บทที่ 41: พระองค์คิดอย่างไรกับสีเขียว?
ปัจจุบันเสียงร้องดังลั่นภายในห้องยังคงดำเนินต่อไป แต่บนหลังคากลับตกอยู่ในความเงียบจนน่าขนลุก
มู่ไป๋ไป่ตั้งตารอปฏิกิริยาของอวี้เซิ่ง พอเห็นว่าเขาเอาแต่นิ่งเงียบ เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “พี่ใหญ่ เป็นอย่างไรบ้าง? จากตรงนี้ท่านมองเห็นได้ชัดเจนหรือไม่?”
เขาเห็นผู้หญิงคนนั้นหรือไม่ว่าเป็นลี่เฟย?
ถ้าเห็นก็รีบไปฟ้องเสด็จพ่อของเธอสิ!
อวี้เซิ่งเป็นบุรุษที่เคยพบเจออะไรมามากมาย ดังนั้นเขาจึงเอาแผ่นกระเบื้องหลังคามาปิดกลับที่เดิมอย่างใจเย็น
ต่อมา เขาคว้าตัวเด็กน้อยมาหนีบไว้ที่วงแขน และบินออกไปจากตำหนักชิงเหอโดยการกระโดดข้ามหลังคาเพียงไม่กี่ครั้ง
“โอ้โหหหห!”
มู่ไป๋ไป่ที่คว่ำหน้าลอยอยู่กลางอากาศมองดูตัวเองบินด้วยความตื่นเต้น “พี่ใหญ่ นี่คือวิชาตัวเบาในตำนานที่เขาพูดกันใช่หรือไม่?”
นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเธอในการเหาะเหินเดินอากาศ และรู้สึกว่ามันน่าทึ่งมาก!
คำถามนั้นทำให้เท้าของอวี้เซิ่งที่กำลังแตะบนหลังคาลื่นไถล จนเขาเกือบตกจากกำแพงตำหนัก
แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมู่ไป๋ไป่ลงจนกว่าเขาจะบินไปยังสถานที่ที่ไร้ผู้คน
เมื่อนักฆ่าหนุ่มเห็นว่าใบหน้าของนางแดงก่ำแต่ไม่ได้แสดงออกว่ากลัวเลยสักนิด เขาก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “เจ้าไม่กลัวหรือ?”
“ข้าไม่กลัว!” คงมีเพียงพระเจ้าที่รู้ดีที่สุดเพราะสิ่งที่เธอชอบก่อนที่จะทะลุมิติมาที่นี่คือรถไฟเหาะและเรือไวกิ้ง ความรู้สึกที่ทำให้อะดรีนาลีนพลุ่งพล่านหลังจากที่ร่างกายถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมานั้นน่าตื่นเต้นยิ่งนัก
เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องเล่นเหล่านี้กับวิชาตัวเบาของอวี้เซิ่งที่บินได้เหนือพื้นดิน 2-3 เมตรนั้น มันแทบจะเทียบกันไม่ติดเลย
ชายหนุ่มมองดูท่าทางกระตือรือร้นที่อยากจะลองดูอีกสักครั้งของเจ้าตัวเล็กด้วยสายตาเอือมระอา “...”
สมแล้วที่นางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของมู่เทียนฉง เด็กคนนี้ก็มีนิสัยแปลกประหลาดเหมือนกับชายผู้นั้นเช่นกัน
“พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงพาข้ามาที่นี่ ข้ายังดูเรื่องสนุกไม่จบเลย” มู่ไป๋ไป่กะพริบตาปริบ ๆ แล้วเธอก็ถามเลียนแบบน้ำเสียงของเจ้าส้ม “เมื่อกี้นี้ลี่เฟยกับพี่ชายคนนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่ พวกเขาทะเลาะกันหรือ?”
