ตอนที่ 3 .. “ น้ำใจของยาจก ”
ฟังเพลงเพราะๆ ประกอบ นิยาย องค์หญิงใบ้ กับ เจ้าชายยาจก
เป็นเพียงความบันเทิงในการฟังเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ รวมถึง เหตุการณ์ของตัวละครในนิยาย เพื่อให้เกิดอรรถรสในการอ่านเท่านั้น ไม่ได้มีผลใดๆกับทางการค้าทั้งสิ้น
ด้วยความเคารพผู้ประพันธ์นิยาย .. มัชฌิมา
ไม่ใช้คนรักร่วมกับใคร - ปาน ธนพร
https://www.youtube.com/watch?v=eGK8h8Fow-o
ขอขอบคุณ คุณปาน ธนพร จาก ค่ายอาร์เอส โปรโมชั่น ที่เอื้อเฟื้อเพลงให้มาประกอบในนิยาย
Romance Fiction - นิยายรัก / รักโรแมนติก
ตอนที่ 3 .. “ น้ำใจของยาจก ”
เมืองราม หยุดตามที่แม้นมาศบอกแล้วหันไปหาเธอ “มีไร” เธอเอามือขวาชี้ไปทางซ้ายอ้อมตัวไปแล้วบอกให้หันไปดูเอาเอง
“หันไปดูเอาเอง” เขาก็หันไปดู เห็นเด็กผู้ชายผู้หญิงวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ถือไม้เบสบอลบ้าง สนับมือบ้าง ไม้หน้าสามบ้าง แป๊บน้ำบ้าง เกือบ 10 คน ยืนจังก้าอยู่
“โอ้โฮ เต็มเลย” เขาพูดในใจ “ทำไมมาเยอะจัง”
“พวกเอ็งเป็นใคร ทำไมมายืนลับๆ ล่อๆ แอบดูอะไรตรงนี้ ตั้งนานแล้ว มาแอบส่งยากันรึ จะได้จับตัวส่งให้ตำรวจซะเลย” เด็กหนุ่มใจกล้าคนหนึ่ง เอ่ยปากออกมา ท่าทางจะเป็นหัวหน้า แม้นมาศจะอ้าปากบอก ข้างๆ นี่แหละตำรวจ แต่เมืองรามเอามือปิดปากไว้
“ว่าไง” เด็กสาวอีกคนสำทับขึ้นมา
“ถ้าไม่บอก พวกฉันทั้งหมด จะแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้ เพราะแถวนี้ เจ้าชายบอกว่า เขตปลอดยา ต้องช่วยกันดูแล”
“ใช่ แก้ว พูดถูก ถึงจะเป็นสลัม ชุมชนแออัด แต่ที่นี่ เราก็ไม่มั่วสุมยาเสพติด” ทุกคน เตรียมเดินหน้า ก้าวเท้าช้าๆ เคลื่อนไปหาทั้งสองคน “เดี๋ยว” เมืองราม ยกมือห้ามไว้
“พวกเราสองคน ไม่ได้มาค้ายา อย่างที่พวกน้องเข้าใจนะ คือ พวกเราๆ เป็นๆ” เมืองราม ไม่รู้จะทำไงแล้ว เขามองเห็นกล้องของ แม้นมาศ จึงมีความคิดออกมาทันที
“พวกพี่เป็นแมวมอง” แม้นมาศ พอมีช่อง ก็รีบสำทับทันที
“ใช่ๆ พวกพี่เป็นแมวมอง” ทั้งหมด งง อะไรวะแมวมอง
“อะไรวะแมวมอง ใครรู้บ้าง” ไอ้นึก หันไปถามพวกพ้อง ทุกคนส่ายหัว ระหว่างที่ขยับตัว เสื้อเมืองรามก็เปิดขึ้น แก้วสังเกตุเห็นปืน ที่เสียบอยู่ที่เอว
“เอ้ย พวกเรา มันมีปืนด้วย เอามันเลย” แก้วไม่ฟังเสียง บอกเพื่อนๆ ตะลุมบอน เมืองรามกับแม้นมาศก็ต้องวิ่งหนะซิ เมืองรามคว้าแขนแม้นมาศวิ่งออกจากตรงนั้น
เด็กกลุ่มนั้น วิ่งไล่ตาม จนเข้าไปในเขตวัด เมืองรามกับแม้นมาศ วิ่งหนีอย่างเดียว พวกนั้นก็เฮโลตามไม่เลิก ดักคนละทางสองทาง จนมาเจอกับ หลวงตาบุญ พอดี
“เอ้ย..หยุด ข้าบอกให้พวกเอ็งหยุด” ทั้งหมดก็หยุด เมืองรามกับแม้มาศ วิ่งอ้อมไปหลบอยู่หลัง หลวงตาบุญ
“นี่มันในวัดนะ พวกเอ็งทำอะไรไม่เกรงใจพระเจ้าบ้างกันเลยรึไงไอ้นึก” ทั้งหมดนั่งคุกเข้าพนมมือ
“ไอ้นั่นมันมีปืน มีพิรุธ ถามอะไรมันก็ไม่ตอบและมันบอกอีกว่า มันเป็นแมวมองอะไรก็ไม่รู้ พวกผมก็ไม่เข้าใจครับหลวงตา” ไอ้นึกรีบบอกหลวงตา แล้วแก้ว ก็บอกต่ออีก
“หนูเห็นว่า มันมีปืนมีอาวุธที่ร้ายแรง เจ้าชายเคยบอกว่า ถ้าพบเห็นพวกนี้ให้จับส่งตำรวจได้เลยค่ะหลวงตา”
หลวงตา หันไปมองเมืองรามกับแม้นมาศ สักพักก็หันกลับไปบอกพวกกลุ่มเยาวชนที่รักชุมชน
“เอาหละๆ เดี๋ยวเรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง ข้าดีใจนะที่คำสั่งสอนของเจ้าชายของพวกเอ็ง มันได้ผล กลับกันไปได้แล้ว และทีหน้าทีหลัง อย่าทำแบบนี้เข้าใจไหม การใช้กำลัง มันไม่ช่วยอะไร เจ้าชายของพวกเจ้า ไม่ได้บอก ไม่ได้สั่งสอนเอาไว้รึไง ไป ไปทำมาหากิน เลี้ยงครอบครัวกันได้แล้ว ไป” เทศน์เสร็จ ก็ลากันกลับไป แล้วก็หันกลับมาดูสองหนุ่มสาวที่นั่ง หอบอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้าเล็กน้อย กวักมือให้ตามขึ้นกุฏิไปทันที
“เอ้า ดื่มน้ำ กันก่อน มากันเหนื่อยๆ” ทั้งสองคน ยกมือไหว้ หลวงตา แล้วเมืองรามก็ยกขันน้ำดื่ม
“มีแต่น้ำฝนเย็นๆ นะโยม วัดบ้านนอกๆ แบบนี้ ไม่มีน้ำแข็งหรอก อาตมา ไม่นิยมฉัน” หลวงตาออกตัว
“แค่นี้ กระผมกับเพื่อนก็สดชื่นแล้วครับหลวงตา ขอบคุณมากๆ เลย” เมืองราม ขอบคุณหลวงตา
“แล้วตกลงพวกเจ้าสองคนเป็นใครมาทำอะไรที่นี่หละ เห็นเจ้าแก้ว มันบอกว่า เจ้าพกปืนมาด้วย”
เมืองราม หยิบกระเป๋าสตางค์ แล้วหยิบบัตรข้าราชการตำรวจ ส่งให้หลวงตาบุญดูด้วยมือ
