STARCIN ภาคที่ 9 Black Purge ตอนที่ 1 ย่ำ
เสียงดังครึกครื้นในตลาดตลอดช่วงเช้าเป็นเสมือนการประกาศว่าที่แห่งนี้มีคนมากแค่ไหน ผู้คนมากมายออกมาจับจ่ายใช้สอยกันอย่างพลุกพล่านราวกับมีงานเทศกาลประจำปีและยังมีรถโดยสารประจำทางคอยบริการทั้งเมือง
“ดูนั่นสิพวก นั่นมันใช่ตู้เย็นที่คนรวย ๆ เขาซื้อใช้กันใช่ไหม?”
กลุ่มนักท่องเที่ยวเดินกันวุ่นตื่นตาตื่นใจกับของแปลก ๆ ที่ในแอสต้ายังหาไม่ได้ แม้จะเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่นักแต่กลับมีคนเข้าออกหลายพันคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวและนักผจญภัย
ให้ตายสิทำไมเราต้องมาเป็นคนคุ้มกันนักเรียนด้วยเนี่ย
วีด้าเดินตามหลังขบวนเด็กนักเรียน แม้จะไม่แสดงสีหน้าหงุดหงิดให้เห็นแต่เด็ก ๆ ก็สัมผัสถึงมันได้
“พี่วีด้าลองกินนี่สิคะ” เด็กสาวตัวน้อยยื่นขนมแท่งเคลือบน้ำตาลให้กินพร้อมด้วยรอยยิ้มสดใสที่หวังว่ามันจะทำให้วีด้ายิ้มได้บ้าง
“อร่อยมากเลยจ้ะ” รอยยิ้มที่ปั้นขึ้นมาอย่างเชี่ยวชาญจากประสบการณ์การทำงานทำให้เด็กสาวชอบอกชอบใจ
ถึงแม้เธอจะเคยเป็นนักฆ่าแต่ก็จะฆ่าเพื่อทำภารกิจเท่านั้น และพอได้ใช้ชีวิตโดยปราศจากกลิ่นคาวเลือดมันก็ยิ่งทำให้จิตใจของเธอสงบลง
ไม่เห็นอร่อยเลยสักนิด ขณะที่เดินตามคุ้มกันเธอก็ยังกินขนมไม่หยุดปาก
“เด็ก ๆ เข้าแถวรอนะคะ” ครูอลิสเป็นคนจัดแจงการทัศนศึกษาของพวกเด็ก ๆ โดยมีนาธาตามมาช่วยอีกแรง
“อา...ต่อจากนี้เราจะพาเข้าห้องบรรยายนะครับ ทุกคนโปรดให้ความร่วมมือด้วย...” พูดไม่ทันขาดคำก็มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังมาจากกลุ่มเด็กนักเรียน
“พูดให้มันหนักแน่นหน่อยสิ” อลิสแอบสะกิดไหล่และกระซิบคุยกันต่อหน้าเด็กนักเรียน
“รู้แล้วน่า แต่ฉันไม่อยากทำให้เด็ก ๆ กลัวเพราะเสียงดังเหมือนสั่งพวกทหารหรอก”
“โธ่ หนักแน่นแต่ไม่ต้องตะเบ็งสิ”
“ก็มันไม่เคยสอนเด็ก ๆ นี่นา ปกติฉันเคยสอนแต่ทหารกับออกคำสั่งลูกน้อง”
เจ้าสองคนนั้นชักจะแปลก ๆ แล้วสิ สนิทกันไวผิดสังเกตจนคิดว่าคบกันไปแล้ว วีด้าเอาแต่ยืนดูจากด้านหลังไม่พูดอะไรเพราะกำลังเพลิดเพลินกับขนมในมือ
ห้องบรรยายที่พวกเขาพาเด็ก ๆ เข้าไปคือส่วนหนึ่งของอาคารฝึกวิชาชีพ
“สวัสดีเด็ก ๆ ที่น่ารักทุกคน แม้จะอีกยาวไกลแต่สุดท้ายทุกคนก็ต้องโตเป็นผู้ใหญ่”
“หนูไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่เลย” เด็กสาวคนหนึ่งกล่าว
“ไม่ได้ ๆ เราทุกคนต้องโตขึ้นและเมื่อถึงวันนั้นเราก็ต้องดูแลตัวเองได้ และสิ่งสำคัญของการใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมก็คือต้องหาเลี้ยงตัวเองให้ได้โดยอยู่ในกรอบของกฎหมาย”
“ผมขอพ่อเอาก็ได้”
“จริงด้วย”
