บทที่ 1...2/2
รถกำลังผ่านน้ำพุที่พวยพุ่งมาจากรูปปั้นวีนัสแสนสวย อรอินทุ์คลี่ยิ้มไม่ใช่เพราะความชอบ แต่เพราะวีนัสเป็นเทพีแห่งความรักและความงาม ที่นี่งดงามด้วยสวนที่ออกแบบมาราวกับสวรรค์บนดิน อีกทั้งคฤหาสน์วัสวานซึ่งสร้างแบบ ‘เฟรนช์ ชาโต้’ ก็มีคนเคยเปรียบไว้ในหนังสือเกี่ยวกับบ้านว่าราวกับเข้าสู่ดินแดนที่จินตนาการสามารถทำให้เป็นจริงได้ด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาล
จากเด็กขายหนังสือพิมพ์มาสู่ชายที่เริ่มต้นจากธุรกิจค้าขายที่ดินก่อนจะเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์จำนวนหลายหมื่นล้านโดยการใช้เวลาเพียงสามสิบปี
เธอขับผ่านน้ำพุไปสู่ทางเรียบด้วยพื้นที่กรุงด้วยหินเล่นลายสวยจนรู้สึกเสียดายมันทุกครั้งที่ขับรถมาเหยียบ แต่มันคงมีราคาน้อยนิดสำหรับที่นี่ เธอจอดรถที่หน้าประตูใหญ่ที่สนนราคาเท่าที่รู้มากกว่าราคารถของเธอด้วยซ้ำ รถญี่ปุ่นราคากลางๆ ของเธอดูหมองไปทันที พ่อบ้าน คุณตุลยาและสาวใช้อีกสิบคนมารอรับคนสำคัญ ขาดเพียงคุณเธียรเท่านั้น
“ลุงอิชย์ไปพักเถอะครับ ผมดูแลตัวเองได้” พันธินเอ่ย เขาไม่ชอบการต้อนรับอย่างที่เห็นตรงหน้า แต่ห้ามออกไปคงไม่ทันแล้ว
“แน่ใจนะครับ”
“แน่ใจสิครับ ที่นี่บ้านผมนะ แล้วที่สำคัญ ผมไม่ได้กลับมามือเปล่า สบายใจเถอะครับ”
อิชย์ลังเล “ถ้ามีปัญหาอะไรรีบโทรหาผมนะครับคุณธิน”
เรียวปากหนายิ้ม อรอินทุ์รู้สึกขอบคุณที่เขาเห็นว่าพ่อของเธอห่วงใย ไม่ใช่การทำหน้าเฉยเหมือนไม่สนใจโลกใบนี้ แน่ล่ะ เกือบปีที่ผ่านมาคนที่อยู่ดูแลเขาก็คือพ่อของเธอ ถ้าไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงประหลาดไม่น้อย
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรที่ลุงอิชย์หวังดี ผมเข้าใจดีแล้วครับ” มือหนายื่นมาจับมือของผู้มากวัยกว่า ก่อนจะปล่อยพลางเปิดประตูกำลังจะก้าวออกไป ทว่ากลับหันหน้ามาแล้วมองไปที่กระจกบานหน้าจงใจสบตาคนที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว
“ขอบใจนะที่มาส่ง”
อรอินทุ์พยักหน้าให้เลยถูกอิชย์ตีแขนเบาๆ โทษฐานเสียมารยาท ครั้นจะบอกว่าไม่เป็นไรเธอทำตามที่พ่อสั่ง พันธินก็ลงไปจากรถเรียบร้อยแล้ว เธอเลยขับรถจากไปบ้าง ถึงจะมาที่นี่ทุกเดือน แต่น้อยครั้งที่เธอจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในบ้าน ผ่านมาจนตอนนี้แล้วการแบ่งชนชั้นก็ยังคงมีอยู่ที่นี่อยู่ดี
