มุกดาน้ำผึ้ง 2: แมวน่าสงสาร
คืนนี้อากาศร้อนจัด ร้อนจนข่มตาหลับไม่ได้ อติญาจึงตัดสินใจออกมาเดินเล่นตามลำพังริมสระน้ำหน้าคฤหาสน์ เพื่อผ่อนคลาย ปกติห้องพักแม่บ้านที่นี่จะมีเครื่องปรับอากาศให้ แต่เหมือนว่าคืนนี้มันจะเสียเอาดื้อๆ ธรรมดาเธอก็ขี้ร้อนอยู่แล้ว ยังต้องมาเจออากาศแบบนี้ก็ทำให้อดทนไม่ไหว ตัดสินใจออกมารับลมข้างนอกแทน
สองขาก้าวไปบนกระเบื้องหยาบริมสระว่ายน้ำพลางหัวก็คิดเรื่องนั่นนี่เรื่อยเปื่อย กระทั่งมาหยุดที่ข่าวเจ้านายหนุ่มของเธอเมื่อตอนกลางวัน จนตอนนี้คนในคฤหาสน์ยังไม่มีใครพบตัวเขา และไม่รู้ว่าหายไปไหน เป็นอย่างไรบ้าง ส่วนหนึ่งก็เพราะคนที่เหลืออยู่ที่นี่เป็นเพียงแม่บ้าน ไม่ได้สำคัญอะไรถึงขั้นใครจะต้องมารายงาน คฤหาสน์หลังนี้ชายหนุ่มอยู่คนเดียว พ่อก็เพิ่งเสียชีวิตไปเดือนก่อน ส่วนแม่หมดบุญไปตั้งแต่เขายังวัยรุ่น ญาติที่เหลือต่างอาศัยกันคนละที่ มีไม่กี่คนที่แวะเวียนมาหาบ้าง...จะว่าไป ชีวิตคล้ายอติญาพอควรเลย
“ง้าวววว!”
ขณะกำลังคิดอะไรอยู่เพลินๆ เสียงกรีดร้องหนึ่งก็ดังขึ้น อติญาสะดุ้งโหยงด้วยไม่ทันตั้งตัว ก่อนเสียงนั้นจะเริ่มเข้ามาใกล้เรื่อยๆ กระทั่งสามารถเห็นตัวเจ้าของได้ถนัดตา แมวสองตัวกำลังวิ่งไล่ฟัดกันมานี่เอง แรกทีเดียวเธอคิดจะไม่สนใจแล้วเดินหนีไปทางอื่นเสีย ทว่าแมวพวกนั้นก็พากันมาวิ่งวนรอบตัว และเสียงร้องของแมวฝ่ายโดนคุกคามก็ช่างบาดใจเหลือเกินจนต้องหยุดมองอย่างชั่งใจ
“แมวตัวเมียกำลังโดนตัวผู้ไล่ปลั้มหรือ?!” ยืนพิจารณาอยู่ครู่อติญาค่อยเข้าใจสถานการณ์ ริมฝีปากบางเอ่ยออกมาพลางอดสะเทือนใจไม่ได้ พอรู้หรอกว่ามันคือธรรมชาติของสัตว์ แต่เธอค่อนข้างอ่อนไหวกับอะไรพวกนี้อยู่ก่อนแล้ว
หญิงสาวตัดสินใจช่วยแมวตัวเมียน่าสงสาร ต่อให้การสืบพันธุ์เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่สิ่งที่เห็นอย่างไรย่อมไม่ใช่การสมยอม ยิ่งทำให้เธอรับไม่ได้ ร่างบางขยับตัว กำลังจะเข้าไปตะเพิดไล่แมวบ้ากามช่วยแมวสาวสีน้ำผึ้งตัวกลม แต่ไม่ทันทำอะไรจู่ๆ แมวตัวนั้นก็กระโดดมาหาราวรู้ใจ เธอเห็นอย่างนั้นก็รีบคว้ามาแนบอกก่อนเบี่ยงหลบอีกตัวที่กระโจนตามมาติดๆ แต่ยังมิวายถูกกงเล็บคมขวนเฉียดแขนเลือดซิบ
“กรี๊ด!” คราวนี้เป็นอติญาร้องลั่นบ้าง เมื่อแมวตัวร้ายไม่ยอมลามือ หลังจากพลาดเป้าไปมันก็หันมากระโจนใส่อีกครั้งหมายฉีดทึ้งคนตัวโตที่บังอาจมาขัดขวาง ตอนนั้นเธอเพิ่งนึกถึงคำเตือนของบางคนออก ว่ากันว่า ถ้าแมวกำลังกัดกันห้ามเข้าไปยุ่งเพราะอาจโดนดีได้ หรือไม่ตอนมันติดสัตว์จะก้าวร้าวเป็นพิเศษ ควรอยู่ห่างให้ไกล แมวตัวนี้คงไม่ต่างกันกระมัง