การบรรยายร่วมกับการสนทนาไขข้อสงสัยทำให้เด็ก ๆ เข้าใจสิ่งที่ต้องรับผิดชอบของผู้ใหญ่มากขึ้น
ระหว่างนั้นวีด้าก็ได้เดินออกมาจากห้องบรรยายเพราะเบื่อที่ต้องฟังอะไรเช่นนั้น
เมื่อไรจะได้กลับบ้านนะ อยากนอนสบาย ๆ แล้ว
“กลับบ้านของเรากัน” ทันใดนั้นก็มีเสียงกระซิบข้างหูทำเอาวีด้าสะดุ้งตกใจพร้อมกับดึงมีดสั้นขึ้นมาเตรียมปะทะ
“นายมาที่นี่ได้ยังไง?” หลังจากได้เห็นหน้าตาที่คุ้นเคยเธอก็เลยลดอาวุธลงแต่ก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้
“ฉันแฝงตัวมากับกลุ่มนักผจญภัยน่ะ ตอนแรกเกือบไม่รอดแล้วเพราะตรวจอะไรไม่รู้ตั้งสามสี่รอบ” ชายคนนั้นพุ่งเข้าประชิดตัวเพื่อโอบกอดอย่างทะนุถนอมโดยที่วีด้าไม่ทันตั้งตัว
“ฉันตามหาเธอมานานแล้วนะวีด้า ฉันนึกว่าเธอจะโดนเก็บไปแล้วเสียอีก” น้ำตาของลูกผู้ชายหยดลงบนใบหน้าของเขากลายเป็นจุดสนใจของชาวเมืองที่เดินผ่านมาไป
“หยุดทำตัวเป็นจุดเด่นได้แล้ว ลืมเรื่องที่เคยฝึกกันมาแล้วหรือยังไง?” เธอพาชายหนุ่มคนนั้นไปนั่งสงบสติอารมณ์ในที่เงียบ ๆ
วีด้าได้ซื้อเครื่องดื่มและขนมมาให้ชายคนนั้นเผื่อจะช่วยให้ผ่อนคลายลงบ้าง
“พอจะตั้งสติได้หรือยังล่ะเรียล”
“อืม” เขารับเครื่องดื่มจากวีด้าไปโดยไม่สงสัยอะไรและนั่นก็ทำให้วีด้าจ้องเขม็งเหมือนไม่พอใจ
“อีกแล้ว...ปกติเวลารับของจากใครจะต้องมีการตรวจสอบก่อนซึ่งนั่นคือหนึ่งในหลักสูตรของสำนักนะ”
“โธ่ หยวน ๆ กันบ้างก็ได้ ฉันอุตส่าห์ลาพักร้อนมาตั้งเดือนหนึ่งเพื่อจะตามหาเธอเลยนะ”
วีด้าถอนหายใจพลางเคี้ยวขนมไปด้วย “กลับไปเถอะ ตอนนี้วีด้าของสำนักมนตร์ดำได้ตายไปแล้ว ฉันในตอนนี้เป็นแค่ยามธรรมดาเท่านั้นแหละ”
“ไม่หรอกวีด้า เธอสามารถกลับไปได้และถ้าเอาข้อมูลของที่นี่ไปบอกกับผู้บริหารเธอก็จะได้เลื่อนตำแหน่งด้วย แล้วก็...เราจะได้ดูแลน้อง ๆ ที่สำนักด้วยยังไงล่ะ”
“พอได้แล้วเรียล...ฉันอยากเลิกแล้ว” เธอเบือนหน้าหนีไม่กล้าสบตาเหมือนรู้สึกผิดที่ตนเองเอาตัวรอดคนเดียว
“วีด้า เธอไม่ห่วงน้อง ๆ ที่สำนักเหรอ? เธอก็น่าจะรู้ว่าพวกเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง บางส่วนก็โดนเขี่ยทิ้ง บางส่วนก็ตายตอนทำภารกิจ ในเมื่อเธออยู่ที่นี่ได้เธอก็น่าจะพาเด็ก ๆ มาซ่อนที่นี่ได้เหมือนกัน”
“เป็นไปไม่ได้หรอก”
“รู้ได้ยังไงว่าเป็นไปไม่ได้ จนถึงตอนนี้เจ้าพวกนั้นยังไม่ตามหาเธออาจจะเพราะนึกว่าโดนศัตรูเก็บไปแล้วก็ได้ เราก็แค่ต้องจัดฉากทำให้เหมือนโดนคนบุกสังหารหมู่แล้วพาน้อง ๆ หนีมาอยู่ที่นี่แทน”
“เรียล !” เสียงที่ตะเบ็งลั่นดังก้องเข้าไปในหัวของชายคนนั้นทำให้เขาหยุดทุกการกระทำแล้วนั่งเงียบรอการตอบกลับของวีด้า
“ตอนนี้ฉันก็เหมือนนักโทษที่ต้องชดใช้ผลกรรมที่ก่อ จริง ๆ ตอนนี้เขาอาจจะเห็นและได้ยินเรื่องที่เราคุยกันอยู่ก็ได้”
“เขาไหน?”