ตอนแรกเจ้าส้มเองก็คิดว่าลี่เฟยกำลังต่อสู้กับองครักษ์คนนั้น
ทางด้านอวี้เซิ่งนอนลงบนแผ่นกระเบื้องโดยการสอดมือไว้ด้านหลังศีรษะ ก่อนจะยกขาขึ้นมาไขว่ห้างแล้วแกว่งมันอย่างสบายอารมณ์
นั่นทำให้ภาพลักษณ์ของเขาตอนนี้ดูหล่อร้ายมาก ซึ่งไม่เหมือนกับมู่เทียนฉง ใบหน้าของนักฆ่าหนุ่มมีความป่าเถื่อนโหดร้ายแฝงอยู่เหมือนคนที่ชอบพเนจรไปในใต้หล้า และเป็นในแบบที่หลาย ๆ คนชื่นชอบ
“เลิกเสแสร้งได้แล้ว เจ้าจงใจให้ข้าเข้าไปดูใช่หรือไม่?” อวี้เซิ่งเลิกคิ้วขึ้นในขณะที่เหลือบมองมู่ไป๋ไป่
เด็กคนนี้มีลูกเล่นมากมาย และคงมีเพียงมู่เทียนฉงเท่านั้นที่คิดว่านางไร้เดียงสา
ไม่สิ ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทมู่จวินฝานจะรู้สึกแบบเดียวกันด้วย
ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เขายิ่งรู้สึกว่าคนตระกูลมู่มีแต่คนป่วยจิต
“ท่านจะบอกว่าไป๋ไป่จงใจได้อย่างไร” มู่ไป๋ไป่หัวเราะกลบเกลื่อน “ไป๋ไป่ไม่รู้สักหน่อยว่าพี่ใหญ่จะมาปรากฏตัวที่นั่นโดยบังเอิญเช่นนี้”
อวี้เซิ่งรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเมื่อได้ยินเสียงเจ้าตัวเล็กหัวเราะ และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเสียใจที่ตนเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นเมื่อครู่นี้
“พี่ใหญ่ ในเมื่อท่านได้เห็นเรื่องตื่นเต้นเช่นนี้แล้ว ท่านจะทำอย่างไรต่อไป?”
มู่ไป๋ไป่วางเจ้าส้มลงระหว่างคนทั้ง 2 จากนั้นก็เอนตัวนอนบนหลังคาเลียนแบบท่าทางของนักฆ่าหนุ่ม
หากใครผ่านไปผ่านมาในเวลานี้ ถ้าเงยหน้าขึ้นพวกเขาอาจจะเห็นขาปริศนา 2 ข้าง โดยที่ข้างหนึ่งสั้นอีกข้างหนึ่งยาวกำลังแกว่งไปมาด้วยความถี่เดียวกันอย่างมีความสุข
“ข้าไม่รู้” อวี้เซิ่งขมวดคิ้วพูด “ข้าไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่น”
“แต่ครั้งสุดท้ายที่องค์หญิงใหญ่รังแกไป๋ไป่ พี่ใหญ่ก็ไม่ลังเลเลย เป็นเพราะพี่ใหญ่คิดว่าไป๋ไป่น่ารักเกินไปหรือไม่?”
ชายหนุ่มกลอกตาแบบไร้คำจะพูด “หน้าด้านให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ”
เด็กคนนี้สืบทอดความไร้ยางอายของมู่เทียนฉงมาได้อย่างสมบูรณ์แบบมาก
มู่ไป๋ไป่รู้สึกเหนื่อยกับการแกล้งทำตัวเป็นเด็กต่อหน้าคนอื่นตลอดเวลา
มันเป็นช่วงเวลาที่หาได้ยากที่เธอจะได้แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาต่อหน้าอวี้เซิ่ง มันจึงทำให้เธอรู้สึกมีความสุขมาก
แล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเขาบ้าง “ทำไมต้องคอยรักษาหน้าตาตัวเองด้วยล่ะ มันกินได้หรืออย่างไร?”