พันธินมองประตูใหญ่ที่เดินผ่านมันมานับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ในตอนอายุสิบสามปี เวลาช่างผ่านไปเร็วจนกระทั่งหลายๆ สิ่งในชีวิตเปลี่ยนไป การมีแม่เลี้ยงตอนอายุยี่สิบไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ทว่าสิ่งที่แปลกนั่นคือการที่ทุกคนในบ้านออกมายืนรอราวกับการกลับมาของเขานั้นสำคัญนักหนา
เขาไม่ได้ดีใจที่กลับมา...เพียงคนเดียว
ตุลยาเข้ามาจับมือลูกเลี้ยงที่อายุน้อยกว่าเธอห้าปี ก่อนจะสวมกอด ในขณะที่พันธินยืนเฉยไม่กอดตอบ ระหว่างเขากับแม่เลี้ยงเป็นเหมือนพี่สาวกับน้องชายมาโดยตลอด แต่การกอดภรรยาของพ่อเป็นเรื่องที่ยังทำให้เขาตะขิดตะขวงเสมอ
“ดีใจที่คุณธินกลับมาเสียทีนะคะ คราวก่อนที่ไปเยี่ยมยังน่ากังวล ตอนนี้หายดีกลับมาหล่อเหมือนเดิมแล้วนะคะ” ตุลยายิ้มกว้างพลางคลายกอด
พันธินฝืนยิ้ม ไม่มีคำปลอบโยนหรือคำยินดีใดทำให้เขาดีใจที่รอดความตายมาได้ หากว่าสามารถย้อนเวลากลับได้เขาขอเป็นคนที่จากไปเสียเองคงดีกว่า
“พ่อล่ะครับ”
“รออยู่ในห้องหนังสือน่ะค่ะ มาเหนื่อยๆ รีบไปหาคุณเธียรก่อน แล้วค่อยไปอาบน้ำดีไหมคะ”
“ครับ ขอบคุณที่มารอรับ”
พันธินมองไปยังคนอื่นๆ ที่มายืนรอรับ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านผ่านห้องต่างๆ ที่มีเกินจำนวนคนในบ้าน ภาพเขียนมากมายที่พ่อสะสม และภาพของพันแสงที่เขาเพิ่งเห็นว่ามันถูกนำออกจากเรือนกระจกมาไว้ที่นี่ เขามุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือที่เป็นห้องทำงานของพ่อพร้อมๆ กับถอนใจออกมา
ประตูห้องปิดสนิท เขาเคาะประตูก่อนจะเดินเข้าไป ตุลยาเดินตามมา พอเห็นลูกเลี้ยงเข้าไปหาเธียร เธอเลยเปลี่ยนใจเดินไปห้องแต่งตัว ค่ำนี้เธอมีงานเลี้ยงเพื่อหาทุนให้เด็กกำพร้า การเป็นภรรยาของชายที่มีเงินมหาศาลพอๆ กับหน้าตาทางสังคม ทำให้อดีตพยาบาลอย่างเธอได้ทำอะไรมากมาย เช่นเดียวกับได้เหนือใครๆ อย่างที่ไม่คิดฝันมาก่อนในชีวิต
พันธินไม่ได้คิดไปเองว่าพ่อดูเหนื่อยล้าตามวัย ไม่ใช่ดูเป็นคนใกล้เกษียรที่ยังดูหนุ่มกว่าอายุ การจากไปของลูกชายคงทำให้เลือดเย็นๆ ในตัวของพ่ออุ่นขึ้นแล้วกระมัง เธียรเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสาร เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุที่เขาเห็นใบหน้าของลูกชายได้ชัดเจนที่สุด อุบัติเหตุทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง ทว่าหลังจากการรักษามาเกือบปี พันธินยังคงเหมือนเดิม ยกเว้นดวงตาที่ดูเศร้ากว่าแต่ก่อนเท่านั้น
“มาแล้วหรือ”
หากเป็นครอบครัวอื่น การจากกันนานเพียงนั้นคงจบด้วยการสวมกอด แต่สำหรับที่นี่ พันธินทำเพียงยกมือขึ้นไหว้ แม้จะดีใจจนอยากกอดพ่อให้สมกับความคิดถึง
“ครับพ่อ ผมขอโทษที่...”