วีด้าสะดุ้งตกใจพร้อมกับหันมองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่มีอะไร
“เป็นอะไรอีกล่ะเนี่ย?” เรียลมองดูท่าทางเลิ่กลั่กของวีด้าได้แต่สงสัยว่าเป็นอะไรกันแน่
“ไม่มีอะไรหรอก นายกลับไปได้แล้วและอย่าเอาเรื่องที่นี่ไปบอกพวกนั้นเด็ดขาด”
“วีด้า…กลับไปกับฉันเถอะนะ ฉันขอร้อง…” เขาก้มโค้งแทบจะหมอบราบกราบวีด้าและไม่ยอมโงหัวขึ้นมาจนกว่าเธอจะตอบรับ
หลังจากเห็นการขอร้องอ้อนวอนทุ่มสุดตัวมันก็ทำให้วีด้าลังเล เธอกวาดสายตามองไปมาครุ่นคิดถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นหากตัดสินใจหนีออกไป
“ฉัน...”
“กลับกันเถอะนะ ถ้าอยากหนีฉันก็จะพาน้อง ๆ หนีออกมาพร้อมกันเลย” เขากุมมือของวีด้าไว้และเงยหน้ามองด้วยแววตาเปล่งประกายเหมือนได้คำตอบที่ต้องการไปแล้ว
เสียงถอนหายใจของวีด้าทำให้เรียลต้องกลืนน้ำลายลุ้น “อา...กลับก็ได้”
“ยอดเยี่ยมเลยวีด้า !” เขาร้องลั่นดีใจจนเผลอโผเข้ากอดอีกครั้งแต่รอบนี้เธอกลับไม่ต่อต้านและโอบแขนรับการกอดนั้นไว้
“ถ้าจะหนีก็ต้องรีบก่อนที่เขาจะกลับมา” วีด้าไม่รีรอช้าพาเรียลออกเดินทางทันทีโดยไม่เก็บข้าวของใด ๆ ไปเลย
เธอไม่พยายามปกปิดตัวตนเลยแม้แต่นิดเดียวแต่ก็เดินผ่านพวกยามเฝ้าประตูไปได้ง่าย ๆ เพราะคุ้นหน้าคุ้นตาเคยเห็นว่าทำงานอยู่แถวโรงเรียน ส่วนเรียลก็ยังโดนตรวจสอบหลาย ๆ อย่างกว่าจะได้ออกจากเมืองแต่เพราะมีวีด้ามาด้วยพวกยามจึงผ่อนปรนไม่เคร่งนัก
“เธอมีอำนาจขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ไม่มีอำนาจอะไรทั้งนั้นแหละ...ก็แค่คนผ่านไปมามักจะเห็นฉันอยู่ตลอดก็คงจะวางใจแหละ”
หลังจากพ้นเขตเมืองมาได้พวกเขาก็เร่งฝีเท้ากลับไปยังสำนักมนตร์ดำสาขาอาณาจักรนอดเพราะที่นั่นอยู่ใกล้ที่สุด
10 กรกฎาคม พ.ศ.2576
ซึฮากิและพรรคพวกได้เดินทางกลับมายังเอลโฟเรียอีกครั้งซึ่งพอลงเครื่องซึฮากิก็แยกตัวไปทำธุระก่อนที่ฟรานจะได้กล่าวทักเสียอีก
“ไว้เจอกัน !” เซนตะโกนบอกลาและพาคนที่เหลือไปหาอะไรกินที่ห้องครัว วินาทีที่เปิดประตูเข้าไปมันก็มีควันฟุ้งออกมาราวกับไฟไหม้แต่แท้จริงมันก็แค่ควันจากเตาและกระทะเท่านั้น
“ยูกิ !เอ็งจะเผาบ้านหรือยังไงวะ” เซนวิ่งพรวดพราดเข้าไปดูสภาพภายในครัวแต่พอคนอื่นจะเดินตามเข้าไปก็ต้องสะดุ้งตกใจเพราะความร้อนระอุภายในนั้น
