Chapter 6 คำให้การจาก เครื่องพิมพ์ดีด
ภาพทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทั้งแมวสีน้ำตาล ตัวสามีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกไม้ หรือแม้แต่ท้องฟ้าในยามอัสดง เพียงพริบตาเดียวทั้งหมดมันก็จางหายไป คล้ายดั่งควันวิญญาณที่ปลิวไปพร้อมกับลม ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ท้องฟ้ากลายเป็นท้องฟ้าช่วงสายที่อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะเที่ยงตรง แมวสีน้ำตาลก็เช่นกัน มันหายไปคล้ายกับก่อนหน้านี้มันไม่เคยมีตัวตน เก้าอี้โยกไม้กำลังโยกเชื่องช้าจากแรงลมโดยปราศจากการมีอยู่ของตัวสามีที่อดีตเคยนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวนี้ มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงหลงเหลืออยู่ นั่นคือเจ้านกตัวสีน้ำเงินที่บินวนอยู่บนสนามหญ้าพร้อมกับส่งเสียงร้องเอะอะ
ผมไม่รู้จริงๆ ว่าจะอธิบายเรื่องทั้งหมดที่นี้ได้อย่างไร กลิ่นดอกไม้สีขาวลอยตามสายลม มันลอยอย่างอ้อยอิ่งมาเตะที่ปลายจมูกคล้ายกับกำลังปลอบประโลมเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ คำพูดสุดท้ายที่เจ้าแมวนั้นพูดยังคงก้องดังอยู่ในความคิดของผม ‘เครื่องพิมพ์ดีด’ หรือผมควรไปถามข้อมูลจากมันดี เพราะเอาเข้าจริงมันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ตัวชายหนุ่มผู้สาบสูญได้ใช้เวลาอยู่ด้วย ไม่แน่ว่าเจ้าพิมพ์ดีดอาจเป็นประโยชน์กับการสืบสวนครั้งนี้ก็ได้
ไม่รอช้าผมเดินเข้าไปในบ้านปูน 2 ชั้นที่โดนต้นไม้โอบล้อม ประตูไม้ค่อยๆ เปิดออกบรรยากาศภายในบริเวณชั้น 1 ยังคงเหมือนครั้งที่แล้วที่ผมมา อึมครึมแต่รู้ว่าอดีตเคยอบอุ่น ผมเดินผ่านตู้โชว์ถ้วยรางวัลก่อนที่จะไปถึงบันไดไม้ซึ่งนำไปสู่ชั้น 2 เท้าของผมสัมผัสไปที่บันไดขั้นแรก ไม้หนาที่ถูกเคลือบมันเป็นอย่างดีทำให้ผมต้องระมัดระวังลื่นมากเป็นพิเศษ รู้ตัวอีกทีผมก็มายืนอยู่หน้าห้องของชายหนุ่มผู้สาบสูญแล้ว ผมทำใจอยู่นานที่จะหมุนลูกปิดเปิดประตูเข้าไป ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าเพราะสิ่งใด รู้เพียงว่าลึกๆ ผมยังไม่พร้อมรับข้อมูลใหม่ๆ ที่ทุกครั้งมันมักจะขัดแย้งกันเอง คล้ายกับไม่ได้พูดถึงคนคนเดียวกัน และช่วงพักหลังมานี้ความสับสนมันเริ่มเล่นงานตัวผมเองจนยากที่จะรับมือ
ไม่น่าเชื่อ! ในขณะที่ผมกำลังชั่งใจที่จะเปิดประตูอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงสะอื้นดังมาจากข้างใน และคาดว่าน่าจะเป็นเสียงผู้ชาย มันสั่นสะท้ายโหยหาและเยือกเย็น ในวินาทีนั้นอยู่ๆ ผมก็มีความคิดว่านั่นอาจเป็นเสียงของชายหนุ่มผู้สาบสูญที่กลับมาห้องของเขาแล้วก็ได้ ไม่รอช้าผมผลักประตูไม้อย่างสุดแรง ก่อนจะประทะกับลมหอบใหญ่ที่พัดมาจากหน้าต่าง ลมเย็นนั้นสัมผัสเข้ากับใบหน้าผมอย่างจัง ห้องทั้งห้องว่าเปล่าไร้ร่องรอยของสิ่งมีชีวิต ยกเว้นเพียงบนโต๊ะเขียนหนังสือ มันตั้งตระหง่านอยู่ที่ริมหน้าต่าง โดยผ้าม่านสีแดงเข้มขนานปลิวไสวไปพร้อมกับลม ผ้ากำมะหยี่สีแดงเข้มสะบัดพลิ้วคล้ายคลื่นน้ำ มันค่อยๆ เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือนั้น สีดำเงาของเจ้าเครื่องพิมพ์ดีดปรากฏต่อสายตา เสียงโอดครวญดังมาจากมัน ผมว่าตอนนี้มันกำลังร้องไห้ ยิ่งมันร้องไห้หนักขึ้นมากเท่าไร หมึกสีดำก็ซึมออกมาจากมันเลอะเทอะมากขึ้นเท่านั้น โต๊ะทั้งโต๊ะต่างเปื้อนหมึกสีดำที่ดูไปดูมาก็คล้ายกับภาพเป่าสีน้ำ ผมเดินไปที่ม่านก่อนจะรวบเก็บมัน ทำให้พวกมันกลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง
“นายร้องไห้ทำไม?”
