Chapter 1 คำให้การจาก คู่สามีภรรยา

-A A +A

Chapter 1 คำให้การจาก คู่สามีภรรยา

“มันทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง”

              ชายเลยวัยกลางคนที่รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าเป็นหลักฐานชี้ชัดว่าเขาได้ใช้เวลาในชีวิตเลยครึ่งหนึ่งของชีวิตไปแล้ว เขาตอบคำถามอย่างเย้ยหยันถึงลูกชายของตัวเอง ในขณะที่ตัวภรรยาที่นั่งอยู่ข้างๆ บนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นในบ้านของพวกเขา เธอเพิ่งรินน้ำชาจากกาเพ้นท์ลายดอกไม้ใส่ถ้วยชาก่อนจะส่งมันมาทางผม ผมยื่นมือรับพร้อมกับรอยยิ้มแทนคำขอบคุณ

              ตั้งแต่เมื่อเที่ยงวันที่ผ่านมาจนตอนนี้ที่เข็มสั้นบนนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางบ้าน มันเดินมาจนเกือบจะถึงเลข 5 แล้ว ผมแอบเห็นเจ้านาฬิกานั่นแอบหาวอยู่บ่อยครั้งเพราะบรรยากาศที่อึมครึมของบ้านหลังนี้ วันนี้ผมตั้งใจมาสืบหาข้อมูลของชายหนุ่มผู้สาบสูญที่บ้านเขาเอง ซึ่งก็เหมือนว่าผมจะได้ข้อมูลมากขึ้นเลยทีเดียวจากคำให้การของผู้เป็นพ่อ ผมพอเดาได้ว่าเขาคงเป็นพ่อประเภทที่ไม่ค่อยประทับใจอะไรง่ายๆ ทุกอย่างรอบตัวเขาสามารถทำให้มันกลายเป็นเรื่องรบกวนจิตใจเข้าได้เสมอ เช่นเดียวกับเรื่องลูกชายของเขา

              “คุณตำรวจรู้ไหม หลังจากที่มันเรียนจบมันใช้เวลาเป็นปีกว่ามันจะหางานประจำทำได้”

              สีหน้าของเขายังคงไร้อารมณ์ ตัวสามีเล่าต่อว่าเมื่อปีที่แล้วหลังจากที่ลูกชายเขาเรียนจบ ลูกชายเขาว่างงานเกือบ 1 ปีเต็มเพื่อหางานประจำทำตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อ วันทั้งวันลูกชายขลุกตัวอยู่แต่ในห้องนอนตัวเอง หรือถ้าวันไหนอากาศดีหน่อยเขาก็จะไปนั่งร้านกาแฟแถวบ้าน แม้ว่าตัวสามีเองจะคอยถามความคืบหน้าเรื่องงานประจำจากลูกชายเขาบ่อยแค่ไหน มันก็มีเพียงคำตอบที่เงียบงันกลับมาอยู่เสมอ เอาเข้าจริงเขาแทบไม่รู้ว่าใน 1 วันลูกชายเขาทำอะไรบ้าง

              “แล้วคุณผู้หญิงล่ะครับ รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวลูกชายคุณบ้าง?”

              ผมหันไปถามตัวภรรยาหลังจากที่ผมได้ฟังข้อมูลจากผู้เป็นพ่อ แต่น่าแปลกที่เธอเอาแต่จ้องมองชากลิ่นหอมดอกไม้สีขาวในถ้วยชาของเธออยู่อย่างนั้น

              “ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ พวกเราทำงานหนักกันทั้งวันไม่มีเวลามาสังเกตุเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรอกค่ะ”

              แล้วเธอก็ดื่มชาในถ้วยของเธอในขณะที่ผมจับสังเกตเห็นว่ามือของเธอสั่น ในตอนนั้นผมแทบจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะสอบถามข้อมูลจากเธอเพิ่ม เพราะคิดว่าเธอยังไม่พร้อมที่จะพูดเรื่องนี้ตอนนี้ แต่ในระหว่างที่ผมจะหันกลับไปทางตัวสามีเธอก็ดันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเคลือ

              “แต่ฉันมั่นใจว่า ฉันกอดเขาทุกวัน”

              ใบหน้าเรียบเฉยของเธอตอนนี้มันเริ่มแดงก่ำ ถ้วยชาในมือมันถูกลดต่ำลงวางไว้บนตัก ดวงตาของเธอเฉหันมองไปยังในสวนเหมือนเธอกำลังเห็นภาพในจินตนาการในวันที่ลูกของเธอหายตัวไป

              “ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องของเขาเลยนะ”