“ขอประทานอภัยนะครับหลวงตา นี่ขอรับ” หลวงตาบัว รับแล้วมาอ่านดู แล้วก็ส่งคืนให้กับเมืองราม
“เป็นตำรวจหรอกรึ ยศถึงผู้กองซะด้วย แล้วอีกคนหละ ยังดูเด็กอยู่เลย เป็นตำรวจกับเขาด้วยรึป่าวหละ”
“ป่าว หรอกเจ้าค่ะหลวงตา หนูเป็นนักข่าวฝึกหัด ยังเรียนอยู่ สื่อสารมวลชน ธรรมศาสตร์ ปีสุดท้ายจร้า”
“แล้วไปทำยังเข้า ไปทำลับๆ ล่อๆ อะไร เจ้าพวกนั้น ถึงนึกว่า เป็นพวกผู้ร้ายซะเอง”
“คือเรื่องมันยาว มันซับซ้อนหนะครับหลวงตา”
“เอาย่อๆ เผื่ออาตมา จะพอช่วยอะไรได้บ้าง”
“คือเมื่อหลายวันก่อน ญาติของกระผมคนหนึ่งเป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 22 ปี ได้มาเที่ยวงานประจำปีที่นี่แล้วได้พลัดหลงหายไป กระผมก็เลยมาตามหาครับ”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ถึงต้องทำลับๆ ล่อๆ เลยนี่ แล้วไปแจ้งความรึยังหละ”
“แจ้งแล้วครับ แต่เรื่องมันไม่ใช่เท่านี้นะซิครับ”
“มีใหญ่กว่านั้นอีกรึพ่อหนุ่ม”
“ค่ะหลวงตา” แม้นมาศ คันปากมานาน ก็เลยโพล่งออกมา
“มันยังไง เอ้า ไหนลองบอกอาตมา มาซิ”
“คือที่หายไปเนี่ย มันไม่ได้หายไปแบบธรรมดานะซิขอรับหลวงตา” หลวงตาจ้องหน้า แม้นมาศ
“คือ ผู้หญิงคนนี้ ถูกตามฆ่าค่ะ แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร เมื่อวานหนูกับผู้กองมาดูที่เกิดเหตุ อยู่ตรงข้างเมนเผาศพในวัดของหลวงตานี่แหละค่ะ” หลวงตาตกใจ
“ว่าไงนะ นังหนู เรื่องเกิดในวัดของอาตมานี่นะเหรอ ตรงไหนๆ ไหนพาอาตมาไปดูซิ”
แล้วแม้นมาศกับเมืองรามก็พาหลวงตาบุญไปดูที่เกิดเหตุ ทั้งสามคนเดินดูรอบๆ สถานที่เกิดเหตุ หลวงตาบุญ แทบไม่เชื่อสายตาว่า จะเกิดเรื่องแบบนี้ที่วัดนี้ได้ คนร้ายช่างอุกอาจเหลือเกิน รอยกระสุนปืน และ เศษลังไม้ที่แตกหักพังยับ ยังกระจัดการะจายอยู่เลย เพราะแถวนี้ ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาสักเท่าใด
“คงเป็นเพราะว่า เสียงจากงานมันดัง จึงไม่ได้มีคนสนใจ และได้ยินเสียงอะไร พวกนี้” หลวงตาบุญกล่าว
“ผมคิดว่า ก็คงเป็นเช่นนั้นครับหลวงตา” เมืองราม พนมมือพูด
“แต่หนูคิดว่า องค์หญิงอะไรท่านนั้นหนะ ต้องมีคนช่วยไปแน่นอน และคงไปไหนไม่ไกลแถวนี้ด้วย”
คำพูดของ แม้นมาศ ทำให้หลวงตาบุญ คิดอะไรขึ้นมาได้
“น่าจะจริงอย่างที่นังหนูนี่พูด เอาหละ เดี๋ยวหลวงตาจะพยายามสอบถามคนแถวนี้ให้นะว่า มีใครเห็นผู้หญิงแปลกหน้า แปลกถิ่นบ้าง แล้วถ้าเมื่อไหร่ผ่านมาอีก ก็แวะเข้ามาถามแล้วกันนะพ่อหนุ่ม” หลวงตาบุญ กล่าว
“ขอบพระคุณมากครับ หลวงตา งั้นผมกับแม้นมาศ ขอตัวลากลับก่อนนะครับ ขอกราบลาตรงนี้เลยแล้วกัน”
“ได้ๆ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะ การช่วยเหลือคนมันได้บุญสูง ขอให้โชคดีทั้งสองคนนะ”
“ลาละค่ะหลวงตา” แล้วทั้งสองคนก็กราบลาหลวงตาบุญ และเดินกลับออกไปทางเดิม หลวงตาบุญได้แต่ยืนจ้องมองรอยกระสุนปืนอยู่พักใหญ่ แล้วถอนหายใจ และก็เดินจากตรงนั้นไป
*****-----*****
ธวัชวิ่งมาถึงบ้าน งามตา วิ่งตามมาติดๆ เสียงดังลั่นมาแต่ไกล พ่อ แม่ ตกใจหมดเลย ไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร เพราะ มันฟังไม่เป็นประโยคเลย..ธวัช วิ่งขึ้นบันไดมาเจอแม่ แบบหอบๆ
“หยุด” แม่ยกมือ สองข้างมาห้าม ธวัช และ งามตา
“มันอะไรกันนะไอ้เด็กสองคนเนี่ย วิ่งไล่จับกันเหมือนเด็ก โตๆ กันแล้ว นังหนูมันยังนอนอยู่ เดี๋ยวก็ตื่นกันพอดี” ธวัช เอียงหัวไปดูนก
“อ้าว ไหนไอ้เอี้ยง กับไอ้โก๊ะ มันบอกว่า นกหายดีแล้วไง”
“ค่อยยังชั่วแล้ว แต่ข้าอยากให้มันพักผ่อนอีกหน่อย ก็เลย ให้มันทานยาแล้วนอนอีก ตื่นขึ้นมาจะได้สดชื่น”
“ตกลงใครหนะป้า นกเนิ้ก อะไรเนี่ย เมียพี่วัชเหรอ เห็นหัวซอย ท้ายซอย เขาโพนทนากันทั่ว” งามตาถาม
“แกก็ไปเชื่อพวกมัน คนในนี้มีใครบ้าง ที่จะเอาเรื่องดีๆ มาให้ เด็กหลงทาง หนีตายมา” สะอิ้ง อธิบายให้ฟัง
“คราวนี้เข้าใจพี่รึยัง นังงาม” ธวัช หันไปต่อว่า งามตา งามตา ก็ยังทำท่าหงุดหงิด
“ก็ใครจะไปรู้หละ เห็นเขาพูดกัน”
“แล้วทำไมแกไม่มาถามพี่ หรือไม่ก็ที่บ้านหละ ไปเชื่อพวกนั้น ดี คราวหน้า มีอะไร งามก็ไปเชื่อพวกนั้นก็แล้วกัน อย่ามาให้พี่ช่วยเหลือ อะไรอีกเลย”