เมื่อตระหนักได้อย่างนั้น จากที่คิดจะสู้กับเจ้าแมวบ้าคลั่งก็เปลี่ยนใจ แม้สุดท้ายเธออาจไล่มันสำเร็จ ก็คงแลกมากับบาดแผลหลายแห่ง เพราะแมวบางตัวบทจะสู้ก็สู้ยิบตา ทางที่ดีที่สุดเห็นจะเป็นรีบออกจากตรงนี้ให้ไว ดังนั้นเธอจึงพยายามมองหาจังหวะเหมาะ และรีบสับขาวิ่งหนีสุดชีวิต
ประตูถูกเปิดเข้ามาด้านใน คนที่ก้าวเข้ามาคือหญิงสาวเจ้าของห้อง อาการหอบน้อยๆและสีหน้าตื่นยังมีให้เห็น ก่อนเสียงร้องของเจ้าสี่ขาในอ้อมอกจะดังขึ้นคล้ายถามไถ่ แม้สิ่งที่เธอได้ยินจะมีเพียงเมี้ยวก็ตาม
“แกอยู่ในนี้ก่อนนะ แต่อย่าดื้ออย่าซนล่ะ” อติญาปล่อยแมวน้อยลงกับพื้นห้อง แล้วผละเข้าไปล้างแผลในห้องน้ำสักครู่ จึงออกมาใส่ยา โดยมีเพื่อนสี่ขาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ พอทำแผลตนเองเรียบร้อยก็เพิ่งนึกขึ้นได้
“แกบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เธอถามด้วยความเป็นห่วง ราวกับคิดว่าฝ่ายที่พูดด้วยจะฟังรู้เรื่อง แมวสีน้ำผึ้งหันมองหน้าเธอ และร้องออกมาคล้ายตอบกลับ
“ไหน ขอดูตัวหน่อย” มือบางเอื้อมไปอุ้มมันมานั่งตัก ก่อนคลำไปตามร่างกายอ้วนพลุ้ยที่ปกคลุมด้วยขนนุ่มนิ่มอย่างสำรวจ เจ้าสี่ขาส่งเสียงอีกครั้ง แต่เธอฟังไม่รู้เรื่องจึงไม่ได้สนใจมากนัก
“นี่แกเป็นตัวเดียวกันกับที่แอบเข้าไปในครัวตอนบ่ายหรือเปล่า” มองไปมองมาก็รู้สึกคุ้นตาแมวตัวนี้เหลือเกิน
“เมี้ยวววว”
“นึกว่าไปที่อื่นแล้วซะอีก ที่นี่เขาห้ามไม่ให้ปล่อยสัตว์มายุงย่ามน่ะ ต้องขอโทษที่พวกพี่ๆ แม่บ้านต้องตะเพิดแกไปตอนนั้นด้วย” เธอกล่าวอย่างอ่อนโยน พลางลูบตัวมันด้วยความเอ็นดู ฝ่ายเจ้าแมวก็ร้องตอบทำราวเข้าใจที่เธอพูด
“แกหลบอยู่ที่นี่ได้แค่คืนเดียวนะ เจ้านายไม่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ที่นี่ ถ้าแกมีบ้านก็รีบกลับซะ เจ้านายแกคงเป็นห่วงแย่แล้วล่ะ” และตามคาด เจ้าพุงพลุ้ยก็ร้องรับอีกครั้งเหมือนฟังเข้าใจ หญิงสาวยิ้มให้มันด้วยความเอ็นดู ต่อเมื่อเห็นว่าเวลานี้ไม่มีอะไรแล้วจึงเดินไปปิดไฟเข้านอนพร้อมกันกับเจ้าแมวน้ำตาล ที่ขึ้นมานอนเบียดบนเตียงด้วย โดยเธอไม่คิดรังเกียจแม้แต่น้อย
“อ้าว! หายไปไหนแล้วล่ะ?” ตื่นขึ้นมาอติญาก็ไม่เห็นแมวสีน้ำผึ้งอ้วนพลุ้ยเมื่อคืนอยู่ในห้องแล้ว ร่างบางลุกจากเตียงมาเดินหาทั่วห้อง แต่ก็ไม่พบ ตาเรียวกวาดมองไปรอบบริเวณ ภายในห้องนี้ไม่น่ามีช่องทางไหนให้มันออกไปไหนได้เลย ทว่าตอนนี้นอกจากเธอก็ไม่พบว่ามีสิ่งมีชีวิตใดอื่นอีก จนนึกแปลกใจ ก่อนจะลองออกไปตามหาด้านนอกดูบ้าง
