Chapter 2 คำให้การจาก หัวหน้างาน

-A A +A

Chapter 2 คำให้การจาก หัวหน้างาน

              ผมเดินเข้าไปในตึกสำนักงานใจกลางกรุง มันเป็นตึกสีขาวประดับด้วยกระจกขนาดใหญ่รอบตัวอาคาร ดูๆ ไปก็ไม่ต่างไปลูกบอลจากดิสโก้ทรงสี่เหลี่ยมสักเท่าไร กลิ่นของเงินตราและระบบทุนนิยมคละคลุ้งไปทั่วตึกสูงนี้ คล้ายกับว่ามันเป็นอากาศที่หล่อเลี้ยงให้คนในตัวอาคารมีชีวิตอยู่ในแต่ละวัน…เงิน…เงิน…เงิน

               วันนี้ผมได้นัดหัวหน้างานของชายหนุ่มปริศนามาเก็บข้อมูลเพื่อหวังว่าผมจะได้ข้อมูลมากขึ้นไม่มากก็น้อย หลังจากวันที่ผมได้ไปเก็บข้อมูลที่บ้านของชายหนุ่ม ส่วนเหตุผลว่าทำไมผมจึงเลือกมาเก็บข้อมูลที่บริษัทแห่งนี้ เพราะจากข้อมูลของคู่สามีภรรยาที่เล่าว่าลูกเขาว่างงานเกือบ 1 ปีเต็มก่อนที่จะได้มาลงเอยทำงานที่บริษัทนี้ ผมจึงคิดว่าบริษัทแห่งนี้น่าสนใจอยู่ไม่น้อย แถมเท่าที่ผมเห็นจากตาเปล่า บริษัทแห่งนี้ก็ดูเป็นบริษัทที่ใหญ่ มั่นคง แถมอยู่ใจกลางกรุง มันน่าจะเป็นสถานที่ทำงานที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝันกัน แล้วเหตุใดชายหนุ่มคนนี้ยังคิดหนีไปอีก นั่นจึงเป็นเหมือนเชื้อไฟปลุกให้ความอยากรู้อยากเห็นของผมให้โชติช่วงมากขึ้นไปอีก

               หลังจากที่ผมขึ้นลิฟต์ที่ภายในมีเสียงเหรียญและเสียงเครื่องคิดเงินในซูปเปอร์มาเก็ตเป็นเสียงบรรยากาศขับกล่อมทำลายความเงียบในห้องโดยสาร ลิฟต์ใหม่เอี่ยมตัวนี้ก็พาผมมาหยุดอยู่ที่ชั้น 20 ผมเดินตรงดิ่งไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่มีสตรีอยู่ในชุดหรูหราแต่เรียบหรูเหมาะกับการทำงานยืนอยู่ ผมเดินไปหาเธอ พร้อมกับบอกจุดประสงค์ที่มาในครั้งนี้ เธอยิ้มตอบรับพร้อมกับเดินนำผมไปที่ห้องสีขาวห้องหนึ่ง หน้าประตูบานนั้นเขียนว่า ‘นาย ร่ำรวย จิตมั่นคง หัวหน้าฝ่ายการผลิตความมั่นคงและเงินตราในกระเป๋า’ หญิงสาวในชุดหรูหราจึงเคาะไปที่ประตูอะลูมิเนียมซึ่งดูคล้ายกับประตูตู้เซฟ ก่อนจะมีเสียงทุ้มดังอนุญาตดังมาจากข้างใน

               ประตูห้องเปิดออก หญิงสาวเชิญผมให้นั่งลงบนเก้าอี้นวมที่ฝั่งตรงข้ามมีเก้าอี้นวมแบบเดียวกันแต่พนักพิงสูงกว่ากำลังหันหลังไปอีกทางหนึ่ง

               “คุณตำรวจที่นัดไว้มาแล้วนะคะ”

               “อ้อครับ! คุณไปทำงานต่อเถอะ! เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง”