“โอ๋ โอ๋ โอ๋ หนูขอโทษ” งามตา ยอมรับผิด แล้ว เอามือมานวดไหล่ทั้งสองข้างของธวัช ธวัช สะบัดออก ทำเป็นไม่พอใจ สักพัก นกตื่นขึ้นมา เปิดมุ้ง ค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง มองไปรอบๆ แล้วเธอก็มองไปเห็นสายตาคู่หนึ่ง ที่กำลังจ้องมองเธออยู่ เธอเหมือนจะร้องไห้ ธวัชรีบวิ่งเข้าไปหา แล้วกอดนก ด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไงบ้างจ๊ะ ปลอดภัยแล้วนะคนดี” ธวัช พูดปลอบใจ พร้อมกับเอามือลูบผมลูบหัวนกตลอดเวลา นกกอดธวัชแน่น เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เพราะธวัชคือคนที่ช่วยชีวิตเธอ เธอจำได้แต่ธวัชคนเดียว เธอยังไม่ไว้ใจใครนอกจากธวัช พ่อ และแม่ 3 คนเท่านั้น แล้วธวัช ก็ประคองนกออกมาจากมุ้ง พาไปล้างหน้าล้างตา แล้วพามานั่งคุยที่ศาลาข้างบ้าน งามตา ไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ธวัช เอาใจใส่นกมากขนาดนั้น (ความหึงบังตาว่างั้น)
“ดีขึ้นรึยัง” ธวัช ถามนก นกก็พยักหน้า
“แล้วหิวข้าวไหม แม่จะได้ให้พี่เค้าหามาให้ทาน” แม่เป็นห่วง นกหยิบกระดาษ มาเขียนสื่อสารกับทุกคน
“นิดหน่อยจร้า” แล้วก็ส่งให้กับทุกคนอ่าน
“แล้วพี่หละ เหนื่อยไหม ทานอะไรมารึยัง” นกหันไปถามธวัช
“พี่ทานแล้ว นกทานเถอะ” นกทำหน้าฉงน ว่านกคือใครหรือเป็นชื่อของเธอ ทำท่างง
“อ้อ..สงสัยคงยังจำอะไรไม่ได้” พ่อกล่าวขึ้นมา เพราะเห็นทำหน้าอย่างนั้น
“เอ้อ ใช่ แม่กับพ่อ ยังไม่ได้บอกนังหนูเลยว่า เราตั้งชื่อให้ใหม่ว่า นก นังหนูมันก็เลย งง”
“ใช่ๆ” แม่กล่าวต่อ หันไปที่นก “ต่อไปนี้ หนูชื่อนกนะลูก” แม่ชี้ไปที่ตัวขององค์หญิง
“เพราะหนูจำอะไรไม่ได้ พี่เขาเลยตั้งชื่อให้หนูใหม่ว่า นก ตกลงไหม” องค์หญิง หันไปมองหน้าธวัช แล้วยิ้ม และพยักหน้า และยกมือไหว้ธวัช ธวัชรีบออกตัว “ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร”
“แล้วทำไมไม่พูดหละป้า ทำไมต้องเขียนใส่กระด่งกระดาษให้มันเสียเวลา” งามตา ยังคงสงสัย
“ก็นังหนูเนี่ย มันเป็นใบ้ พูดไม่ได้ นะซินังงาม” ตาทด เอามือเขกกะบาล งามตา เบาๆ
“เอ้า แล้วใครจะไปรู้หละลุง ก็ไม่มีใครบอกหนูเลย” งามตา เอามือกุมหัวแล้ววิ่งหนีไปอยู่หลังธวัช
“แล้วทำไมไม่ถาม มาแต่ละที แว๊ดๆๆ มาทุกครั้ง ไม่เคยเรียบร้อยกะเขาเลย นังงามเอ้ย” เจอตาทด เทศน์อีกแล้ว นกเห็นแล้วก็ยิ้มและหัวเราะออกมา ทั้งๆ ที่ไม่มีเสียง ดูเหมือนว่า ชีวิตแบบนี้ เธอจะเริ่มปรับตัวได้ เพราะมันเป็นชีวิตชาวชนบทแบบบ้านๆ ที่สดใสจริงๆ แล้วทุกคนก็มานั่งล้อมวงทานข้าวกัน
***** ----- *****
< กริ๊งๆ ๆ > เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่ ประชาสัมพันธ์
“มูลนิธิเด็กด้อยพัฒนาทางสังคมหัสดีค่ะ” แล้วเธอก็ต่อสายเข้าไปในห้องของ ยุภา
“คุณหญิงคะ เจ๊ไก่ อยู่ในสายค่ะ” ประชาสัมพันธ์วางสายของเธอ
“ว่าไงเจ๊ ทำหญิงแสบเลยนะ มีอะไรจะแก้ตัวก็ว่ามา” ยุภาได้โอกาสต่อว่า เจ๊ไก่
“แหมๆๆๆๆ อย่าโมโหโกธา ไปเลยคุณหญิงคนสวยของเจ๊ เจ๊พลาดไปนิดเดียว แต่ตอนนี้เจ๊ได้แก้ไข ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ริชชี่ ไปถึงคุณหญิงน้องรึยังจ๊ะ” ยุภา ทำหน้า งง
“ใคร ริชชี่” สักพัก ก็มีเสียงเคาะประตู ปวีณา เปิดประตูแล้วบอกว่า
“คุณคนนี้ ที่มาเมื่อวาน มาขอพบอีกครั้งค่ะ”
“ริชชี่” เธอบ่นในใจ แล้วก็ตอบกลับเจ๊ไก่
“คงจะมาถึงแล้วหละ แค่นี้ใช่ไหมเจ๊ ที่โทรมาบอกเนี่ย”
“จร้า ขอให้ Happy มีความสุขมากๆ กับการทำงานนะจ๊ะคุณหญิงน้อง”
“แทงยู ค่ะเจ๊” แล้วก็วางสายเลย แล้วก็เอามือขวา สะบัดให้ปวีณาออกไป
ริชาร์ด เดินเข้ามา พร้อมกับ จ้องหน้า ยุภา แล้วก็ดึงเก้าอี้ออกมานั่ง
“เอาหละครับ คราวนี้ เราจะมาพูดดีๆ กันสักครั้งได้รึยัง คุณหญิง”
“ก็ว่ามาซิคะ ในเมื่อตอนนี้ ดิฉันก็เข้าใจหมดแล้ว ถือซะว่า เรื่องเมื่อวาน ไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน”
“เอางั้นเลยรึ” แล้วริชาร์ด ก็ยื่นหน้าไปหายุภา ยุภาก็ใช่ย่อย เธอก็ลุกขึ้นมาแล้วยื่นหน้าไปหาริชาร์ด เช่นกัน
“นี่นามบัตรผม” ริชาร์ด ยื่น นามบัตรให้ยุภา ตรงลูกกะตา ยุภาก็รับมาแล้วนั่งลง เธออ่านนามบัตร
“ริชาร์ด ทัสคานีย์ มาลากุล” แล้วเธอก็ ทำหน้าเหมือน ปลื้ม ก็ไม่ใช่ ไม่สนใจก็ไม่เชิง แล้วก็ วางลงเบาๆ
“คุณริชาร์ด” เธอเอามือขวา ดันนามบัตรไปไว้ใต้สมุดบันทึกแถวนั้น
“คุณหญิงจะเรียกผมว่าริชชี่ ตามเจ๊ไก่ก็ได้นะ ผมไม่ว่า” ริชาร์ด ออกตัว ไว้ก่อน เพราะดูสีหน้า เหมือนไม่ต้อนรับ ยังไงก็ไม่รู้ แต่เขาก็ไม่สนใจ เขาเปิดกระเป๋าเอกสาร และก็เอางานที่เขาวางแผนออกมา