“...” นักฆ่าหนุ่มพูดไม่ออก
ซึ่งมันเป็นความจริงมากจนเขาไม่สามารถปฏิเสธได้
มู่ไป๋ไป่รู้ดีว่าปฏิกิริยาในตอนท้ายของอีกฝ่ายนั้นเป็นสิ่งสำคัญ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้อวี้เซิ่งรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของลี่เฟยและองครักษ์แล้ว เธอไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถปิดบังเรื่องนี้จากมู่เทียนฉงได้
ดังนั้นเธอจึงลุกขึ้นนั่งและยื่นมือป้อมสั้นทั้งสองข้างไปทางคนตัวโตกว่า “พี่ใหญ่ ถึงเวลาที่ท่านต้องส่งข้ากลับศาลาหมิงหลี่แล้ว ใกล้ถึงเวลาเลิกชั้นเรียนแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าใช้ข้ออ้างว่าไปเข้าห้องน้ำแอบย่องออกมา แต่ถ้าอาจารย์เสิ่นรู้ว่าข้าโกหก ข้าจะถูกลงโทษ”
อวี้เซิ่งรู้สึกขบขันกับท่าทางของอีกฝ่าย “ทำไมข้าต้องไปส่งเจ้าด้วยล่ะ เจ้าไม่มีขาหรืออย่างไร?”
“ข้ามีขา” มู่ไป๋ไป่ไม่ได้โกรธเลยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “แต่พี่ใหญ่ ท่านเป็นคนพาข้ามาที่นี่”
“...” เป็นฝ่ายนักฆ่าหนุ่มที่เถียงไม่ออก
“เดิมทีไป๋ไป่สามารถกลับไปที่ศาลาหมิงหลี่ด้วยตัวเองได้” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เด็กหญิงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แต่ตอนนี้ไป๋ไป่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองอยู่ที่ไหน—”
ก่อนที่คนตัวเล็กจะพูดจบ เธอก็ถูกโยนขึ้นไปบนหลังของอวี้เซิ่ง
“นี่! ยังมีแมวอยู่ตรงนี้อีกตัวหนึ่ง!” เจ้าส้มที่ถูกปล่อยลงบนหลังคามองร่างที่เกือบจะหายไปจากสายตาพลางกระทืบเท้าด้วยท่าทางไม่พอใจ
แล้วไม่นานอวี้เซิ่งก็วางมู่ไป๋ไป่ลงที่หน้าประตูศาลาหมิงหลี่ ก่อนจะกระโดดลอยตัวออกไป
ในเวลาเดียวกัน มู่จวินฝานได้รับรายงานจากองครักษ์ที่กลับมาบอกว่าองค์หญิงหกหายตัวไป เขากำลังจะออกไปตามหานาง พอดีกับที่เขาเห็นเด็กหญิงยืนอยู่ที่ประตูด้วยสีหน้าตื่นเต้นและมองไปยังทิศทางหนึ่งโดยไม่รู้ว่าตรงนั้นมีอะไร
“ไป๋ไป่!”