“เจ้ายูกิมันทำอะไรกันแน่เนี่ย?” ซีโร่ชะเง้อคอมองจากนอกห้องแต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากควันร้อน ๆ แต่ด้วยพลังของตรวจจับมานาเธอจึงเห็นท่าทางที่กำลังกระดกกระทะใบใหญ่ด้วยแขนเล็ก ๆ คู่นั้นอยู่
เซนเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ เป็นเหมือนผู้ชม ขณะที่ยูกิเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการทำอาหารตรงหน้าจนไม่ได้ทันได้สังเกตว่ามีคนเข้ามา
“เฮ้ย ยูกิ...ยูกิ” เซนยืนเรียกอยู่พักหนึ่งและดูเหมือนยูกิจะรู้ตัวว่ามีคนดูอยู่แต่ก็ยังทำเป็นไม่สนใจ
“ยูกิ !ยูกิ ๆ”
“เรียกหาพระบิดาเอ็งหรือยังไงวะ !” ยูกิยกกระทะที่กำลังใช้ทำอาหารฟาดหน้าเซนจนกระทะเปลี่ยนเป็นรูปหน้าเซนเลยทีเดียว
แทนที่เซนจะโกรธหรือเจ็บปวดเขากลับหัวเราะเยาะชอบใจเหมือนพวกโรคจิตชอบโดนกระทำอย่างไรอย่างนั้นเลย
“แหม ๆ ก็นึกว่าเป็นอะไรไปแล้วเห็นเรียกไม่ยอมหัน”
“เฮอะ คนเขากำลังใช้สมาธิอยู่แท้ ๆ แล้วดูสิข้าต้องทำใหม่หมดเลย”
“สบาย ๆ น่านายทำได้อยู่แล้ว” เซนยกนิ้วโป้งให้กำลังใจแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าบูดบึ้งของยูกิหายไป
เวลาผ่านไปสักพักพวกเขาจึงออกมาจากห้องครัวร้อน ๆ แล้วไปนั่งพักในห้องพักผ่อน จากที่เป็นแค่ห้องพร้อมโต๊ะเก้าอี้แต่ตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วยเครื่องมืออำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็นใส่น้ำดื่มชื่นใจ เครื่องเล่นเพลงรื่นหูและโซฟานุ่ม ๆ ให้นอนตรงนี้เลยก็ได้
“แล้ว…แผนต่อจากนี้คืออะไรนะขออีกที” เซนทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาและพาดขาไปอีกฝั่ง
“กิบอกว่าวันนี้พักผ่อนกันให้เต็มที่ สงสัยพวกเราจะได้ออกแรงกันหนักอีกแล้วแน่เลย” คานะที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ยังต้องเบี่ยงตัวหลบให้เซนได้นอนสบาย ๆ
“น่าสนุกดีออก รอบก่อนฉันไม่ค่อยมีผลงานอะไรเลย”
“เหรอ? นายเป็นคนจัดการจ้าวทะเลเลยนะแถมยังเป็นการประจันหน้าแบบหนึ่งต่อหนึ่งด้วย ตอนนั้นฉันเป็นห่วงนายมากเลยนะแต่ก็ดีที่รอดมาได้”
“แน่นอน” เซนตอบรับเสียงสูง
“ยังกระจอกว่ะ” ยูกิกล่าวขัดอารมณ์รื่นเริงทำเอาเซนคิ้วขมวด
“ไม่กระจอกเลยนะเว้ย เจ้านั่นมีทั้งพละกำลังและมานามากกว่าฉันเยอะเลยแต่บังเอิญว่าฉันอึดกว่าหน่อยหนึ่ง”
ยูกิหัวเราะในลำคอก่อนจะเดินกลับเข้าครัวไปทันที
“หน็อย ! มาเยาะเย้ยแล้วหนีเลยเนี่ยนะ เดี๋ยวก็ประท้วงไม่ยอมกินข้าวซะเลย”