              แล้วหยดน้ำตาเธอก็ล่วงหล่นผสมลงไปในถ้วยชาที่อยู่บนตัก เธอรีบปาดน้ำตาออกจาใบหน้าก่อนที่จะขอตัวไปจัดการกับอารมณ์ที่ประดังประเดเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ตอนนี้เหลือผมกับตัวสามีเพียงสองคนที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกแห่งนี้ เขายังคงดูแข็งกร้าวแม้ว่านัยน์ตาของเขาจะสั่นไหว ตอนนั้นถ้วยชาที่ภรรยาของเขาวางทิ้งไว้มันอยู่หมิ่นกับขอบโต๊ะ พร้อมทั้งยังมีหยดชาจำนวนหนึ่งกระเด็นเลอะอยู่บนโต๊ะไม้เหตุจากการวางถ้วยชาลงอย่างแรงเมื่อครู่ ไม่รอช้าตัวสามีรีบหยิบเอาทิชชู่ที่อยู่ใกล้ตัวเช็ดหยดน้ำชาเหล่านั้น พร้อมกับขยับถ้วยชาให้เข้ามาอยู่กลางโต๊ะดังเดิม

              “แล้วตอนที่ลูกของคุณหายไป สรุปเขาได้งานทำหรือยัง?”

              “มันได้งานประจำทำแล้ว แต่ทำอยู่แค่ปีเศษๆ มันก็บ่นอยากออก”

              ลมหายใจเฮือกใหญ่ลอดผ่านโพงจมูกจนเกิดเสียงดัง ตัวสามีนำมือยกขึ้นกุมไปที่ขมับของตัวเอง

              “มันนี่ทำอะไรไม่เคยสำเร็จเลยจริงๆ”

              หลังจากนั้นไม่นานผมก็ขอตัวเดินเก็บข้อมูลรอบบ้านซึ่งผมก็ได้รับอนุญาตอย่างง่ายดาย บ้านหลังนี้เป็นบ้านกลางสวนที่มี 2 ชั้น โดยห้องของชายหนุ่มอยู่บนชั้น 2 ติดกับบันได บรรยากาศบริเวณชั้น 1 เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ถูกทำมาจากไม้ ทั้งเก้าอี้ โต๊ะวางโทรทัศน์ โต๊ะกินข้าวแบบยาว พวกมันเหมือนถูกคุมโทนให้ทั้งชั้นมีเพียง สีน้ำตาล ดำ และสีเหลืองนวลหม่น แต่สิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจเพราะมันผิดกับคำให้การของคู่สามีภรรยาที่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยใส่ใจลูกชายเขาเท่าไรนักคือ ทุกผนังแต่ละด้าน ทุกชั้นวาง ทุกตู้โชว์มักจะมีรูปของครอบครัวเขาแขวนหรือวางไว้อยู่ โดยเฉพาะกับรูปของลูกชาย

              เช่นโถงทางเดินจากห้องครัวไปยังห้องนั่งเล่นก็มีรูปลูกชายในวัยเด็กที่กำลังยิ้มร่าในแต่ละอิริยาบท ทั้งในวันเข้าเรียนวันแรก วันที่ได้ไปสวนสัตว์ วันที่ขึ้นรับรางวัลแข่งขันวาดรูป หรือแม้แต่วันที่ลืมตาดูโลก ภาพทั้งหมดมันทำให้ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ลอยออกมาจากรูปภาพเหล่านั้น เดินมาอีกหน่อยก็จะมาถึงตู้โชว์ในห้องนั่งเล่น บนนั้นมีเกียรติบัตรและถ้วยรางวัลมากมายที่ผมคาดเดาว่าเป็นของลูกชาย ทั้งรางวัลนักเรียนดีเด่น รางวัลวาดภาพชนะเลิศระดับประถม 3  จนกระทั่งผมมาหยุดอยู่ที่รูปที่ใหญ่ที่สุด มันเป็นรูปของลูกชายในวัยที่โตขึ้นมาอีกหน่อย คาดว่าน่าจะเป็นช่วงประถมปลาย เขาถูกจับให้อยู่ในชุดสีดำเท่กำลังขี่อยู่บนรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ พร้อมกับสวมแว่นตากันแดดทรงนักบิน ผมจ้องมองภาพนั้นอยู่นานจนไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้าง

              "เขาภูมิใจรูปนั่นที่สุดเลย...ลูกชายที่เขาอยากให้เป็น"

              รู้ตัวอีกทีผมก็เห็นว่าตัวภรรยากำลังยืนมองดูรูปภาพนั้นด้วยรอยยิ้มอยู่ข้างๆ ผม

              “เด็กตอนเป็นเด็กนี่น่ารักจริงๆ เนอะ”

              เธอกล่าวเสริม ตอนนี้ในหัวผมต่างเต็มไปด้วยคำถาม ทำไมสิ่งที่ผมได้ยินจากคำให้การกับภาพที่ผมเห็นมันช่างต่างกันโดยสิ้นเชิง

              “มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ?”