เด็กหนุ่มรีบก้าวเข้าไปตรวจสอบน้องสาวตัวน้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า พอแน่ใจว่านางไม่มีอาการบาดเจ็บบนร่างกาย นอกจากผมที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อย เขาก็รู้สึกเบาใจ
ในที่สุดหัวใจที่เต้นถี่ของเขาก็กลับมาสงบลงอีกครั้ง จากนั้นเขาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าให้คนตัวเล็ก “เจ้าหนีไปไหนมา ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
“แมวป่าหายไปแล้ว ข้ากับเจ้าส้มตามหามันอยู่นาน ระหว่างที่เดินไปเรื่อย ๆ นั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน…”
มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นมองพี่ชายด้วยดวงตาไร้เดียงสา ก่อนจะพูดหาข้ออ้างไปต่าง ๆ นานา
คำพูดเหล่านั้นมันสอดคล้องกับคำบอกเล่าขององครักษ์ ดังนั้นมู่จวินฝานจึงไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก
เขาเพียงแค่ถอนหายใจอย่างโล่งอก และสั่งสอนนางว่าต่อไปอย่าทำแบบนี้อีก ก่อนจะอุ้มน้องสาวเดินเข้าไปที่ศาลาหมิงหลี่
เนื่องจากองค์รัชทายาทช่วยปิดบังอาจารย์เสิ่น ทำให้เขาไม่รู้ว่ามู่ไป๋ไป่ออกไปตะลอนอยู่ข้างนอก
ในอีกด้านหนึ่ง อวี้เซิ่งก็กลับไปถึงตำหนักที่ฮ่องเต้ประทับอยู่เช่นกัน เมื่อมองไปยังฝ่าบาทที่กำลังอ่านฎีกา ภายในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกซับซ้อนขึ้น
“มีอะไรหรือ?” มู่เทียนฉงเลิกคิ้วขึ้นเมื่อสังเกตเห็นสายตาของมือขวาของตน
“...” ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากเบา ๆ เพราะไม่อยากพูดอะไรออกไป แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เปิดปากถามขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจ “พระองค์คิดอย่างไรกับสีเขียว*?”
*คำว่า 绿 (lǜ) ในที่นี้แปลได้ 2 ความหมายคือ 1.สีเขียว 2.โดนหลอก และยังมีคำว่า ถูกสวมหมวกเขียว ซึ่งหมายถึง ผู้ชายที่ผู้หญิงของตัวเองไปลักลอบมีชู้ มีใจให้กับชายอื่น
“อะไรนะ?” ผู้เป็นฮ่องเต้ไม่เข้าใจคำถามของอีกฝ่ายจึงเอ่ยถามอีกครั้ง
“อะแฮ่ม กระหม่อมคิดว่าสีเขียวก็เป็นสีที่ดี” อวี้เซิ่งหลบเลี่ยงสายตาด้วยความรู้สึกผิด
มู่เทียนฉงเงียบไปครู่หนึ่งและแสดงความคิดเห็นขึ้นมาอย่างจริงจัง “ความชอบของเจ้านั้นพิเศษมากนัก”
“...” นักฆ่าหนุ่มนิ่งเงียบไป
ในยามเย็น เมื่อมู่ไป๋ไป่ได้ยินคนเป็นพ่อพูดถึงเหตุการณ์นี้บนโต๊ะอาหารเย็น เธอก็พ่นข้าวออกมาจากปาก
“ทำไมเจ้าถึงมูมมามขนาดนี้?” พอซูหว่านเห็นว่าลูกสาวสำลักข้าว นางก็รีบวางถ้วยและตะเกียบของตัวเองลง แล้วหันไปลูบหลังอีกคน “ไม่มีใครแย่งเจ้ากินหรอก เจ้ากินช้า ๆ ลงหน่อย”
“หว่านผินพูดถูก” มู่เทียนฉงพยักหน้าเห็นด้วยแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “เจ้าเป็นถึงองค์หญิง แต่กลับต้องมาสำลักข้าวตาย ถ้ามีใครเอาเรื่องนี้ไปพูด เจ้าคงจะถูกหัวเราะเยาะเอาได้”
มู่ไป๋ไป่รู้สึกว่าตนนั้นไม่ผิด แต่เธอก็ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ และทำได้เพียงแค่ยิ้มโง่ ๆ เพื่อให้เรื่องนี้จบลงไป
หลังจากรับประทานอาหารเย็นกันเสร็จแล้ว ในตอนที่เหล่านางกำนัลกำลังทำความสะอาดโต๊ะ อันกงกงก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดใบหนึ่ง “ฝ่าบาท วันนี้เป็นวันที่ 15 พ่ะย่ะค่ะ”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ขำเวลา 2 คนนี้อยู่ด้วยกัน คิดภาพนักฆ่ากับเด็กเถียงกัน 5555
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 59
แสดงความคิดเห็น