               แล้วหญิงสาวคนนั้นก็ก้มศีรษะแล้วเดินออกจากห้องไป

               ดวงตาผมคงยังไม่คุ้นชินกับความแวววาวของห้องนี้ ทั้งหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดช่องให้แสงลอดผ่านเข้ามา แสงเหล่านั้นมันส่องกระทบกับผนังห้องสีเงินและอุปกรณ์สำนักงานที่ทำมาจากเงินอีกมากมายจนเกิดเป็นแสงสะท้อนชวนให้รู้สึกอึดอัด เช่นเดียวกับชั้นวางที่ทำจากกระจกใสด้านหลังที่ดึงดูดสายให้ผมมองพวกมัน บนชั้นวางเหล่านั้นลอยตัวอยู่กลางอากาศ แถมบนนั้นมีโล่รางวัลแบบโฮโลแกรมตั้งอยู่มากมาย ทั้งรางวัลทีมงานยอดเยี่ยมแห่งปี สุดยอดนักขายจนต้องร้องขอชีวิตแห่งชาติ และสุดยอดทีมผลิตเงินตราที่กี่ชาติก็ไม่มีวันใช้หมด แต่ในขณะที่สายตาผมกวาดมองสิ่งของที่อยู่รอบตัวอยู่นั้น เก้าอี้นวมสูงจากตอนแรกที่มันหันหลังให้ผม มันก็ค่อยๆ หมุนกลับมาประเชิญหน้าตรงกับผมอย่างตั้งใจ

               “สวัสดีครับคนตำรวจ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”

               ชายหนุ่มในชุดสูทร แต่ศีรษะของเขาประกอบสร้างจากหน้าจอทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า รอยยิ้มถูกสร้างมาจากเส้นกราฟที่พุ่งสูงขึ้นเหมือนยอดขายที่เพิ่มขึ้นในแต่ละไตรมาส ดวงตาถูกสร้างมาจากเหรียญทองรางวัลนักการตลาดดีเด่น ทุกครั้งที่ชายคนนี้พูด ผมมักจะได้กลิ่นธนบัตรใหม่เอี่ยมจากเครื่องพิมพ์ลอยมาเตะจมูกจนรู้สึกฉุนอยู่ไม่น้อย

               “โทษทีครับ!”

               ผมโพล่งคำพูดของตัวเองออกไป หลังจากที่รู้สึกได้ว่าผมจ้องมองใบหน้าชายคนนี้นานเกินไป แต่ในทางตรงกันข้ามชายหน้าจอเหลี่ยมกลับไม่ถือสา ขาเพียงหัวเราะเสียงทุ้มคล้ายกับมันเป็นเรื่องปกติที่เขาต้องเผชิญ เห็นเช่นนั้นผมจึงพยายามรวบรวมสติสูดลมหายใจเริ่มพูดถึงจุดประสงค์ที่ผมมา ณ ที่แห่งนี้

               “อย่างที่ได้ติดต่อมาครับ ผมกำลังสืบหาข้อมูลคนหายอยู่ครับ แล้วเขาก็เป็นพนักงานของที่นี่ ผมจึงอยากขอความกรุณาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับชายคนนี้ เผื่อมันจะเป็นประโยชน์กับรูปคดีครับ”

               ชายหน้าจอเหลี่ยมเงยหน้านึกคิด ผมคาดว่าเขาคงจำไม่ได้ว่าคนที่ผมกำลังพูดถึงคือพนักงานคนไหน เพราะเท่าที่เห็นบริษัทแห่งนี้เป็นบริษัทใหญ่ ดังนั้นคงจะมีพนักงานนับพันที่ต่อให้ความจำดีเท่าไรก็ต้องใช้เวลานึกเป็นเรื่องธรรมดา เห็นเช่นนั้นผมจึงยื่นรูปถ่ายของชายหนุ่มผู้สูญหายให้กับชายหนุ่มจอเหลี่ยมดู เขาเพ่งสังเกตุด้วยดวงตาเหรียญทองอยู่สักเสี้ยวนาทีแล้วเขาก็อุทานขึ้นเสียงดัง

               “อ๋อ! เด็กคนนี้ ผมก็ว่าทำไมเขาไม่มาทำงานหลายวันแล้ว”

               “เขาหายตัวไปครับ พ่อแม่เขามาแจ้งความกับผม คุณพอจะเล่าเรื่องของเขาตอนอยู่ที่ทำงานให้ผมฟังได้ไหม?”