ผมเอ่ยถามเจ้าเครื่องพิมพ์ดีด มันหยุดคร่ำครวญไปชั่วหายใจคล้ายกับว่ามันกำลังพิจารณาคนมาใหม่อย่างผม แล้วมันก็กลับไปโอดครวญต่อเพราะมันจำผมได้ว่าผมเป็นใคร สายตาผมเหลือบเห็นว่าข้างโต๊ะหัวเตียงมีม้วนกระดาษทิชชู่วางอยู่พอดี ผมจึงเดินไปหยิบมัน ก่อนจะดึงมันเพื่อบรรจงเช็ดทำความสะอาดหมึกสีดำบนโต๊ะให้สะอาด แม้มือผมจะขัดถูอยู่บนโต๊ะ แต่สายตาผมยังคงจับจ้องไปที่เครื่องพิมพ์ดีด ตัวมันเย็นเฉียบแม้ผิวโลหะของมันกำลังสะท้อนกับแสงช่วงเที่ยงที่ส่องเข้ามา ผมไม่แน่ใจเช่นกันว่าความเย็นเฉียบนั้นมาจากเหตุผลใด บางทีอาจมาจากหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้หรือบางทีอาจมาจากเหตุผลที่มันร้องไห้ ผมนั่งจ้องมองมันในขณะที่แป้นพิมพ์บางตัวอักษรเริ่มเลือนรางไปแล้ว ผมใช้ปลายนิ้วชี้สัมผัสมันเบาๆ ไถลูบตัวอักษร ‘ภ’ ที่เริ่มมองไม่เห็น เสียงร้องไห้ของมันได้หยุดลง แต่กลับถูกแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางเบาๆ แสดงถึงความพึงพอใจ เห็นอย่างนั้นผมจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา ก่อนจะบรรจงพรมจูบสัมผัสจากปลายนิ้วไปบนแป้นพิมพ์ครบ 10 นิ้ว
“นายไม่อยากลองเขียนอะไรเหรอ? กระดาษอยู่ในลิ้นชักด้านขวา”
เสียงทุ้มต่ำของเจ้าพิมพ์ดีดดังคล้ายกับเสียงโลหะกระทบกัน ผมค่อยๆ หันไปมองจุดที่มันบอก ก่อนจะเห็นปึกกระดาษสีคาราเมลแลบออกมาจากลิ้นชักอยู่จริงๆ ผมส่ายศีรษะแต่มือทั้งสองยังคงบรรจงละเลงไปบนตัวมันอย่างไม่ลดละ
"ผมมาสืบเรื่องของเจ้านายของนาย พอจะเล่าอะไรให้ฟังได้ไหม?"