“นี่คือ สตอรี่บอร์ด ย่อๆ นะครับ เราจะใช้งบประมาณไม่มาก แต่คงไว้ด้วยความสวยงาม ตามที่คุณต้องการ คุณหญิงจะตรวจงานดูก่อนก็ได้นะครับ เพราะสิ่งที่เจ๊ไก่ส่งให้ผมดู ผมก็บรี๊บได้ประมาณนี้ ถ้ามีอะไรที่คิดว่า ผิดไป คุณหญิงก็โทรหาผมได้เลยนะครับ ตามเบอร์ที่ให้ไว้”
ยุภา เห็นงานของ ริชาร์ด ก็อึ้งไปพักใหญ่ เพราะไม่น่าเชื่อว่า งานที่เขาทำออกมาให้เธอเห็นมันช่างดูดีไม่มีที่ติ ผิดกับนิสัยที่ได้เจอกันครั้งแรก มันช่างตรงข้ามอะไรกันเช่นนี้ เธอค่อยๆ เงยหน้าไปมอง ริชาร์ด และนิ่งไป
“ขอหญิง ดูงานที่เสนอมาก่อนแล้วกันนะคะ” เธอแกล้งออกตัวก่อนเดี๋ยวจะหน้าแตก กลัวเสียฟอร์ม เพราะไปว่าและดูถูก ริชาร์ด ไว้เยอะ แล้วเธอก็แกล้ง ก้มไปดูงาน เธอพูดกับริชาร์ด แบบไม่มองหน้า
“แล้วหญิงจะติดต่อกลับไป ก็แล้วกันนะคะ”
“ยินดีครับ งั้นผมขอตัวกลับก่อนแล้วกัน บาย” แล้วริชาร์ด ก็ลุกออกไปดื้อๆ แบบไม่สนใจเช่นกัน
ยุภาแอบเหลือบสายตาชำเลืองดู อากัปกิริยาของริชาร์ด ว่าเป็นไงบ้าง โดยเอางานปิดหน้าไว้ พอริชาร์ด เดินออกประตูไป เธอก็วางงานลงบนโต๊ะ แล้วถอนหายใจ ยังไม่ถึง 5 วิ ริชาร์ด เปิดประตูพรวดเข้ามา
“อ้อ..ไม่ต้องรีบร้อนนะครับคุณหญิง ผมไม่รีบ” แล้วก็ส่งยิ้มแบบทะเล้น และส่งสายตา ให้ยุภา เหมือนรู้ทัน
“อีตาบ้า” เธอตะโกนใส่ ริชาร์ด แล้วริชาร์ด ก็ปิดประตู ก่อนที่ อะไรต่อมิอะไรจะลอยตามมา
ยุภา ตกใจตั้งตัวไม่ทัน เสียฟอร์มเลยเห็นๆ นอกห้อง ริชาร์ด แอบหัวเราะและยืนยิ้มอยู่คนเดียว เพราะเขาแอบมองยุภาอยู่ที่กระจกข้างห้องนั่นเอง
***** ----- *****
ที่กระทรวงพาณิชย์ องค์ชาย โกมุท ได้ให้ เมฆ มือปืนเข้ามาหา มาถามข่าวคราวว่างานที่ให้ไปทำเป็นไงบ้างมีความคืบหน้าเช่นไร
“ไงวะไอ้เมฆ ไหนบอกข้ามาซิ ว่าพลาดได้ยังไง งานง่ายๆ แบบนี้” โกมุท ยืนมองดูภายนอกจากกระจกภายใน แล้วดึงม่านปิด เพื่อไม่ให้ใครรู้เรื่องนี้ แล้วก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้
“กระหม่อมจะฆ่าองค์หญิงได้อยู่แล้วพะยะค่ะ องค์ชาย”
“แล้วทำไมถึงไม่ตาย” องค์ชาย ถามด้วยความโกรธ และโมโห ทุบโต๊ะ ดังสนั่น จนคนภายนอกสงสัย ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านใน แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ ก็จึงได้แต่ทำตัวตามปกติ
“มีคนมาช่วยไว้นะซิ” เมฆ พยายามอธิบาย
“แล้วมันเป็นใคร จนปาดนี้เอ็งยังหาตัวไอ้นั่นไม่เจออีกรึ”
“กระหม่อม พยายามแล้ว แต่ก็ยังหาไม่เจอพะยะค่ะ”
“อะไรวะ ไปกันตั้งหลายคน แต่กลับไม่ได้อะไรเลย คว้าน้ำเหลว ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว ยังกำจัดให้พ้นทางไม่ได้ ฝีมือตกนะแกเนี่ย เมฆ” องค์ชาย สบประมาทเมฆจังๆ หันไปมองหน้าเมฆ แบบดุดัน
“ขอกระหม่อมแก้ตัวอีกสักครั้งนะพะยะค่ะ” เมฆ ขอโอกาส
“ได้ ถ้าข้าไม่เห็นแก่หน้าพ่อของแกที่เคย เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงมาตั้งแต่สมัยปู่ของข้าแล้ว แกไม่มีลมหายใจมาต่อความยาวสาวความยืดกับข้าแบบนี้หรอก”
“ขอบพระทัย พะยะค่ะ” เมฆ ตัวสั่น เพราะกลัวอำนาจของ องค์ชาย
“คดีเก่าของแก ก็เหมือนกัน ช่วงนี้ถ้าไม่จำเป็น อย่าออกมาเพ่นพล่านบ่อยนัก และเรื่องทวงหนี้ก็เหมือนกันไปถึงไหนแล้ว ไอ้พวกลูกหนี้ทั้งหลาย ทวงได้มากน้อยแค่ไหน เห็นเงียบไปเลย”
“ตามอยู่ บางคน มันก็หนีไปกบดาน บางคนที่ไม่มี ยึดบ้านยึดที่มันมาก็หลายรายแล้วกระหม่อม”
“ระวังตัวไว้บ้างก็ดีนะ ข้าได้ข่าวจากวงในว่า มีตำรวจฝีมือดี เริ่มตามข่าวนี้แล้วนะ ระวังจะเจอแจ๊คพ็อต คดีเก่าเอ็งด้วยหละ มันจะพาซวยมาถึงข้าด้วย” องค์ชาย กำชับ เพราะกลัวติดรากแห
“อ้อ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่จำเป็น อย่าโผล่หน้าไปที่วังขององค์หญิงด้วยนะ เดี๋ยวจะมีคนจำได้”
“สบายใจได้เลยกระหม่อม ตอนนี้หม่อมฉันก็ให้ไอ้โขงไปดูลาดราวแถวนั้นอยู่เพราะกระหม่อมคิดว่า ยังไงๆ องค์หญิง ก็ยังคงอยู่แถวนั้นแหละ ต้องเจอเข้าสักวันน่า
“เออ ข้าจะคอยฟังข่าวดีจากพวกแก ขอให้มันเร็วๆ เถอะ ทรัพย์สินเงินทอง มากมาย รอข้าอยู่ข้างหน้า ถ้าข้าได้อภิเษกกับองค์หญิงเร็วเท่าใด โอกาสที่ข้าจะได้ครอบครองวัง บุษบง มันก็จะใกล้เข้ามาได้เร็วขึ้น”
แผนการในครั้งนี้ องค์ชายได้วางแผนไว้อย่างรัดกุมถึงสองชั้น หวังว่า คงไม่พลาด ถ้าแผนลอบปลงพระชนม์ได้ผล แล้วช่วยตัวกลับมาได้ เขายิ่งจะได้รับความไว้วางใจจากเสด็จพ่อขององค์หญิงอีกมากมายเลยทีเดียว