พูดไม่ทันขาดคำยูกิก็เอาอาหารว่างมาให้แต่เซนที่ประกาศกร้าวไว้ว่าจะไม่กินก็เลยต้องนั่งกอดอกหันหน้าหนี
“ไม่กินเหรอเซน?” คานะถาม
ซีโร่ได้แต่นั่งขำคิกคักจนปวดท้องเมื่อได้เห็นเซนกำลังต่อสู้กับกิเลสในจิตใจ ใบหน้าที่พยายามหันมองของกินแต่คอก็หันกลับมาที่เดิมเพราะไม่อยากผิดคำพูดยิ่งทำให้ซีโร่ขำไม่หยุด
ระหว่างที่ห้องนั่งเล่นกำลังวุ่นวายก็มีแค่ฟรานที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างคอยมองว่าซึฮากิกลับมาหรือยัง
“ไม่กินจริง ๆ เหรอ มันอร่อยมากเลยนะ” ไป ๆ มา ๆ ทั้งซีโร่และคานะต่างก็ช่วยกันล่อลวงให้เซนได้ลิ้มลอง
“ผู้ชายต้องมีสัจจะ…” สุดท้ายเซนก็คล้อยตามและหยิบขนมเข้าปากไปแล้ว
“ว้าย ๆ กระจอกจริง ๆ” ยูกิหัวเราะจนท้องแข็งขณะที่เซนกำลังลิ้มรสชาติขนมแบบใหม่ด้วยแววตาเปล่งประกายปลื้มใจ
“นุ่มละมุน...หวานนิด ๆ ไม่ถึงกับเลี่ยน...หอมจาง ๆ สูดดมได้ทั้งวัน”
“ชอบล่ะสิ ข้าได้สูตรมาจากกิเยอะเลยล่ะแต่วัตถุดิบไม่ค่อยเหมือนกันก็เลยต้องประยุกต์เอา”
ซีโร่เห็นฟรานเอาแต่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างเธอจึงหยิบขนมไปให้
“ขนาดนั้นเลยเหรอ?” เธอยื่นขนมให้พร้อมกับยักคิ้วถาม
“อืม พักหลังมานี้ฉันทำให้เขาเปิดใจให้คนอื่นได้บ้างแล้ว แต่เขาก็เผยให้เห็นเรื่องกังวลใจด้วยเหมือนกัน”
“ก็ดีไม่ใช่เหรอ? ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราจะไม่มีทางรู้เลยว่ากิเขาเป็นยังไง...กลุ้มใจเรื่องไหนอยู่หรือชอบอะไรกันแน่ แต่ถ้าเขาแสดงสีหน้าท่าทางเป็นกังวลให้เห็นก็คงเป็นเรื่องดีสิ”
“ฉันรู้…ฉันจึงพยายามทำให้เขาแสดงอารมณ์ความรู้สึกมากขึ้น แต่ฉันก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้เพราะถ้าซึฮากิออกอาการชัดเจนขนาดนั้นแสดงว่ามันต้องเป็นเรื่องแย่แน่ ๆ”
“เหรอ แล้วคิดว่าเราเจอเรื่องแย่ ๆ กันมาตั้งกี่ครั้งแล้วล่ะ ครั้งนี้ก็คงเหมือนทุกที” ซีโร่ยิ้มกว้างแล้วยัดขนมเข้าปากฟรานเพื่อให้เธอสงบใจลงบ้าง
“อืม…แต่ฉันก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี”
ทันใดนั้นซึฮากิก็เปิดประตูเข้ามาและฟรานก็วิ่งไปต้อนรับก่อนใคร
“ยินดีต้อนรับกลับนะกิจัง” จากใบหน้าซึม ๆ แต่พอเห็นซึฮากิเธอก็ยิ้มแป้นออกมาทันที