ผมถามออกไปอย่างเดียงสากับคำถามซ้ำซากของตัวเอง สัปดาห์นี้ผมพูดประโยคนี้มาแล้วกี่รอบนะ
“โถ! เจ้านายผู้น่าสงสาร”
ในตอนแรกที่ผมได้ยิน ผมดีใจที่มีสักข้อมูลที่พูดตรงกัน เขาอาจเป็นคนน่าสงสารอย่างที่เพื่อนสนิทเขาพูดก็ได้ ปลายนิ้วของผมเริ่มลงน้ำหนักมากขึ้นเช่นเดียวกับความอยากรู้ของผมที่มีเพิ่มมากขึ้นจนยากจะควบคุม
“เจ้านายของนาย ตอนที่เขาอยู่เขาไม่มีความสุขใช่ไหม? เป็นไปได้หรือเปล่าว่าตอนนี้เขาอาจตายไปแล้ว”
ไม่อยากจะเชื่อว่าผมพูดข้อสันนิษฐานที่อยู่ในใจผมออกมา ตอนแรกผมไม่อยากยอมรับมัน เพราะไม่อยากคิดถึงตอนที่ต้องไปบอกคู่สามีภรรยาว่าลูกของพวกเขาตายแล้ว ชายคนนั้นได้กระโดดสะพานจมดิ่งลงสู่แม่น้ำที่ไหนสักแห่ง ผมไม่อยากพูดเช่นนั้น ไม่อยากเห็นแววตาที่แตกสลาย ไม่อยากได้ยินเสียงคร่ำครวญ แต่ผมก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าตอนนี้ชายคนนั้นอาจไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว
“เขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง เช่นเดียวกับนาย เช่นเดียวกับคนทั้งโลก”
“ผมไม่เข้าใจ ตอนนี้ผมไม่รู้อะไรสักอย่าง เขาเป็นชายที่มีความสุข เป็นเจ้านายแมวตัวสีน้ำตาลที่ดี หรือเป็นเพียงคนขี้แพ้ที่ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง ทำให้สุดท้ายเขาเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองที่สะพานที่ไหนสักแห่ง…ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่!”
อารมณ์มากมายในตัวผมตอนนี้ผมไม่สามารถควบคุมมันได้อีกต่อไป ผมเผลอขึ้นเสียงกับเจ้าเครื่องพิมพ์ดีดอย่างไม่ได้ตั้งใจ ตอนนี้ปลายนิ้วมือของผมหยุดบรรจงสร้างความสุขให้กับมัน ผมกำมือทั้งสองแน่นจนรู้สึกเจ็บแสบจากการที่ปลายเล็บกำลังกดอยู่บนฝ่ามือของตัวเอง
“คุณได้อ่านกองกระดาษพวกนั้นหรือยัง?”
“ผมอ่านจนไม่รู้จะอ่านมันอย่างไงแล้ว!”
“แล้วคุณคิดว่ามันเป็นยังไง?”
แล้วความนึกคิดของผมก็หยุดยั้งอารมณ์ของตัวเอง ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจพวกมัน แต่มันวุ่นวายและสับสนจนผมไม่สามารถวิเคราะห์มันได้เลย อารมณ์มากมายอยู่ในนั้น ทั้งรัก-เกลียดชัง สิ้นหวัง-สมหวัง จุดจบ-จุดเริ่มต้น …ซึ่งบางทีผมก็รู้สึกแบบนั้น สับสน อลม่าน โศกเศร้าแต่บางทีก็สวยงาม ผมไม่อยากยอมรับว่าผมเหมือนชายคนนี้
“เคยได้ยินไหม เราจะรู้จักใครสักคนได้ เราต้องอ่านสิ่งที่เขาเขียน”
ผมรู้สึกคับคล้ายคับคลา คุ้นเคย ทุกอย่างอาจเคยเกิดขึ้น
“ทำไมนายไม่ลองเขียนดูบ้างล่ะ!”
