่นจงถาม
“อยากครับ” ลู่หยางตอบ
ฮั่นจงลุกยืนขึ้นก่อนจะใช้มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหยิบมีดบินที่เหลือพร้อมกับปาใส่เป้าพร้อม ๆ กัน
ทันใดนั้นมีดบิน 3 เล่มก็ปักเข้าบริเวณวงนอกสุดของเป้าพร้อม ๆ กัน โดยแต่ละอันได้เว้นระยะห่างราวกับได้รับการคำนวณมาเป็นอย่างดี
“ถ้านายอยากเรียนฉันจะสอนให้” ฮั่นจงกล่าว
ลู่หยางกำลังกังวลว่าเขาจะมีโอกาสได้มาเป็นลูกศิษย์ของฮั่นจงอีกไหม เมื่ออีกฝ่ายเปิดบทสนทนามาแบบนี้ ชายหนุ่มจึงตอบรับด้วยท่าทีที่นอบน้อม
“ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับอาจารย์”
ฮั่นจงพอใจกับท่าทีของลู่หยางมาก เขาจึงส่งเสียงหัวเราะและพูดออกไปว่า
“เรื่องรับเป็นศิษย์ต้องให้พ่อแม่ของนายเป็นคนตัดสินใจ เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันจะสอนวิธีปามีดให้นายก่อน จำเอาไว้ว่าวิธีการปามีดมันต้องเริ่มเรียนรู้จาก…”
สามพี่น้องไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะมีศิษย์ร่วมสำนักเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วขนาดนี้ อย่างไรก็ตามการที่ลู่หยางนับถือพ่อของพวกเขาเป็นอาจารย์ มันก็ทำให้ทั้งสามรู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น
ค่อย ๆ กลมกลืนจะได้ไม่ผิดสังเกต
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 26
แสดงความคิดเห็น