               ไม่รอช้าชายหนุ่มจอเหลี่ยมเล่าด้วยน้ำเสียงทุ้มใหญ่ เขาเล่าว่าชายหนุ่มคนนี้เขาเป็นคนรับเข้าทำงานมาเอง เมื่อต้นปีก่อนชายหนุ่มคนนี้มาสัมภาษณ์งานกับเขา ครั้งแรกที่เขาเห็นผลงานและได้คุยด้วย เขารู้สึกเหมือนเห็นตัวเองตอนเรียนจบใหม่ๆ ชายหนุ่มผู้ตามหาความฝัน แต่กลับถูกความจริงเล่นงานไม่มีชิ้นดี ผลงานของชายหนุ่มทำให้เขาคิดถึงตอนตัวเองตอนสมัยยังเรียน ทำทุกกิจกรรม พยายามทำงานส่งเข้าประกวด เขียนเรื่องราวมากมาย เพียงหวังว่าวันหนึ่งผลงานของตัวเองจะออกสู่สายตาคนในสังคมและคนเหล่านั้นจะตกหลุมรักงานของเขา…แต่ทั้งหมดมันก็เป็นจริงได้ในโลกของจินตนาการ เพราะในเมื่อโลกใบนี้หมุนไปข้างหน้าได้ด้วยเงิน

               “ขอโทษทีครับ ผมดันเผลอโยงมาเรื่องของตัวเองจนได้”

               ผมส่ายหัวบอกเขาว่าไม่เป็นไร สิ่งที่เขานั่นมันดีแล้ว แต่อยู่ๆ เสียงโทรศัพท์เล็กแหลมก็แทรกกลางในบทสนทนาของเรา ชายหนุ่มจอเหลี่ยมหันมาขออนุญาตรับสายนั้น ก่อนที่เขาจะเอื้อมไปกับหยิบโทรศัพท์สีดำแบบมีสายบนศีรษะของตัวเอง ตอนแรกผมนึกว่าเป็นเส้นผมแต่ไม่ใช่ มันเป็นโทรศัพท์สีดำขนาดใหญ่ที่ม้วนกับเส้นผมของเขา เขาใช้เวลาไม่นานในการคุยกับคนปลายสาย เรื่องส่วนใหญ่ในบทสนทนาในสายก็เป็นการสั่งงาน พร้อมกับเสียง ‘อืม’ คล้ายกับเขากำลังฟังการรายงานจากลูกน้อง

               “เรียบร้อยครับ พอดีลูกน้องโทรมารายงานยอดขายสินค้าล็อตใหม่ครับ มาต่อกันเถอะครับ”

               แล้วเขาก็วางโทรศัพท์สีดำนั้นกลับไปบนศีรษะเช่นเดิม เขาเล่าต่อถึงชายหนุ่มผู้สูญหายคนนั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงเขาและวิธีการพูดจาของเขามันน่าฟังไปหมด ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงได้รางวัลสุดยอดนักขายแห่งปี สำหรับเขาแล้วชายหนุ่มผู้สูญหายคนนี้ถือว่าทำงานได้ดีพอสมควร ขยัน มีความรับผิดชอบอยู่ในมาตรฐานที่ดี ไม่ว่าเขาจะได้รับภาระงานสิ่งใดไป เขาก็จะทำมันออกมาได้ดี มีความแปลกใหม่ที่คาดไม่ถึงอยู่เสมอ แต่นั่นมันก็เป็นข้อเสียในเวลาเดียวกัน ความคิดสร้างสรรค์และความฉีกขนบของเขา มันทำให้งานของเขาแทบไม่มีตัวตนของบริษัทอยู่ในนั้นเลย มันอาจสร้างสรรค์มากเกิน ใส่ตัวตนของชายหนุ่มมากเกิน จนสิ่งเหล่านั้นกลายเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงหากเขายังอยากทำงานภายใต้องค์กร

               “มันเป็นสิ่งที่ผมชอบในตัวเขา และเป็นสิ่งที่ผมเป็นห่วงในเวลาเดียวกัน”

               “ทำไมหรือครับ?”

               ผมชะงักปากกาเงยใบหน้าถามด้วยความไม่เข้าใจ

               “การทำงานภายใต้องค์กร ตัวตนของเรามันต้องออกมาให้น้อยที่สุด งานที่ออกมาต้องอยู่ภายใต้ภาพลักษณ์ขององค์กร ยิ่งตัวตนของเรามีน้อยมากเท่าไรนั่นยิ่งเป็นสิ่งที่สมควร แต่ผมก็ยอมรับว่าในเวลาเดียวกันผมก็รู้สึกเสียดายถ้าตัวตนของเขาหายไป…แต่ก็นั่นแหละ! ที่นี่เราทำธุรกิจ”

               พอพูดถึงตอนนี้ห้องทั้งห้องก็เงียบเสียงลง ก่อนที่ไม่กี่วินาทีต่อมาจะตามมาด้วยเสียงเครื่องเป่าบรรเลงเสียงดังสนุกครึกครื้น มันมาพร้อมกับพลุกระดาษหลากหลายสีสันที่ระเบิดออกมาจากที่พ่นน้ำดับเพลิงบนเพดาห้อง ในตอนนั้นใจผมแทบหยุดเต้นด้วยความตื่นตกใจ กากเพชรหลากหลายสีสันต่างล่องลอยปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ ผมหันไปมองผู้จัดการที่ตอนนี้ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยพลุกระดาษและกากเพชร เขาลุกขึ้นยืนแล้วชกไปกลางอากาศด้วยความดีใจเหมือนเด็กๆ

               “เราทำได้แล้ว!”

