บทที่ 13 เดิมพัน 1

มนตราสะท้านโลกา
คุณกำลังอ่าน: มนตราสะท้านโลกา

-A A +A

บทที่ 13 เดิมพัน 1

 

            ก่อนที่พวกไอจะต่อสู้ อาสึนะกับคาเสะก็พามายน์กับมายังบ้านของไบรท์ด้วยวงเวทเคลื่อนย้ายของคาเสะ พอพวกเขามาถึง พวกคาเสะก็ต้องตกใจเพราะเบื้องหน้าของเด็ก ๆ ก็คือ สามผู้คุมกฎ และโยดารวมไปถึงแอนนาที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า

“ในที่สุดก็มาได้สักที”

“เริ่มกลางอาณาเขตระดับ 5”

            สิ้นเสียงของแอนนา วงเวทขนาดใหญ่พลันปรากฏขึ้น บาเรียที่มองไม่เห็นเริ่มปกคลุมล้อมรอบบ้านของโยดาไว้ทันที แอนนาสั่งก่อนที่จะมองไปยังอาสึนะ และคาเสะ หญิงชราเลิกคิ้วเมื่อไม่เห็นรูรุ

“เด็กผู้ชายที่มีผมสีฟ้าไปไหน”

“ย่าหมายถึงรูรุใช่ไหม เจ้านั่นตามพี่ไอไปค่ะ”

            สั้นเสียงของคาเสะ หญิงชราก็สบทออกมา “บ้าเอ้ย แย่แล้ว”

              ระหว่างที่พวกไอกำลังเตียมต่อสู้กับเผ่าเดม่อน ห่างไปไม่ไกลมีชายหนุ่มทั้งสองกำลังยืนดูเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นด้วยท่าทางเคร่งเครียด ชายคนแรกเตียมตัวที่จะไปช่วยเหลือพวกไอตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้พลังเวทที่อยู่ในร่าง แต่ทว่าชายหนุ่มผมดำที่ยืนอยู่กลับนิ่งสงบ แม้แต่จิตสังหารเขาก็ไม่ปล่อยออกมา

              “ฉันแปลกใจจริง ๆ”

            เมฆามองไปยังชายผมทองที่อยู่ข้าง ๆ เขาเลิกคิ้วเป็นเชียงถาม

              “ทั้งที่ คนที่กำลังต่อสู้อยู่คือลูกของนายแท้ ๆ แต่นายกลับไม่คิดจะยื่นมือเข้าไปช่วย หรือว่าตั้งแต่ที่เธอตายไปนายก็ไม่คิดจะสนใจโลกใบนี้อีก”

            “ถ้าฉันไม่คิดจะไปช่วย ฉันคงไม่จัดการเผ่าเดม่อนที่ปรากฏตัวขึ้นหรอก”

            “ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าไง ทั้งที่นายก็จัดการพวกมันไปแล้ว แล้วทำไมไม่จัดการเจ้านั่นล่ะ”

            “ทั้งที่นายก็อยู่มานาน ไม่สิถ้าจะบอกให้ถูกนายน่ะได้ข้ามผ่านการเวลามานาน เห็นโลกนี้ในช่วงเวลาต่าง ๆ หลายยุคหลายสมัย แต่ว่านายกลับไม่เข้าใจเรื่องนี้ ฉันว่ามันแปลกจริง ๆ นะ ผู้ที่ชนะมหาสงคราม”

            “ฉันน่ะ ไม่ใช่ไม่อยากช่วยพวกนั้นหรอก แต่ว่าถ้าฉันลงมือสิ่งที่พวกนั้นจะได้รับก็คือสูญ”

            “ไม่หรอก ยังไงพวกนั้นก็มีประสบการณ์ในการต่อสู้จริง แล้วไม่ใช่หรอ โดยเฉพาะไบรท์ที่ได้รับความทรงจำของตัวเอง และไอที่สามารถมองเห็นอนาคตได้บางส่วน ถึงแม้ว่าพลังนี่จะไม่แข็งแกร่งเหมือนกับของอาสึนะที่เป็นเมียของนายก็ตาม”

            “ถึงมั้ว่าจะเห็นอนาคตได้ ถึงแม้ว่าจะได้ความทรงจำ แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นน่ะมันคือประสบการณ์ หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือการได้ต่อสู้จริง  แล้วอีกอย่าง พวกนั้นก็ไม่มีทางเป็นอะไรด้วย นั่นก็เพราะว่าตอนนี้พวกนั้นมีพวกเราที่เตียมตัวเข้าไปช่วยพวกนั้นได้ทุกเมื่อ”

            “สิ่งที่นายพูดก็ถูก”

            เมฆาละสายตาออกจากการต่อสู้ ก่อนที่จะหันไปหาชายหนุ่มผมทอง “แล้วนายล่ะ ทำไมถึงทำแบบนี้”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น “ฉันทำอะไร”

“ฉันคิดว่านายจะไม่ให้มนุษย์ที่อยู่บนโลกนี้ตายลงไปง่าย ๆ แต่ว่าฉันก็รู้ว่าฉันคิดผิด ตอนนี้นายกลับปล่อยให้มนุษย์ถูกมอนสเตอร์กินได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่ได้สนใจที่จะช่วยเหลือเลย”