“คุณเกรซ” และเสียงคุ้นหูของใครคนหนึ่งก็ทักขึ้น
“คุณกัสโตร” เธอไม่คิดว่าจะได้พบเขาในเช้านี้
“อรุณสวัสดิ์ คุณตื่นเช้าจัง กำลังหาอะไรอยู่หรือเปล่า” อีกฝ่ายเดินเข้ามาหา
“เออะ เปล่าค่ะ คุณกัสโตรมีงานอะไรจะสั่งเกรซหรือเปล่าคะ”
“ยังไม่มีหรอก ผมแค่เจอคุณเดินอยู่เลยทัก”
“เอ่อ..ค่ะ”
“ที่แขนคุณ เป็นอะไรหรือเปล่า ถึงติดปาสเตอร์ไว้” มือหนาชี้มาที่แขนข้างหนึ่งของอติญา
“เอ่อ..นิดหน่อยค่ะ แต่ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แล้วคุณกัสโตรกลับมาเมื่อคืนหรือคะ เมื่อวานเห็นคุณโอลิมปัสมาตามหาที่บ้านค่ะ”
“อ๋อ..ใช่ ผมมีอะไรต้องทำนิดหน่อย มันกะทันหันเลยไม่ทันบอกใครน่ะ แต่ตอนนี้ก็โทรคุยกับโอลิมปัสแล้วล่ะ”
“อ๋อ..ค่ะ...เอ่อ ถ้าคุณกัสโตรยังไม่มีงานอะไรให้เกรซทำ งั้นเกรซขอตัวไปจัดการตัวเองก่อนนะคะ”
“ได้ครับ...แต่ เอ่อ คุณเกรซ...ถ้าเจอแมวตัวอ้วนๆ เพศเมีย ขนสีน้ำผึ้งมาวนเวียนแถวนี้ฝากดูแลเป็นพิเศษหน่อยนะ แมวผมเอง เพิ่งเอามาเมื่อวาน ฝากคุณบอกทุกคนด้วย” คำพูดของเขาทำให้คนฟังชะงักไปนิดหนึ่ง แต่ก็ยังรับคำโดยดี จากนั้นทั้งสองก็แยกย้ายกัน โดยอติญาก็ได้แต่เก็บความสงสัยบางอย่างไว้คนเดียว
บรรยากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว ทำให้คนที่ชินกับพื้นที่เย็นสบายครั่นเนื้อครั่นตัวจนนอนต่อไม่ได้ ลุกขึ้นมาเดินวนเวียนในห้องเล็กที่จัดไว้ให้แม่บ้านด้วยความอึดอัด กวาดตาไปทั่วห้อง ห้องนี้ไม่มีทางออกอื่นนอกจากประตู มองไปบนเตียงขนาดสามฟุต ร่างหนึ่งยังนอนหลับตาพริ้ม แต่เขาร้อนจนอยากออกไปข้างนอกใจจะขาด กำลังจะเอ่ยปากเรียก ทว่าเสียงหนึ่งก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“ประตูเปิดแล้ว กลับไปที่ห้องของเธอซะกัสจัง”
ประตูเปิดให้เขาแล้วจริงๆ มันแง้มพอมีช่องว่างให้ร่างเล็กเดินออกได้สะดวก แต่เขายังมองไม่เห็นเจ้าของเสียงเมื่อครู่แม่แต่น้อย ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดว่า คนที่เปิดประตูให้อาจรออยู่ข้างนอก ทว่าพอออกมาแล้วก็ยังไม่เห็นเงาใครสักคนเดียว
“ทางสะดวก รีบกลับไปที่ห้องของเธอซะ พอถึงเวลาพระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าร่างกายเธอจะกลับเป็นเหมือนเดิม” เสียงสวยใสซึ่งไร้ที่มากล่าวต่อไป
“คุณ!...”