ผมเงยหน้าขึ้นจับจ้องไปที่สีมันวาวของเจ้าเครื่องพิมพ์ดีด ไม่แน่ว่าหากผมลองเขียนผมอาจเข้าใจทุกอย่างมากขึ้นก็ได้ เข้าใจว่าคนที่เคยเขียน นั่งอยู่หน้าแป้นพิมพ์ตัวนี้ เขากำลังรู้สึกอะไร ไม่รอช้าผมก้มหยิบกระดาษสีคาราเมลในลิ้นชักออกมา ก่อนจะใส่มันลงไปในช่องแผงนำกระดาษอย่างทุลักทุเล พร้อมกับบิดลูกบิดจัดหน้ากระดาษให้เรียบร้อย ตอนนี้ช่องนำอักษรของผมอยู่ที่มุมซ้ายของกระดาษเรียบร้อยแล้ว
ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ในขณะที่ได้ยินเสียงผิวปากอย่างอารมณ์ดีของเจ้าเครื่องพิมพ์ดีด มันดูมีความสุขที่ตัวมันถูกใช้งานอีกครั้ง ใน 5 นาทีแรกผมนั่งนิ่งค้างไว้เช่นนั้นเพราะไม่รู้จะเขียนอะไรทั้งๆ ที่มีเรื่องมากมายลอยเคว้งอยู่ในหัว จนกระทั่งเสียงโลหะดังกระทบซึ่งเป็นเสียงพูดของเจ้าเครื่องพิมพ์ดีดดังแทรกตัวในความคิดของผมอย่างสุขุม
“นายกำลังคิดอะไรอยู่ ก็เขียนสิ่งนั้น ปล่อยให้ปลายนิ้วมือและหัวใจนำทางเรื่องทั้งหมดที่นายจะเขียน”
ฟังดังนั้นความกระวนกระวายใจปนความประหม่ามันก็สงบลงไป ผมกดตัวอักษรตัวแรกเช่นเดียวกับที่ความคิดแรกระเบิดขึ้นในหัว และหลังจากนั้นผมก็ควบคุมมันไม่ได้อีกเลย ทั้งความคิดและปลายนิ้วมือของผม พวกมันทั้งสองต่างบรรเลงและร่ายรำบนหน้ากระดาษคล้ายฟลอร์เต้นรำในงานเลี้ยงที่ผมไม่เคยได้ไป ทุกอย่างมันช่างสว่างไสว ดวงไฟสีนวลส่องกระทบคริสตัลนับร้อยนับพันที่เป็นบรรยากาศของงานเลี้ยงแห่งนี้ ผมกับคนในจินตนาการเราสองคนกำลังโยกขยับไปตามเสียงเพลง ลีลาของเธอพลิ้วไหวเช่นเดียวกับฝีเท้าของผมที่ขยับไปตามจังหวะอย่างไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย แต่ไม่นานเสียงดนตรีก็กลายเป็นเสียงระเบิด ความสั่นไหวจากพลังมหาศาลของมันทำให้ฟลอร์เต้นรำพังลงไปกับตา เธอผู้เป็นที่รักบัดนี้สลายหายไปกับเสียงปืนกลที่มอบเขม่าดินปืนควันโขมงจนผมมองไม่เห็นสิ่งใดอีกเลย ควันไฟสีเทากับกลิ่นของความตาย พวกมันเหมือนม่านหมอกที่ปกคลุมการมองเห็นของผม ทุกอย่างช่างสิ้นหวังไม่มีแสงสีนวลนั่นอีกแล้ว เสียงกรีดร้องกลายเป็นเสียงเดียวที่ผมได้ยิน
นิ้วผมหยุดค้างอยู่ที่บรรทัดที่ 110 ในขณะที่ลมหายใจหอบจากเจ้าเครื่องพิมพ์ดีดดังเข้ามาในหูผม แต่อยู่ๆ ในความคิดผมก็เห็นดอกไม้สีแดงมันสว่างวาบในที่มืด ผมเดินตรงไปที่มันเช่นเดียวกับปลายนิ้วที่กลับมาบรรเลงบนแป้นพิมพ์ อย่าถามว่าตอนนี้ผมกำลังเขียนถึงเรื่องใด ผมเองก็ไม่อาจทราบได้ รู้เพียงว่าผมปล่อยให้หัวใจผมเป็นผู้บัญชาการสั่งงาน และแล้วปลายนิ้วผมคนในความคิดก็สัมผัสเข้ากับดอกไม้สีแดงนั่น ทันใดนั้นความมืดมิดทั้งหมดมันก็สลายหายไปคล้ายเวลาที่น้ำในอ่างล้างจานไหลวนลงสู่ท่อระบายน้ำ ตอนนี้ตัวผมเองกำลังอยู่บนเรือไม้ล่องลอยอยู่กลางมหาสมุทร รอบตัวผมมีเพียงสีน้ำเงินจากน้ำทะเลและท้องฟ้า ผมเดาว่าอีกไม่นานพายุยักษ์คงกำลังจะเกิดขึ้น