***** ----- *****
เวลาได้ผ่านไปอีก 2 วัน นกเริ่มแข็งแรงดี นกขยันทำงานช่วยธวัช พ่อแม่ของธวัชชอบนกมาก จนเพื่อนๆ แซวกันว่า ธวัชมันได้เมียดี เพราะถึงแม้จะเป็นใบ้ แต่นิสัยดี หนักเอาเบาสู้ เวลาทะเลาะกัน จะได้ไม่ต้องเถียงกันมาก
“วัชเอ้ย” สะอิ้ง เรียกลูกชาย
“นี่ก็งานวัดวันสุดท้ายแล้ว พาน้องไปเปิดหูเปิดตา ที่งานบ้างซิลูก”
“ได้จ๊ะแม่ วัชว่า กำลังจะขอแม่กับพ่ออยู่พอดีเลย ใจตรงกันเลยนิ”
“ไปเถอะ นังหนูมันจะได้มีความสุขกับเขาบ้าง”
“แล้วดูแลน้องดีๆหละ อย่าให้ใคร มาทำอะไรอีกนะ”
“รับรองเลยแม่ งั้นวัชไปเปิดร้านก่อนนะ เดี๋ยวเย็นๆ วัชจะเข้ามารับนกนะ แม่เตรียมชุดสวยๆ ให้นกด้วยหละ” แล้วธวัชก็หันไปจับมือนกและบอกว่าเย็นนี้จะมารับ แต่งตัวให้สวยๆ นะ นกยิ้มและพยักหน้า ธวัชค่อยๆ ปล่อยมือนก แล้วก็หันหลังเดินลงบันได นกดึงมือธวัชไว้
“มีไรเหรอ” นกยื่นปิ่นโตให้ธวัช เขางง แม่ก็เลยตะโกนบอก
“ลืมบอก แม่เห็นนังหนูมันตื่นขึ้นมา ทำให้แต่เช้ามืดแล้ว เอาไปทานกลางวันนะวัช”
ธวัช พึ่งรู้ว่า นกทำกับข้าวเป็น แต่จะอร่อยหรือเปล่า เขาไม่รู้ เขาคิดยังงั้น แล้วไอ้มื้อเช้าที่ทานไปเขาไม่รู้รึไง ว่านั่นแหละ ฝีมือนกล้วนๆ แล้วเขาก็รับไปโดยดี เดินลงบันไดไปอย่างเงียบๆ ช้าๆ และเดินตรงไปยังร้านทันที
พอมาถึงที่ร้าน ไอ้จ้อยก็แซวทันทีเพราะไม่เคยเห็นลูกพี่ถือปิ่นโตมาร้านสักกะที ลูกค้าหลายคนก็มองเช่นกัน
“เอ้ย พวกเรา ตอนนี้เจ้าชายของเรา มีคนส่งข้าวส่งน้ำแล้วโว๊ย” ธวัช หันไปชี้หน้าไอ้จ้อย แล้วโยนกุญแจร้านให้ไอ้จ้อยเปิด แล้วชี้หน้า ทำปากขมุบขมิบ
“ปากดีนะมึง ไอ้จ้อย สักวันจะโดน แล้ววันนี้เอากุญแจไปปั๊มด้วย ทำหายทีไร ไม่เคยทำใหม่เลยนะเอ็ง”
“จร้าเจ้าชาย สุดที่รัก ข้าน้อยผิดไปแล้ว วันนี้ไอ้จ้อย ข้ารับใช้จะนำพระกุญแจไปทรงพระปั๊มเลย พะยะค่ะ”
“ยังอีก” ธวัช วางปิ่นโตแล้วก็ไล่เตะไอ้จ้อย ความสุขตามประสาคนชนบทก็บังเกิดขึ้นตามเดิม
***** ----- *****
เมืองราม มารอแม้นมาศ ที่มหาลัยธรรมศาสตร์ ตามที่แม้นมาศขอร้องไว้ พอเธออกมา เมืองรามก็ทำหน้าไม่ค่อยพอใจ เพราะเหมือนว่า เธอจะออกมาช้า หรือว่า เขาหิวก็ไม่รู้..แม้นมาศ เดินมาเกาะประตูรถข้างคนขับ
“ทำไมออกมาช้าหละแม่คุณ ไหนบอกว่าเลิกเร็วไง รู้งี้ไม่มาก็ดี”
“อย่าบ่นน่าคุณชาย ไม่น่ารักเลย พอดีหนูท้องเสีย ก็เลยเข้าห้องน้ำนานไปหน่อย” แม้นมาศ ขอโทษ
“โกรธหนูเหรอ หนูขอโทษนะนะ รับรอง วันนี้หนูจะไม่ดื้อกับผู้กองเลย ขอสัญญา” แม้นมาศ อ้อนตามเคย
“เอ้าๆ จะทำอะไรก็ทำ ผมหิวข้าวแล้ว มารอตั้งนาน หมดน้ำไปหลายขวดแล้วเนี่ย” แม้นมาศ รีบวิ่งขึ้นรถ
“ถามจริง แล้ววันนี้ให้ผมมารับทำไมเนี่ย แล้วทุกวันกลับยังไง”
“รถเมล์” แม้นมาศเอานิ้วมือซ้ายปิดปากเมืองราม “หยุด ถ้าหิวก็ไปได้แล้ว อยากไปทานที่ไหนเชิญเลย”
เมืองราม ทำท่าจะงับนิ้วแม้นมาศ แม้นมาศดึงมือออก แล้วทำหน้าทะเล้นใส่เมืองราม แล้วก็หันไปโบกไม้โบกมือบ๊ายบายเพื่อนๆ “ไปเลย” เมืองราม ก็ออกรถทันทีอย่างแรง ทำให้แม้นมาศกระเด็นติดเบาะอย่างจัง เธอทุบไหล่ซ้ายเมืองราม ทันที “อีตาบ้า” แล้วเธอก็ดึงเข็มขัดนิรภัยมาใส่ เมืองรามไม่สนใจ ไปต่อทันที
“ทำไมออกรถแบบนี้ บ่นมากเป็นตาแก่เลย ว๊าย...เมืองรามๆ”
***** ----- *****
กลุ่มคนร้ายที่ตามฆ่าองค์หญิง ก็ยังไม่ยอมเลิกรา ก็ยังส่งคนตามหาอยู่เรื่อยๆ เมฆ ส่งลูกน้องออกตามหา ทุกซอกทุกมุม กระจายเป็นวงกว้างในบริเวณนั้น..ระหว่างนั้น เมืองราม ก็พาแม้นมาศ มาทานอาหาร ใกล้ๆ ที่เกิดเหตุอีก ระหว่างทานข้าว เมืองราม ก็คิดไปต่างๆ นาๆ ผ่านตรงนั้น ผ่านตรงนี้ จากจุดนั้นไปจุดนี้ จนทำให้แม้นมาศ อดสงสัยไม่ได้ว่า นายตำรวจหนุ่มผู้นี้ เขาเป็นอะไร ก็เลย ทำเสียงดังๆ ให้ เมืองรามตกใจ “ชู่” ได้ผล
“เล่นอะไร ยัยต๊องส์ ตกใจหมดเลย” เมืองราม ตื่นจากภวังค์
“ก็นี่มันเวลากิน ไม่ใช่เวลาทำงานนะคะคุณท่าน” เมืองราม มองหน้า แล้วก็เอามือขวา ทำท่าจะเขกกะบาล แม้นมาศ แต่ไม่ได้เขกจริงๆ หรอก แต่แม้นมาศ นึกว่าจริง ก็เลยยกสองมือมาบังหัวตัวเองเอาไว้ แล้วค่อยๆ โผล่หน้ามาดู แลบลิ้นนิดหน่อย “แฮ่ๆ” แล้วก็ทานข้าวต่อ
“คิดอะไรอยู่หละ ทานก่อนดีไหม” แม้นมาศ เอาช้อนชี้ไปที่พวกกับข้าว