“อย่าส่งเสียงดัง เดี๋ยวก็โดนไล่ตะเพิดอีกหรอก” เสียงนิรนามขัดขึ้นก่อนเจ้าเหมียวจะส่งเสียงออกมาเต็มที่
“เธอไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเราเป็นใคร บอกได้แค่ว่า คำสาปจะมีผลกับเธอตั้งแต่หนึ่งทุ่มของทุกๆ วันนับจากวันนี้ และเธอจะกลับร่างมนุษย์เฉพาะเวลาพระอาทิตย์พ้นขอบฟ้า ส่วนเรื่องอื่นที่อยากรู้เพิ่มเติม ไว้ค่อยถามวันหลังละกันนะ”
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามที่ใครบางคนบอกเท่านั้น เสียงสวยใสพูดจบทุกอย่างก็เงียบกริบราวกับก่อนหน้าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น กระทั่งร่างเล็กสี่ขาสามารถเข้ามาในห้องใหญ่ได้เสียงนั้นก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่ออีก แต่เพียงอึดใจเดียวร่างแมวสีน้ำผึ้งพุงพลุ้ยก็ขยายตัวกลับเป็นเขา ลูกชายเจ้าพ่อใหญ่ตามเดิม เหมือนที่คนคนนั้นบอกจริงๆ
ดิษกรไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง หรือมันเป็นแค่ความฝันเพี้ยนๆ ของเขา นั่งทบทวนทุกอย่างอยู่พักใหญ่ ทดลองทำนั่นนี่อีกสารพัดก็ยังไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นความจริง เหนื่อยใจมากเข้าจึงเดินออกมาสูดอากาศข้างนอกเพื่อผ่อนคลาย และได้พบกับคนที่ช่วยเขาไว้เมื่อคืน
เรื่องมันบ้าไปแล้ว! เขาจะโดนคำสาปจริงๆ หรือ? แต่อย่างไรก็ควรเตรียมแผนรับมือให้พร้อม ถ้ากำลังฝัน อีกไม่นานคงจะถึงเวลาตื่นเสียที แต่ถ้าเป็นจริง เย็นนี้มันจะต้องเกิดขึ้นอีก!
“เธอริเรียลูกรัก เธอริเรีย เธอริเรียลูกพ่อ พ่อกับแม่คิดถึงลูกเหลือเกิน”
หลังจากอาบน้ำห่อผ้าเช็กตัวเสร็จ ขณะอติญากำลังเปิดประตูออกจากห้องน้ำ จู่ๆ เสียงบางอย่างก็ลอยมากระทบโสทประสาทจนต้องชะงัก เพราะเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงผู้ชายฟังน่าจะอายุสามสิบปลายๆ ดวงตาเรียวกวาดมองทั่วห้องทันทีด้วยความวิตก ใครกันมาอยู่ในห้องเธอ?!
“เธอริเรีย เธอริเรีย พวกเราคิดถึงลูก” เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้หญิงสาวชักไม่แน่ใจว่ามันดังขึ้นกลางสมอง หรือดังมาจากทิศทางไหนกันแน่ ภายในห้องไม่มีใครอยู่นอกจากเธอ
“เธอริเรีย..สักวันเราจะได้พบกัน..พ่อกับแม่รักและรอการกลับมาของลูกเสมอ..เธอริเรีย..พวกเรารักลูก”
ภาพชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้นกลางสมอง ชายหนุ่มรูปงามที่เห็นเพียงท่อนบนเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้าม ใบหน้าคมสันดูน่ายำเกรงแต่แฝงความอ่อนโยนนั้นช่างคุ้นตาคล้ายเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นเมื่อไหร่
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ทว่าทันใดเสียงเคาะประตูก็ดังขัดจังหวะขึ้น