               เสียงทุ้มต่ำของเขามันฟังดูแหลมขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็กลับมานั่งที่เดิม ใบหน้าเขายังคงเปื้อนพลุกระดาษ

               “พวกเราทำยอดขายที่สูงสุดในประวัติกาลได้แล้วล่ะ ไม่มีอะไรหรอก”

               เขาพูดเพราะเห็นสีหน้ามีคำถามของผม แล้วผมก็พะยักหน้าพยายามเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้มากที่สุด ในขณะที่ผมยกมือตัวเองขึ้นเพื่อปัดพลุกระดาษและกากเพชรที่ติดบนใบหน้าของตัวเองเช่นกัน ผู้จัดการหน้าจอเหลี่ยมเขาก็กลับมาเล่าเรื่องของชายผู้สูญหายต่ออย่างกับว่าเมื่อสักครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

               “แต่พักหลังมานี้ ผมก็ดูออกว่าเด็กคนนั้นคงพยายามอย่างหนักที่จะไม่เป็นตัวเอง ผมเห็นใบหน้าโทรมเพราะการนอนน้อย และความเย็นชาไร้ความรู้สึกของเขาที่มีมากกว่าวันแรกที่เขาเข้ามาทำงานที่นี่…ซึ่งผมคิดว่าเขากำลังมาในทางที่ถูกต้องแล้ว”

               “ผมขอถามเรื่องส่วนตัวนิดนึงได้ไหมครับ?”

               ชายหนุ่มหน้าจอเหลี่ยมดูสับสนที่จะอนุญาตให้ผมถามคำถาม แต่แล้วเขาก็พยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มเป็นเชิงให้ผมถามคำถามที่ผมอยากรู้

               “ทุกวันนี้คุณมีความสุขหรือเปล่าครับ?”

               ชายหนุ่มจอเหลี่ยมนิ่งคิดไปเสี้ยววินาที ในตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดถึงสิ่งใด คงอาจจะทบทวนถึงคำถามของผม และดูเหมือนว่าคำถามนั้นมันก่อกวนความคิดของเขาอยู่เช่นกัน จนกระทั่งผมเห็นแววตาแววใสคล้ายกับว่าเขาได้คำตอบให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว เขาระเบิดเสียงหัวเราะของตัวเองออกมาจนสุดเสียง ซึ่งผมรู้สึกได้ว่าเสียงหัวเราะนั้นมันกำลังทำให้ปอดของเขาเกิดอาการเจ็บ เสียงหัวเราะเขาโอบล้อมห้องสีเหลี่ยมแห่งนี้เอาไว้อย่างอยู่หมัด มันสะท้อนก้องดังไปมาระหว่างกำแพงแต่ละด้านเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด

               “ใครเขาสนใจความสุขกัน ในเมื่องานนี้มันสร้างเงินให้ผมมากมายขนาดนี้”

               “แปลว่าคุณไม่มีความสุข?”

               ผมเอ่ยอย่างไม่ทันคิด โดยไม่ทิ้งช่องว่างจากคำตอบของเขา

               “แต่เงินก็สามารถซื้อความสุขได้นะครับ…และเด็กนั่นก็ต้องเรียนรู้ถึงสิ่งนี้”

               และแล้วธนบัตรจำนวนมหาศาลก็ปลิวลอดออกมาจากช่องว่างใต้ประตูทางเข้า คล้ายว่ามันคือช่องรับเงินในตู้กดเงินอัตโนมัติ พวกมันปลิวว่อนไปในอากาศคล้ายกับผีเสื้อตัวน้อยที่บินรุมทึ้งดอกไม้ เรียกร้องให้มนุษย์วิ่งไล่ตามมันเพื่อจะจับมันไว้ในครอบครอง ชื่นชมความงามของมันจากสีสันของปีก เพื่อในที่สุดเราจะพบกับความว่างเปล่าหลังจากที่ผีเสื้อเหล่านั้นตายในโหลแก้วของเราเอง

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.