“อืม วันนี้พักกันให้เต็มที่ล่ะเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะบอกแผนต่อไปให้ฟัง แล้วก็ฟราน...ฉันเอาของมาให้” เขายื่นกล่องใบใหญ่ให้ซึ่งภายในนั้นมีดาบเทพประทานที่เคยทำตกน้ำไปและยังมีตรีศูลที่รินใช้แถมมาด้วย
“อะไรล่ะเนี่ย?” ฟรานวางมือลงบนตรีศูลแล้วลูบไล้ดูลวดลายและความประณีตของมัน
“ถึงจะเสียหายตอนปะทะกันแต่ก็พอจะซ่อมให้ได้อยู่ ความลำบากเดียวก็คือจับตรง ๆ ไม่ได้เนี่ยแหละก็เลยใช้เวลาซ่อมนานกว่ากำหนด”
“มันยังใช้งานได้อยู่ใช่ไหมเนี่ย?” ฟรานลองยกขึ้นมาดูและเธอก็สามารถจับมันได้ไม่มีปัญหา
“คงได้แหละเพราะคนอื่นจับมันไม่ได้แสดงว่ายังมีปฏิกิริยาอยู่ แล้วพอลองตรวจสอบดูหลาย ๆ อย่างก็เลยรู้ว่ามีแค่ส่วนหัวของตรีศูลที่เป็นหินเวท ส่วนของด้ามที่พังไปสามารถเอาอย่างอื่นมาซ่อมแทนได้ไม่มีปัญหา”
“อือ...ต่อจากดาบเทพประทานก็มีตรีศูลอีกเหรอ นี่นายจะให้ฉันเป็นคลังแสงเดินได้หรือยังไง?” ฟรานเหลือบมองด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ปฏิเสธสิ่งที่ซึฮากิหยิบยื่นให้เลยสักครั้งเดียว
“แล้ว....มันมีชื่อว่าอะไร?” ฟรานถามต่อทันที
“มันคือตรีศูลเทพนักล่า หนึ่งในซีรีส์ศาสตราวุธเทพเหมือนกับของที่เธอมีนั่นแหละ”
“โห่ ! อยากได้บ้างจัง” เซนชะเง้อคอเข้ามากลางวงสนทนาและจ้องตรีศูลนั่นแทบจะเอาหน้าแนบ
“ของนายก็มีดาบคู่อะไรนั่นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ซึฮากิยิ้มบางกวาดสายตามองห้องนั่งเล่นที่เต็มไปด้วยบรรยากาศสบาย ๆ ผ่อนคลาย
“หมายถึง...ดาบเทพอัคคีพิทักษ์สลักอักษรนอนรอโหมโรงโยงใยใสพร่องล่องหล่นก่นด่ามหามณีศรีเลิศเลอ...ใช่ไหม”
“นั่นชื่อแน่นะ?” ซีโร่ขมวดคิ้วแทบจะชนกันหลังจากได้ฟังชื่อดาบคู่ของเซน
“ต้องแน่อยู่แล้ว มันเป็นดาบที่ฉันทำด้วยตัวเองเลยนะ”
“ไอ้การหักดาบตัวเองมันกลายเป็นคนทำดาบตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย?”
“ก็ทำให้มันเป็นดาบคู่ยังไงล่ะแต่ไม่ใช่คนตีดาบสักหน่อย”
ช่างเป็นภาพที่ดีจริง ๆ แม้จะมีปัญหาหลายอย่างแต่พวกเขาก็ยังยิ้มสนุกได้ตลอด ถ้าหากเราสามารถสร้างเมืองที่เป็นอิสระและกำจัดเสี้ยนหนามทั้งหมดได้ก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้
“ทุกอย่างจะต้องราบรื่นแน่ ๆ ฉันรับประกัน” ฟรานที่เห็นซึฮากิยืนยิ้มเหม่ออยู่คนเดียวเธอจึงเข้ามาทักพร้อมกับยิ้มกว้างจนเห็นฟันเพื่อทำให้ซึฮากิสบายใจขึ้น
“ขอบใจ เรา...ไปเดินเล่นกันสักหน่อยไหม?”