“มันก็ยังแปลกๆ อยู่ดีนะ เธอลองคิดดูซิ ไม่มีข่าว ไม่มีคนมาแจ้งความ ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง” เมืองรามบอก
“คิดดูซิ” เขาเอาช้อนมาเคาะจานข้าวแม้นมาศ
“เกิดเรื่องขนาดนั้น แต่ไม่มีใครไปแจ้งความว่า ถูกทำร้าย แต่มีคนมาคอยถามหาคนในช่วงสองสามวันนี้”
“มันก็น่าคิดนะผู้กอง ถ้าคิดในทางกลับกัน เขาอยากหลบซ่อนตัว เพื่อไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน มันก็เป็นไปได้นะ” แม้นมาศ พยายามช่วยให้เมืองรามคลายความกังวล
“จริงด้วย ถ้าองค์หญิง ต้องการซ่อนตัว เราก็ไม่สามารถรู้ได้ ต้องรอจนกว่า เธอจะขอความช่วยเหลือมาเอง”
“แม่นแล่วเด้อ สบายใจหละซิ” เมืองรามเริ่มยิ้มออก
“งั้นก็ทาน ทานให้อิ่ม สมองจะได้แล่น นะคะผู้กอง” แม้นมาศ ดูมีความสุขที่เห็นเมืองราม ยิ้มออกมาได้
***** ----- *****
ขณะนั้นองค์หญิง ยังจำอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับตัวเอง สับสน..น้ำใจของยาจกอย่างธวัช ทำได้ก็แค่เพียงให้ที่หลบซ่อนตัวที่พักพิงคราวมีภัยเท่านี้แหละ ธวัชได้แต่นั่งคิดถึงองค์หญิง ผ่านปิ่นโตที่เธอทำมาให้ แล้วเขาก็ค่อยๆ เปิดฝาปิ่นโต “เอ้า มาทานข้าวกัน ไอ้จ้อย ไอ้เอี้ยง” เขาชวนน้องๆ มาทานด้วยกัน ทุกคนก็ล้างไม้ล้างมือมาล้อมวงทานกันตามประสาคนจน
“มีหลายอย่างเลย ทานกันให้เต็มที่ นก เขาอุตส่าห์ทำมาให้”
“แหม เมียพี่นี่ ทำกับข้าวอร่อยนะ อิจฉาจัง อยากมีแบบนี้สักคนจัง” ไอ้เอี้ยงแซว ขณะที่ข้าวเต็มปาก
“เมีย เมอ ที่ไหน ไอ้เอี้ยง ดูพูดเข้า ถ้าใครเขามาได้ยิน นกเค้าจะเสีย” ธวัช ออกตัวอีกครั้ง
“ไม่ทันแล้วเจ้าชาย เอาเถอะ นั่นมันเรื่องของท่าน จะยอมรับไม่ยอมรับ ก็ไม่มีใครเค้าว่าท่านพี่หรอก เพราะคนอื่นทั่วสลัมเนี่ย เค้าเข้าใจแบบผมไปหมดแล้ว ส่วนความจริงจะเป็นยังไงผมไม่สน ขอแค่มีอาหารดีๆ อร่อยๆ กินทุกวัน แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว จริงไหมเพื่อนๆ” ไอ้เอี้ยง ร่ายซะยาวเลย
“ฮิ้ว..จริง” เพื่อนๆ ตอบกลับมาด้วยเสียงที่มีความสุข
เมื่อทุกคนเข้าใจ แบบนี้กันไปหมดแล้ว ธวัช ก็ไม่อยากจะแก้ข่าวอะไรอีกแล้ว ปล่อยไปตามยถากรรม ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่ดี เขาก็แอบยิ้มออกมาเองโดยไม่รู้ตัว แล้วก็ก้มหน้าก้มตาทานข้าวที่นกทำมาให้อย่างเอร็ดอร่อย
***** ----- *****
ยุภาได้นัดให้ ริชาร์ด เข้ามาหาที่ทำงาน ช่วงบ่าย เพื่อคุยเรื่องงาน แต่แปลกตรงที่ว่า ทำไมวันนี้ ยุภาแต่งตัวสวยผิดปกติ เมื่อริชาร์ด เปิดประตูเข้ามาถึงกับตกใจ นึกว่าเข้าห้องผิด แต่พอหันไปดูที่หน้าห้อง มันก็ถูกนี่หว่า
“ไม่ผิดห้องหรอกค่ะ ริชชี่” ริชาร์ด งง ขยี้หูตัวเอง ไม่นึกว่า ยุภาจะเรียกเขาแบบนี้
“คุณเรียกผมว่าไงนะ” ริชาร์ด ไม่แน่ใจ ก็เลยถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
“ก็คุณบอกหญิงเองไม่ใช่เหรอ ว่าจะให้เรียกอะไรก็ได้ หญิงก็ลองเรียกดูตามเจ๊ไก่ แต่มันยังไงก็ไม่รู้”
“ขอเรียก ริชาร์ด ดีกว่า ได้ไหม” ยุภา พูดแบบยิ้มๆ
“ผมว่าก็ดีครับ ชื่อนั้น มีแต่เจ๊ไก่เท่านั้นแหละ ที่ชอบเรียก เจ๊เค้าตั้งขึ้นมาเอง” ริชาร์ด ออกตัวแบบเขินๆ
“ถามจริง แล้ววันนี้นึกยังไ ถึงแต่งซะผมจำไม่ได้เลย นึกว่า งิ้วหลงโรง” ริชาร์ด พูดแบบไม่เกรงใจ ยุภาเลย
“บ้า น่าเกลียด ปากร้ายนะเนี่ย หญิงพึ่งรู้ว่าคุณเป็นคนปากจัดก็วันนี้นี่เอง” ยุภาก็เขินเหมือนกัน
“ก็ว่าจะชวนคุณออกไปดูสถานที่ ในการถ่ายทำ สปอตโฆษณาหนะ ว่าดีไหม เห็นแดดมันแรง ก็เลยลองจัดเต็มดูบ้าง ที่จริงหญิง ก็ไม่ชอบหรอก มันไม่ใช่หญิง” ริชาร์ด นั่งยิ้ม แอบขำ เอามือปิดปากตัวเองเอาไว้
“มองไร” ยุภา แอบเห็น “อีตาบ้า” แล้วยุภาก็ลุกเดินหายไปจากห้องแว่บนึง แล้วก็เดินกลับเข้ามาใหม่
ริชาร์ด สังเกตุว่า ปากที่เคยแดง ขอบตาที่เคยเขียวช้ำ มันได้หายไปแล้ว เขาก็เลย แหย่ยุภาเล่นๆ
“แบบนี้หนะดีแล้วหญิงยุ แบบนี้ซิ ถึงจะเรียกว่า หญิงยุภา ของแท้” แล้วเขาก็ยกนิ้วโป้งให้สองข้างเลย
ยุภา ได้แต่ยิ้มแบบเขินๆ แล้วก็หยิบกระเป๋าสะพายเดินออกไปเลย “รอด้วย” ริชาร์ด ก็วิ่งตามออกไป
***** ----- *****
เย็นแล้ว ใกล้ค่ำ ธวัช บอกไอ้จ้อย กับไอ้เอี้ยงให้ปิดร้านได้เลยถ้ารถลูกค้าเสร็จ เพราะเขาต้องไปช่วยงานของหลวงตาที่วัดวันสุดท้ายแล้ว และเขาต้องกลับไปพานกมาเที่ยวงานตามที่แม่บอกไว้ด้วย
“ฝากด้วยนะไอ้จ้อย ไอ้เอี้ยง” แล้วธวัช ก็วิ่งฮัมเพลงไปตลอดทาง