วินหัวเราะเบา ๆ  ก่อนที่จะมองท้องฟ้าที่ตอนนี้ปกคลุมไปด้วยแสงสุริยาดีแดงฉาน

“โลหิตต้องไหลริน ย้อมผืนแผ่นดินให้เป็นสีชาติ ชีวาต้องดับสูญแต่ถึงกระนั้น ดวงวิญญาณยังคงอยู่”

“หมายความว่าไงกัน”

“เป็นคำที่ฉันได้มาน่ะ เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง โลกนี้จะกลับสู่ความโกลาหลสันติสุขอีกครั้ง”

“ความจริงแล้วโลกนั้นไม่มีทั้งสันติสุขหรือโกลาหลหรอก แต่ว่ามันจะหมุนเวียนไปเช่นนี้ เหมือนกับคลื่นทะเลที่ขึ้นลง ความสงบสุขจะตามมาด้วยความวุ่นวาย ความวุ่นวายจะตามมาด้วยความสงบสุข วนเวียนกันไปเช่นนี้ไม่มีที่สิ้นสุด”

“แล้วทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ล่ะ”

“เป็นธรรมชาติของโลกน่ะสิ ความสงบสุขและความวุ่นวายเป็นสองด้านของเหรียญ เหรียญไม่สามารถมีแต่ด้านเดียวได้ โลกก็เช่นกัน ไม่สามารถมีแต่ความสงบสุขหรือความวุ่นวายได้หรอก”

            เมฆายกยิ้ม เขาหันไปมองชายหนุ่มที่ยืน สายตาที่วินใช้มองไปนั้นเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ชายหนุ่มที่ข้ามผ่านการเวลาถอนหายใจออกมา

              “แต่ก็แปลกเหมือนกัน”

            “อือ แปลกจริง ๆ ด้วย ทั้งที่พวกเราก็รู้ว่าเรื่องมันต้องเป็นแบบนิ แต่พวกเราก็ยังทำ พวกเราใช้พลังเวทข้ามผ่านการเวลาจนมาถึงที่นี่ ใช้พลังแก้ไขทุกอย่างที่มันอาจจะทำให้โลกนี้ล้มสลาย จนพลังเวทของโลกใบนี้เปลี่ยนแปลงไป จนพวกเราถูกปิดบังชื่อออกจากประวัติศาสตร์”

            “และที่หน้าเจ็บใจที่สุดก็คือ คนที่พวกเราพยายามปกป้อง สุดท้ายแล้วก็เป็นคนพาพวกเผ่าเทพและปีศาจมายังโลกใบนี้ พวกเขาได้ปดผนึกประตูของโลกจนได้”

            “สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ฉันพยายามทำมันก็สูญเปล่า”

            “ใช่แล้ว สิ่งที่พวกเจ้าได้ทำนั้นมันสูญเปล่าจริง ๆ”

              วินกับเมฆามองไปยังผู้ที่ไม่คิดจะปรากฏร่าง แต่พวกเขาก็รับรู้ว่าชายผู้นั้นได้อยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก

              “โอสถเทวะ จะเป็นตัวช่วยของพวกเจ้า เมื่อสามผู้คุมกฎได้ตัดสินใจถ่อยทอดความรู้ให้กับชายหนุ่มผมสีฟ้า ผู้ที่มีความรู้ของนักปราษและระบบเวทวิทยา เมื่อนั้นมนุษย์จะสามารถอยู่รอดได้”

            “ช่างเหมือนกันจริง ๆ สุดท้ายแล้วมนุษย์จะเหลือเพียงอาณาจักรเดียว พวกมอนสเตอร์จะกลับมาอีกครั้ง และเผ่าเทพและปีศาจจะมาอยู่บนโลกนี้ด้วย”

              พอชายหนุ่มผมทองพูดจบ ชายผู้ที่ไร้นามก็กล่าวค้านความคิดของเขา

              “ไม่ใช่ เจ้าเข้าใจผิด นอกจากมนุษย์ จะต้องต่อสู้กับปีศาสอสูรกาย เผ่าเทพที่ต้องการหลอกใช้ และเผ่าปีศาจที่พยายามจะล่อลวง พวกเผ่ามนุษย์ยังต้องต่อสู้กับเลือดผสม ที่มีทั้งเลือดของเทพและปีศาจ พลังของมอนสเตอร์และอสูรกาย”

              สิ้นคำของบุรุษผู้ไร้นาม ชายหนุ่มทั้งสองพลันมีเหงื่อไหลเต็มใบหน้า  บรรยากาศเงียบลงอย่างกระทันหัน สายลมแห่งความหนาวเย็นพัดพาความยะเยือกของอากาศ  ก่อนที่วินกับเมฆาจะกล่าวขึ้น

              “หรือว่า เผ่านั้นก็คือ”

              “เผ่าเดม่อน เผ่าที่พระเจ้าไม่ได้สร้างขึ้นมา ผู้ที่เป็นศัตรูทั้งมนุษย์เทพและปีศาจ”

 

 

 

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.