“อืม นั่นคือคำชวนพวกเราหรือเฉพาะฉัน”
“เฉพาะเธอเลยล่ะ” ซึฮากิหันหลังเดินออกไปทันทีโดยไม่รอคำตอบจากฟราน
ทั้งสองคนเดินตามกันออกไปทิ้งความสงสัยไว้ ระหว่างที่เดินกันอยู่ซึฮากิก็ได้ยื่นมือมาหยิบกล่องใส่ดาบเพื่อช่วยถือแทน
“นายคงมีเรื่องอยากพูดเป็นการส่วนตัวสินะ”
“หัวไวสมกับเป็นเธอจริง ๆ”
พวกเขาไปหยุดอยู่ใจกลางสวนสาธารณะข้าง ๆ เมือง สถานที่ที่ผู้คนมักจะมาออกกำลังกายและพักผ่อนหย่อนใจ แต่ตอนแสงแดดจ้ากลับเงียบสงบได้ยินเพียงเสียงลมพัดใบไม้ปลิวไสว
“อย่างที่เคยบอกไว้ว่าให้เก็บดาบเทพทมิฬไว้ใช้ตอนฉุกเฉิน แต่ตอนนี้ฉันขอเปลี่ยนคำขอนั่น…จงเก็บมันไว้ข้างกายและใช้ได้ก็ต่อเมื่อฉันให้สัญญาณเท่านั้น”
“ได้เสมอ ถึงยังไงก็เหลือแขนข้างเดียวอยู่แล้วเลยใช้ได้แค่ทีละอย่าง”
“เธออาจจะหายในเร็ววันก็ได้ถ้าหมั่นใช้เวทมนตร์รักษาอยู่เรื่อย ๆ”
เธอหัวเราะในลำคอราวกับจะบอกว่าฉันทำก่อนที่ซึฮากิบอกเสียอีก “ไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยล่ะแต่จะดีกว่านี้ถ้านายเป็นคนช่วย” ฟรานเดินนำมาข้างหน้าและยิ้มใสซื่อพร้อมกับทำตาเปล่งประกายเพื่อให้ซึฮากิใจอ่อน
“ก็ได้อยู่หรอก อาจจะช่วยให้หายภายในอาทิตย์นี้เลยก็ได้”
“ถ้างั้น…คืนนี้มาที่ห้องฉันหน่อยแล้วกัน”
“อืม แต่ไหน ๆ ก็ออกมาแล้วเธอลองใช้ตรีศูลนั่นดูหน่อยสิ” ซึฮากิเปิดกล่องอาวุธและวางลงตรงหน้าอย่างกับกำลังมอบของกำนัลให้ขุนนาง
“แต่นี่มันสวนสาธารณะนะ ถ้าทำรอบ ๆ เสียหายเดี๋ยวก็โดนคนเขาเขม่นหรอก”
“ไม่หรอกน่า ถ้าไม่มีใครรู้เห็นเราก็แค่ซ่อมให้เหมือนเดิมก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
ฟรานถอนหายใจแล้วหยิบตรีศูลขึ้นมา “ยอมใจเขาเลยจริง ๆ แล้วจะให้ฉันทดสอบยังไงบ้างล่ะ?”
“ความสามารถของตรีศูลคล้ายกับเดอะทาเก็ตก็คือการติดตามเป้าหมาย โดยเงื่อนไขคือต้องสามารถโฟกัสเป้าหมายได้ หากโดนบดบังวิสัยก็ยังใช้ตรวจจับมานาแทนแต่หากไม่สามารถรับรู้เป้าหมายได้ชัดเจนพอก็จะใช้งานไม่ได้”
“ดูยุ่งยากจังแฮะแต่ก็น่าลองดูเหมือนกัน”
“ถ้าเข้าใจแล้วก็มาลองเลยดีกว่า” ซึฮากิหยิบหินขึ้นมาและขว้างออกไป
ฟรานยกตรีศูลขึ้นพร้อมกับเลือกยิงบอลเพลิงเพื่อให้สามารถจับสังเกตได้ง่าย ๆ วินาทีที่หินพุ่งไกลออกไปบอลเพลิงก็จะลอยตามไปติด ๆ จนเข้าถึงเป้าหมายได้สำเร็จ
“ก็ดูใช้ง่ายดีนะ” ฟรานยิ้มตื่นเต้นมองดูตรีศูลที่อยู่ในมือไม่ละสายตา
“งั้นคราวนี้ลองยิงหลาย ๆ เป้าดูแล้วกัน” พูดจบซึฮากิก็ขว้างหินอย่างต่อเนื่องทันที
“ดะเดี๋ยว ! ไม่ให้สัญญาณสักหน่อยเหรอ” แม้จะตกใจลนลานแต่เธอก็ตั้งสมาธิยิงหินทุกก้อนได้ไม่ยากนัก
“อย่าพึ่งละสายตาล่ะ” ฟรานรู้สึกได้ทันทีว่าซึฮากิชอบใจที่ได้แกล้ง จากนั้นเขาก็ขว้างหินไปทั่วทุกทิศทางให้สับสน
“มีเท่าไรก็จัดมาเลย !”