              หญิงคนนั้นชะงักกับคำถามผมเล็กน้อย แต่เธอก็ยังคงจ้องมองไปที่รูปนั้น

              “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้ตัวอีกทีพวกเราก็มาอยู่กันจุดนี้แล้ว”

              “ผมถามจริงๆ นะ พวกคุณรู้สึกดีใจไหมที่ลูกของคุณหายไป?”

              หญิงคนนั้นหันมามองผมอย่างรวดเร็ว เธอกลับมามีใบหน้าที่เฉยเมยต่างจากดวงตาที่มันกำลังแตกสลายจนยากจะควบคุม ตอนนี้ผมไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไร ผมรู้เพียงว่าคำถามที่ผมเพิ่งถามเมื่อสักครู่มันคงเป็นคำถามเดียวกับที่เธอคงจะถามตัวเองอยู่เช่นกัน

              “คุณไม่รู้หรอกว่าพวกเราคาดหวังและลงแรงกับเด็กคนนี้มากแค่ไหน…เขาแทบไม่เหมือนเด็กคนเดิมเลยสักนิด”

              และในตอนนี้ดวงตาที่กักเก็บน้ำตาของเธอก็ไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้อีกต่อไป น้ำตาเธอไหลออกมาทำลายใบหน้านิ่งเฉยที่เธอตั้งใจปิดบังความรู้สึกอ่อนแอของตัวเองไว้จนหมดคราบ

              “คุณอยากให้ลูกคุณประสบความสำเร็จเหรอ?”

              “พ่อแม่ทุกคนก็ต้องการแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?”

              เธอตอบคำถามผมด้วยคำถาม

              “แต่จริงๆ แล้ว มันก็เพียงเพื่อทำให้พวกเราได้มั่นใจว่าเขาจะอยู่ด้วยตัวเองได้หากไม่มีพวกเราแล้วก็เท่านั้น แต่ก็เหมือนว่าเด็กนั่นมันกำลังทำทุกสิ่งตรงข้าม…บางครั้งพวกเราสองคนก็คอยถามตัวเองอยู่ตลอดว่าพวกเราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ทำไมทุกอย่างมันถึงออกมาเป็นแบบนี้?”

              เสียงสะอื้นทำให้คำพูดของเธอขาดห้วงลงไป ผมเห็นหยดน้ำตาเกาะพราวอยู่ที่แพขนตาของเธอ มันสะท้อนเล่นกับแสงดวงอาทิตย์ยามเย็นที่กำลังคืบคลานเข้ามาในบ้านหลังนี้ ความมืดหม่นในบ้านและกลิ่นของคราบน้ำตามันชะงักในวินาทีที่ต้องกับแสงของดวงอาทิตย์ ในวินาทีนั้นที่ร่างกายของเธอสัมผัสกับแสงสุดท้ายของวัน เธอก็หยุดร้องไห้ เธอค่อยๆ ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของเธออกจากใบหน้า ก่อนจะกลับไปพยายามทำสีหน้าของเธอให้เรียบเฉยซ่อนความรู้สึกของตัวเองต่อไป ยกเว้นเพียงดวงตาที่ทำการหลบซ่อนได้ไม่เนียน เพราะมันกำลังสะท้อนความรู้สึกล่มสลายในหัวใจของเธอออกมาอย่างหมดจด

              และไม่นานเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบออกมา

              “ลูกฉันอาจเป็นคนขี้แพ้จริงๆ ก็ได้”

              ด้วยความไม่ตั้งใจในขณะที่เธอพูดสายตาผมมันก็ดันเสไปออกนอกหน้าต่างในห้องนั่งเล่น ตอนนี้ข้างนอกดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าแล้ว ผมมองเห็นตัวสามีกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกในสวนใต้ต้นไม้ใหญ่ โดยข้างตัวเขามีแมวตัวสีน้ำตาลนั่งอยู่ด้วย ผมพยายามเพ่งมองว่าเขากำลังทำอะไร และในที่สุดผมก็ได้เห็นภาพนั้น เขากำลังมองไปที่แสงสุดท้ายของวันคล้ายกับกำลังตั้งคำถามกับชีวิตหรือกับคนที่อยู่เบื้องบนด้วยสีหน้าเช่นเดียวกับภรรยาของเขา…ใบหน้าเรียบเฉย แต่แววตาแตกสลาย

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.