ร่างกายกำยำบนแท่นลายวิจิตรค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นเมื่อรู้ว่าการเชื่อมต่อระหว่างพระองค์และคนอีกทางตัดขาดไปแล้ว ราชาสิมันทรัสยันกายลุกขึ้น ท่อนล่างสวมด้วยเครื่องทรงลายเรียบยาวถึงข้อเท้า ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นหางปลาสีน้ำตาลทองงดงามว่ายไปยังประตูหินแกะสลักแล้วใช้มือทาบเคลื่อนเปิดออกอย่างง่ายดายด้วยพลังวิเศษในตัว หน้าประตูเป็นอีกห้องซึ่งคนจำนวนหนึ่งกำลังรออยู่ภายใน แต่เมื่อพ้นประตูมา พระองค์ก็ต้องตกใจที่เห็นว่าราชินีคู่บันลังซึ่งพักนี้สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงอยู่รวมกับบริวารคนอื่นๆ ในห้องด้วย
“เชอลินตร้า น้องมาที่นี่ทำไม ร่างกายยิ่งไม่แข็งแรงอยู่แท้ๆ!” ราชาเงือกสิมันทรัสรีบเข้าไปหาด้วยความห่วงใยทันที
“น้องอยากทราบข่าวเธอริเรีย ลูกเป็นยังไงบ้างคะ” ราชินีเงือกวัยสามสิบกว่าใบหน้าซีดเซียวหันมาถามพระสวามีอย่างอยากรู้
“ลูกเหมือนยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่เรื่องนั้นน้องไม่ต้องกังวล ลูกเราสบายดี” พระองค์กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แขนแข็งแรงยื่นไปโอบกระชับเอวบางอย่างทนุถนอม
“อีกไม่นานสายเลือกเผ่าเงือกจะปรากฏเต็มที่ เราต้องรีบพาลูกกลับบ้าน ไม่งั้นลูกจะใช้ชีวิตลำบาก เสียดายที่พักนี้น้องป่วยบ่อย ไม่อย่างนั้นคงจะมีพลังติดต่อกับลูกได้บ้าง”
“น้องควรพักผ่อนให้มากๆ รักษาตัวให้แข็งแรง ถึงกำหนดเปิดประตูมิติเราจะได้ไปพาลูกกลับบ้านพร้อมกัน ระหว่างนี้วางใจให้พี่ดูแลทุกอย่างเถิด”
“อีกไม่นานแล้วใช่ไหมคะท่านราชครู” เจ้าหญิงสราเซีย เจ้าหญิงสุดท้องในราชินีเชอลินตร้าและราชาสิมันทรัสหันไปขอคำยืนยันกับผู้เป็นอาจารย์ หมายให้พระมารดาได้ฟังอีกครั้งจะได้มีกำลังใจรักษาตัวมากขึ้น
“บัดนี้พิธีพร้อมแล้ว เหลือแต่รอเวลาตามฤกษ์เท่านั้นองค์ราชินี” คนเป็นอาจารย์เข้าใจเจตนาลูกศิษย์จึงหันไปช่วยกล่าวกับราชินีเชอลินตร้าให้วางใจ
“เอาล่ะ สราเซียพาแม่ไปพักผ่อนก่อน พ่อขออยู่คุยธุระกับท่านราชครูอีกสักหน่อยแล้วจะตามไป” ราชาสิมันทรัสสั่งลูกสาว พระองค์ยังมีเรื่องหารือกับท่านราชครูต่อแต่ไม่อยากให้คนรักทราบ พิธีเปิดประตูมิติพร้อมแล้วก็จริง แต่การเปิดประตูมิติไม่ได้ง่ายขนาดนั้น รอคล้อยหลังพระนางเชอรินตร้าสักครู่จนแน่ใจว่าจะไม่ได้ยิน ราชาวัยใกล้สี่สิบจึงเริ่มเปิดประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพูดคุย
"“ทุกอย่างจะเรียบร้อยจริงหรือไม่ท่านราชครู หากพิธีครั้งนี้ไม่สำเร็จ ราชินีเราต้องตรอมใจเป็นแน่” ราชาสิมันทรัสกล่าวกับราชครูเสียงเศร้าอย่างคนคิดไม่ตก
“สุดแต่วาสนาจริงๆ พระองค์ กระหม่อมรับปากเต็มร้อยไม่ได้ ถึงอย่างนั้นขอเพียงเราทำให้ดีที่สุดเถิด เตรียมใจไว้บ้าง แต่ก็อย่าวิตกไปล่วงหน้าเลย” ราชครูชราเตือนสติด้วยอาการสงบนิ่ง
“เราต้องได้พบพี่หญิงท่านพ่อ พี่หญิงต้องได้กลับบ้าน” เจ้าชายเอเปอร์ดอน โอรสคนที่สองต่อจากเจ้าหญิงเธอริเรียที่อยู่หารือด้วยกันกล่าวออกมาอย่างเชื่อมั่นให้กำลังใจพระบิดา
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 142
แสดงความคิดเห็น