ถ้าคนอื่นมาเห็นก็คงต้องตกใจกับกระสุนเวทมนตร์ที่พุ่งไปทั่วอย่างกับมีการก่อจลาจล แต่สำหรับพวกเขาสองคนนี่มันก็แค่การฝึกซ้อมเล่น ๆ ที่มีความรื่นเริงแฝงอยู่ด้วย
“รอบนี้ลองหลับตาแล้วใช้แค่เวทมนตร์ตรวจจับดู”
“เอาสิ” ฟรานตอบรับทันทีแบบไม่คิดอะไรและยังทำผลงานออกมาดีด้วย
เวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมงจนแสงตะวันลับขอบฟ้าถึงเวลามื้อเย็นอันแสนอบอุ่นที่ผู้คนได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
“พี่กิ !” คิโนริกระโดดมาแต่ไกลขึ้นขี่บนบ่า
“ลงมากินข้าวมาได้แล้ว...เจี๊ยก”
“โธ่...มังกี้ก็ยังขี่คอพี่เซนได้เลย”
“เหอะ ๆ ข้าก็แค่เพิ่มวิสัยทัศน์การมองเท่านั้นแหละ”
“นั่งที่ซะ !” ทันทีที่ยูกิตะคอกเสียงดังทุกคนก็กลับมานั่งนิ่งไม่ขัดคำสั่งเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่ทุกคนพร้อมยูกิก็นำอาหารมื้อใหญ่มาเสิร์ฟเสมือนงานเลี้ยงขนาดย่อม ๆ ที่มีแค่คนในบ้านหลัก เตาย่างและหม้อต้มวางลงบนโต๊ะที่รายล้อมไปด้วยของกินนานาชนิดบรรยากาศเหมือนร้านบุฟเฟ่ต์ที่มีอาหารของยูกิเป็นกับแกล้มให้กินด้วย
เซนเห็นเตาย่างไม่ทันใจก็เลยใช้ไฟของตนเองเผาหมูบนจานมันเสียเลยแต่ก็โดนคานะดึงหูให้หยุดการกระทำนั้นก่อนที่มันจะเผาบ้านไปด้วย
“เออ...พี่กิครับ” เอลุกจากที่นั่งมาสะกิดหลังซึฮากิ
“อืม”
“พี่วีด้าลาเหรอครับ? ผมไม่เห็นมาสักพักแล้ว”
“พี่ไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นเลยนะแต่นายไม่ต้องกังวลหรอก” เขาวางมือลงบนหัวของเอและขยี้ผมแกล้งเล่น ๆ
จำได้ว่าความรู้สึกต่อต้านแทบจะไม่มีแล้วนี่นา หรือเพียงแค่น้อยนิดก็เพียงพอให้เธออยากหนีได้แล้ว
ซึฮากิกวาดสายตามองดูพวกพ้องแต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสีหน้าแววตาที่เปลี่ยนไปของคิโนริ
กระวนกระวายร้อนรนและยังมีความวิตกกังวลที่แสดงออกมาชัดกว่าครั้งไหน ๆ หรือเพราะมันใกล้ถึงเวลานั้นแล้ว สงสัยต้องปล่อยเรื่องวีด้าไปก่อนเพราะคิโนริสำคัญกว่า
“พรุ่งนี้ตอนเช้าฉันจะเรียกรวมอีกครั้งเพื่ออธิบายแผนต่อไป”
“จัดมาสิ ! ไอแฮฟโนเฟียร์เอนี่ติงเอนี่แวร์วอทเอเว่อร์ดูยูวอนนาบีโกทูเดอะไฟนอลเฟียร์”
ยูกิถอนหายใจลากยาว “ปวดหัวว่ะ”
หลังจากกินอาหารกันเสร็จสรรพทุกคนก็แยกย้ายกลับห้องของตนเองทันที
“กระดูกใกล้จะเชื่อมติดกันแล้วถ้ายังคงประสิทธิภาพการรักษาไว้ก็คงจะหายภายในอาทิตย์นี้” ขณะที่ทุกคนได้พักผ่อนก็ยังมีซึฮากิที่ใช้เวทมนตร์รักษาช่วยรักษาแขนของฟรานอยู่
“อยากหายเร็ว ๆ จัง ฉันจะได้ทำอะไรสะดวกหน่อย อย่างเช่น...” เธอดึงตัวซึฮากิลงบนเตียงและใช้มือข้างที่ยังอยู่ดีลูบไล้ใบหน้าอันเรียบนิ่งของเขา
“ไหน ๆ ก็จะต้องเริ่มแผนต่อไปแล้วฉันคงต้องสอนบทเรียนใหม่ให้”
“บทเรียนแบบไหนเหรอ?” ฟรานยิ้มแก้มปริแต่ก็ต้องหน้าบึ้งเมื่อซึฮากิลุกไปหยิบกระดานเขียนมา
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 36
แสดงความคิดเห็น