ผมกำไม้พายแน่นในขณะที่หัวใจเต้นรัว ไม่มีสิ่งใดที่ผมจะกลัวอีกแล้ว เช่นเดียวกับพายุหมุนที่โผล่พ้นน้ำคล้ายปลาหมึกยักษ์ในตำนาน มันดุร้ายพร้อมจะลากผมลงสู่ก้นทะเลลึก ผมพายเรือต่อไปแม้รู้ว่าถึงอย่างไรผมก็หนีชะตากรรมไม่พ้น และเป็นดังคาดพายุและคลื่นยักษ์มันโหมกระหน่ำกล้ำกลืนผมลงไปในเกลียวคลื่น น้ำทะเลเค็มจัดทะลักเข้าสู่ร่างกายผม ผ่านปราการแรกอย่างจมูกและปาก ความอึดอัดจนกลายเป็นความเจ็บปวดมันกำลังจะฆ่าผมให้สิ้นใจ เช่นเดียวกับความรู้สึกที่กำลังกัดกินข้างในขณะที่ผมบรรเลงบนแป้นพิมพ์ ในที่สุดความตายก็เข้ามาจับมือทักทายกับผม
ความมืดมิดโอบล้อมผมเช่นเดียวกับเด็กน้อยที่อยู่ในครรภ์มารดา ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งตอนนี้ผมกำลังอยู่ในห้วงอวกาศ ตัวผมล่องลอยไปมา ไร้น้ำหนัก ไร้แรงกดดัน ไร้ลมหายใจ และไร้ซึ่งอำนาจ ผมเห็นดาวเสาร์กับวงแหวนของมันลอยอยู่ไม่ไกล เช่นเดียวกับดาวพุธเตาไฟแช่แข็งที่ผมเคยเรียนสมัยอยู่ประถม ไม่รอช้าผมแวกว่ายความว่างเปล่าไปใกล้กับดวงอาทิตย์เพียงเพราะมันดูอบอุ่น แต่ยิ่งเข้าใกล้มันมากเท่าไร ผมก็ยิ่งเหมือนถูกแผดเผามากขึ้นเท่านั้น รู้ตัวอีกทีผิวกายของผมก็ถูกแผดเผาแตกกระจายสูญหายไปในความว่างเปล่าของจักรวาล และเป็นเวลาเดียวกันที่ผมได้ยินเสียงเตือนว่าได้สุดหน้ากระดาษเรียบร้อยแล้ว
ในความว่างเปล่าไร้ตัวตน ไร้สถานที่ ไร้ทิศทาง มีเพียงการนึกคิด ตอนนี้ผมว่าผมได้คำตอบของคำถามเกี่ยวกับชายคนนั้นแล้ว ผมได้คำตอบว่าเขาหายไปที่ไหน ตัวจริงเขาคือใคร เขาเป็นคนเช่นไร ผู้ยิ่งใหญ่หรือผู้ไร้ตัวตน เช่นเดียวกับที่ผมได้เจอสิ่งที่ผมไม่เคยพบเจอ
“คราวนี้ได้คำตอบที่นายกำลังตามหาหรือยัง?”
เสียงโลหะกระทบจากน้ำเสียงของเจ้าเครื่องพิมพ์ดีดดังก้องเข้ามาในสถานที่แห่งนี้…ผมได้คำตอบแล้วจริงๆ ผมได้ยินเสียงดึงกระดาษออกมาจากช่องแผงนำกระดาษ ตามด้วยเสียงด้ามปัดขึ้นบรรทัดใหม่ ไม่มีสิ่งใดที่ผมสงสัยอีกแล้ว เช่นเดียวกับตัวตนของชายคนนั้น ผมเขียนต่อไป เขียนความรู้สึก เขียนสิ่งที่อยู่ในใจ หลังจากนั้นสิ่งที่อยู่บนกระดาษคือตัวตนที่แท้จริงของตัวผม ของชายคนนั้น หาใช่คำพูดของคนอื่นไม่
แสงสีทองยามดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าส่องกระทบกับสีดำของเครื่องพิมพ์ดีด ลมเอื่อยพอที่จะทำให้ผ้าม่านปลิวสร้างความเคลื่อนไหวให้ห้องๆ นี้ เสียงประตูรั้วหน้าบ้านเปิดออก ก่อนจะได้ยินเสียงบ่นพึมพำเพราะประตูรั้วไม่ได้ถูกล็อก ตอนนี้ตัวสามีคงกลับมาถึงบ้านแล้ว ห้องนี้ยังคงเงียบสงบเช่นเดิม ไม่มีสิ่งใดแปรเปลี่ยน ยกเว้นเพียงตั้งกระดาษสีคาราเมลเกือบไหม้ตั้งใหม่ที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้พิมพ์ดีด โดยไร้เงาของเจ้าของกองกระดาษตั้งนั้น
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 133
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น