“เป็นเอามากเจ้าชายของเรา” ไอ้จ้อย แซวทิ้งท้าย
“เอาน่า ความสุขของเจ้าชาย ก็คือความสบายของพวกเรา ไอ้จ้อย” ไอ้เอี้ยง ทิ้งท้ายไว้ได้สวยเหลือเกิน
ธวัช รีบวิ่งเข้าบ้าน ด้วยความดีใจที่จะได้พบกับนก หรือ อะไรกันแน่ มือหนึ่งก็ถือปิ่นโต อีกมือก็ถือเสื้อยืดที่ถอดออกไม่ได้ใส่ ร้องเพลงมาตลอดทาง จนคนแถวนั้น ต้องตะโกนถามกัน
“อารมณ์ดีอะไรมารึเจ้าชาย” ยายคนหนึ่งถาม
“บอกไม่ถูกเลยยาย แค่รู้ว่า มันมีความสุขจร้า” แล้วก็โบกมือบ๊ายบาย
“ถูกหวยมาเหรอเจ้าชาย” ลุงคนหนึ่งตะโกนถาม
“ไม่หรอกลุง ผมไม่เล่นหวย” แล้วก็วิ่งไป คุยไป ทักทายไปตลอดทาง จนถึงบ้าน
พอวิ่งขึ้นมาถึงบันไดบ้านขั้นบนสุด เขาก็ต้องหยุดนิ่ง อึ้งไปเหมือนโดนสะกดจิตเลย เพราะภาพที่เขาเห็นก็คือ นางฟ้าตัวน้อยๆ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขาคิดว่าสวยที่สุดที่เขาเคยเห็นมา องค์หญิงหรือนกในปัจจุบัน ที่ได้อาบน้ำ แต่งตัวจนสะอาดลบคราบมอมแมมออกไปจนหมด แม่สะอิ้งจับแต่งตัวใหม่ ตามประสาของเด็กสาว ทาแป้งเด็กนิดหน่อย ใส่ชุดไทยล้านนาประยุกต์ เสื้อแขนยาวมีสะไบพาดเล็กน้อยพอสวย ผ้าถุงลายไทยยาวถึงตาตุ่ม มีกำไลข้อมือสองข้าง ไม่ใหญ่นัก ดูราวกับนางฟ้ามาจุติต่อหน้าเขา
ธวัช ค่อยๆ เดินเข้าไปหาหญิงสาวคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา รอยยิ้มที่นกยิ้มให้ ธวัช เดินเข้าไปจับมือสองข้างของนก สะอิ้ง เดินเข้ามา แล้วก็ทำให้ธวัชคลายมนต์สะกดทันที สะอิ้ง เอามือจับแขนขวาของธวัช
“ไปอาบน้ำ แต่งตัวก่อนเถอะลูก ใกล้เวลาแล้ว จะได้พาน้องไปงาน”
“ครับแม่” แล้วธวัช ก็ค่อยๆ เดินจากไป แต่สายตาก็ยังไม่ละที่จะมองนก
นกหันไปมอง แล้วทำท่าว่าให้ไปอาบน้ำ นกจะนั่งรอตรงนี้ เขาก็พยักหน้าให้ เวลาผ่านไปไม่ถึง 15 นาที ธวัช ก็ปะแป้ง ซะขาวเต็มหน้า วิ่งออกมา นกทำท่าหัวเราะ พ่อและแม่ก็งง เลยหันไปดู
“อัยย่ะ” ตาทด อุทานออกมา
“นึกว่าพม่าที่ไหนบุกมา” ตาทด บอกธวัช
“ไปตกบ่อแป้งมารึไง เจ้าวัช” ผู้เป็นแม่ แกล้งแซว
“ทำไมหละแม่ วัชไม่หล่อเหรอ” นกยกนิ้วโป้งให้ธวัช
“เห็นไหม น้องนกยังบอกว่าผมหล่อเลย” ธวัช เข้าข้างตัวเอง
“ดูมันซิแม่มึง มันยกหางตัวเองด้วย” ตาทด ไม่สนับสนุน
“เออๆ ก็เรื่องของมัน แต่ลบออกหน่อยก็ดี” นก เดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วก็ค่อยๆ เอามือขวาเล็กๆ ของเธอ ยกขึ้นมาเช็ดแป้งที่เลอะเทอะออกไปเกือบหมด แล้วก็ยิ้มให้กับธวัช และยกนิ้วโป้งสองข้างเลยคราวนี้
“ไปได้แล้วลูก งานคงเริ่มแล้วหละ ดูแลน้องด้วยนะลูก”
“ครับ ผมไปหละนะพ่อ แม่” แล้วธวัช ก็จูงมือนก ค่อยๆ เดินลงบันไดไป ประคับประคองดูแลอย่างดี
***** ----- *****
ณ.งานวัด วันสุดท้าย ธวัชได้พานกเปิดหูเปิดตา นกมีความสุขมากกับชีวิตแบบนี้ เหมือนเธอไม่รู้ตัวเลยว่า เธอเคยเป็นใคร ในโลกของเธอตอนนี้ เธอมีความสุขมาก ที่ได้อยู่กับธวัช ถึงแม้จะเหลือเธอกับเขาเพียงสองคน เธอก็มีความสุข เพราะเธอมั่นใจว่า ถ้าเธอได้อยู่กับธวัช เธอต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน
งามตา ก็เดินตามหาธวัชทั่วงาน ไปดูตรงตู้ที่เก็บเงิน ก็ไม่มี เห็นแต่ไอ้เอี้ยง กับไอ้จ้อย ที่มาดูแทน งามตาเหมือนจะหงุดหงิด แต่ทางนกโลกเหมือนคนละใบกับงามตาเลย เพราะเธอมีความสุขมาก ได้เล่นเครื่องเล่นแทบจะทุกชนิดที่อยากเล่น เพราะธวัชพาไปเล่นตลอดทั้งงานทั้งคืนจนงานเลิก แต่สุดท้ายงามตาก็หาธวัชไม่เจอเลยในคืนนี้ จึงทำให้งามตากลับเป็นคนที่ไม่มีความสุขในวันนี้ไปแล้ว งามตาเดินคอตกกลับบ้านด้วยความเสียใจ
งานใกล้เลิกแล้วผู้คนเริ่มทยอยกันกลับบ้าน เขาก็เลยถือโอกาสหลบผู้คนและเสียงที่ดังอึกทึกออกมาภายนอกงาน เพื่อที่จะอยู่กันเพียงสองคนตามลำพัง ธวัชเดินจูงมือนกมาที่ศาลาริมน้ำข้างวัด มีขนมติดไม้ติดมือมานั่งทานด้วย ไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้นปิ้ง ขนมครก และน้ำโอเลี้ยง ต่างคนต่างผลัดกันป้อนมีความสุขไปอีกแบบ
ธวัชพานกมานั่งห้อยเท้า ที่ศาลาริมน้ำ มือขวาเขาประคองโอบไหล่ขวานกไว้ นกก็เอียงหัวมาซบที่ไหล่ขวาของธวัช เขาสองคนไม่ได้ปริปากพูดอะไรต่อกันเลย มือซ้ายของธวัชได้แต่จับมือของนกไว้ตลอด นกก็เช่นกันเธอจับมือธวัชแน่นมาก เหมือนกับว่าไม่อยากให้ห่างจากกัน อยากจะให้เวลาหยุดอยู่แค่นี้ไม่ให้เดินไปไหนอีกแล้ว เพราะเวลาของความสุขจะเป็นแบบนี้ตลอดไปหรือไม่ เธอและเขาไม่สามารถรู้ได้ รู้แต่เพียงว่า วันนี้ขอตักตวงความสุขให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
นกชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า เธอทำเหมือนวาดอะไรสักอย่าง หรือเขียนประโยคอะไรสักอย่าง ธวัช ก็พยายามอ่าน รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง จนนกเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ธวัช ก็เลยต้องอุ้มเธอทั้งๆ ที่หลับ แล้วเดินกลับบ้านไปตามทางที่มืดบ้างสว่างบ้าง..นี่แหละ คือน้ำใจของยาจก ที่มีให้กับหญิงผู้สูงศักดิ์ เขาไม่คิดทอดทิ้ง หญิงสาวแปลกหน้าคนนี้ ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่รู้จักว่าเธอเป็นใครมาจากไหน และทำไมถึงได้โดนทำร้ายขนาดนี้
ระหว่างทางที่เดินกลับบ้าน เขาก็คิดทบทวนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่เริ่มแรก ที่เขาเจอองค์หญิง จนถึงวินาทีสุดท้าย ที่เธอฟื้น เธอผ่านอะไรมาค่อนข้างเยอะ ทั้งโดนลอบยิง โดนลอบทำร้ายเกือบถึงชีวิต ธวัชมองหน้าคนที่เขาอุ้มไว้ตลอดทาง จนถึงบ้าน ธวัชยกห้องนอนของเขาให้นกเป็นเจ้าของห้อง ส่วนเขาก็ไปกางมุ้งนอนอยู่ตรงระเบียงบ้านใกล้ๆ ห้องเขานั่นแหละ
ธวัช วางนกลงบนที่นอน เอามือสยายผมที่ปิดบังใบหน้า ดึงผ้าห่ม มาห่มให้อุ่น แล้วเขาก็ออกมาจากห้อง ปิดประตูอย่างดีเพื่อไม่ให้ยุงเล็ดลอดเข้าไปในห้องได้ พ่อและแม่ แอบมองดูอยู่ห่างๆ แต่ไม่ได้เข้าไปพูดอะไร ได้แต่มองหน้ากัน แล้วก็พากันเดินกลับเข้าไปในห้อง
ธวัช เดินออกมายืนเกาะราวบันไดหน้าชาน คิดอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อย แล้วก็มองเข้าไปในห้องตัวเอง ซึ่งมีนกนอนอยู่ เขาสับสนกับตัวเองว่า เขาชอบนกเหรอ หรือแค่สงสาร หรือไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เขายังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ รู้แต่เพียงว่า ต้องปกป้องผู้หญิงคนนี้ให้พ้นจากคนร้ายกลุ่มนั้นให้ได้เป็นพอ
***** ----- *****
รุ่งเช้า..วันใหม่ เสียงนกร้อง เสียงไก่ขัน เป็นปกติเสียแล้วที่นกตื่นเช้าขึ้นมา เพื่อมาทำกับข้าวให้คนที่มีพระคุณกับเธอ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนนี้เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เพราะทำอะไรก็ไม่เป็น ทั้งหุงข้าวแบบเดิมๆ คือแบบเช็ดน้ำ (มีน้ำซาวข้าว และการดงที่ถูกวิธีเป๊ะ) แม่สะอิ้งเคยถามว่า ทำไมไม่ใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้า เธอก็บอกว่า ไม่รู้ซิ พอฟื้นและตื่นขึ้นมา เธอก็จำได้แต่แบบนี้
กลิ่นหอมๆ ของอาหาร มันเหมือนจะไปเตะจมูกของใครบางคนที่อยู่แถวนั้น นั่นก็คือ ธวัชที่นอนอยู่แถวนั้นนั่นเอง ทำให้เขา ต้องตื่น นอนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว และตามกลิ่นแปลกๆ ที่อยากรู้ออกมาทันที สิ่งที่เขาเห็นก็คือ นกกำลังนั่งหันหลังทำกับข้าว ทำโน้นทำนี่ อย่างมีความสุข เขาหันไปดูนาฬิกาที่ข้างฝา ตีห้าครึ่ง
ธวัช ก็เลย ลุกไปล้างหน้าล้างตาทันที แล้ว เข้าไปช่วยนก นกหันมา บอกไม่ต้อง ไล่เขาออกไป ให้ไปนั่งตรงโน้น อย่าเข้ามาวุ่นวายตรงนี้ วัชมองดูว่านก กำลังทำอะไร ดูเหมือนว่า จะทำไว้สำหรับตักบาตร ยังไงยังงั้น สักครู่ สะอิ้งเดินออกมา ก็ต้องตกใจที่เห็นนก เตรียมสำรับ/ชุดที่จะไปตักบาตรไว้ให้หมดแล้ว
“อะไรกันนี่ คราวหลังไม่ต้องทำหรอกลูก นอนพักผ่อนให้เต็มที่ มันเป็นหน้าที่ของแม่ แม่ทำเอง”
นกบอกว่า “ไม่เป็นไร หนูเต็มใจ มันเป็นความสุขของหนูที่ได้ทำ ให้กับทุกๆคน ที่หนูรัก”
ถึงแม้ว่า จะสื่อสารกัน เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ลงท้าย ด้วยรอยยิ้ม แบบมีความสุข
สะอิ้ง เดินเข้ามากอดนก เขารักและเอ็นดูนกมา ธวัช ได้แต่มองดูด้วยความปลื้มปิติ แล้วก็ชวนกันไปใส่บาตร
ธวัช นำข้าวและอาหารคาวหวานใส่ถาดทั้งหมด ส่วนนกก็ถือดอกไม้และขนมบางส่วนลงไป รวมๆแล้วประมาณเกือบ 4 ชุดได้ ทั้งสามคนดูมีความสุขกับการใส่บาตรในวันนี้มาก นี่แหละ น้ำใจของยาจก โดยแท้จริง
>>>>>>>>>> ********** <<<<<<<<<<
โปรดติดตามตอนต่อไปใน ตอนที่ 4 .. “ อิสระ..เสรี ”
ตอนที่ 3 .. “ น้ำใจของยาจก ”
Romance Fiction - นิยายรัก / รักโรแมนติก
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 782
แสดงความคิดเห็น