เธียรยกมือห้ามรู้ดีว่าลูกชายกำลังจะพูดอะไร จะขอโทษที่ลูกชายอีกคนของเขาตายงั้นหรือ แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรในเมื่อเรื่องได้เกิดขึ้นไปแล้ว เราต่างสูญเสียเหมือนกัน
“พ่อไม่อยากพูดถึงอีก ธินกลับมา ยังดีกว่าไม่มีใครกลับมาแม้แต่คนเดียว หายดีแล้วใช่ไหม”
พันธินคลี่ริมฝีปากได้นิดหนึ่ง อย่างน้อยพ่อยังพอใจที่ลูกชายคนโตของบ้านกลับมา
“ครับ หายดีแล้ว พ่อดีใจไหมครับที่คนรอดเป็นผม”
“มันสายเกินกว่าที่จะพูดเรื่องนี้กันอีก ถ้าธินหายดีแล้ว พรุ่งนี้ก็ไปเริ่มงานที่บริษัท โปรเจคต่างๆ เลขาจะเตรียมไว้ให้ธินพรุ่งนี้”
เรียวปากหนากลับมาเม้มปิดดังเดิม สำหรับพ่อแล้วไม่ว่าใครที่กลับมาคงมีค่าไม่ต่างกันสินะ การกอดดีใจคงเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อสำหรับผู้ชายคนนี้
“พ่อจะไม่ถามผมสักคำหรือครับว่ามันเป็นอุบัติเหตุหรือว่าเป็นอย่างอื่น ผมเจ็บมากไหม หรือต่อว่าอะไรก็ได้ที่ผมรอดตายมาเพียงคนเดียว ไม่เสียใจบ้างหรือครับ” ตลอดเวลาที่รักษาตัว พ่อไปเยี่ยมเขาเพียงสองครั้งเท่านั้น
เธียรถอนใจอย่างเหนื่อยล้า ในสมองของเขาว่างเปล่าไม่อยากหาคำตอบมาตั้งแต่รู้ว่าลูกชายตายแล้ว
“พ่อดีใจที่ธินกลับมา ธินเป็นคนช่างถามและขี้สงสัยว่าพ่อคิดอะไรตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
นั่นสินะ เขาน่าจะรู้ สำหรับพ่อคำว่าธุรกิจย่อมมาก่อนครอบครัวเสมอ ถ้าตอนนี้คนที่กลับมาเป็นพันแสงไม่ใช่พันธิน พ่ออาจจะไม่พอใจก็ได้
“ผมจะไปเริ่มงานพรุ่งนี้” ร่างสูงค้อมหลังลง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วเดินออกไป ทว่ายังไม่ทันถึงประตู เสียงเรียบๆ ก็เอ่ยขึ้น
“ไปหา...แสงมาแล้วหรือยัง”
เขาหันหน้าไปมองพ่อ ดวงตาคู่นั้นวูบไหว
“ไปมาแล้วครับ”
“แค่นั้น ไปได้แล้ว”
ประตูถูกเปิดออกและปิดลง เธียรอยากทำงานต่อ ทว่าสมองของเขากลับเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบจนไม่สามารถคิดสิ่งใดได้ สุดท้ายก็ต้องยอมปล่อยทุกอย่างออกจากมือและอยู่กับตัวเองเพื่อคิดอีกครั้ง
ทานอาหารค่ำเพียงลำพังเป็นสิ่งที่พันธินต้องการสำหรับการกลับมาในวันแรก พ่อทานอาหารในห้อง ส่วนตุลยาไปงานสังคม บ้านเงียบเหมือนที่เคยเป็น ไม่สิ เมื่อก่อนมันไม่ได้เงียบขนาดนี้เพราะคนมีทำให้เกิดเสียง เกิดเรื่องราว ในขณะที่อีกคนเอาแต่ทำงาน พอสองทุ่ม พันธินก็เข้าห้องส่วนตัว โทรศัพท์ที่อิชย์เตรียมไว้ให้ถูกเปิด เขาโทรหาทนายที่ดูแลเขามาโดยตลอดไม่ใช่แค่ตอนที่เกิดอุบัติเหตุ แต่มันนานมากจนเขานึกไม่ออกว่าตั้งแต่เมื่อไหร่
การเพลียจากการเดินทางทำให้การหลับเป็นเรื่องง่าย ทว่าน้อยครั้งที่เขาหลับได้สนิทจนถึงเช้า ตอนที่รักษาตัวเขาไม่อยากหลับทำให้หมอต้องให้ยานอนหลับ หนักเข้าต้องปรึกษาจิตแพทย์เพื่อให้หลับ ตอนนี้เขาสามารถหลับได้ด้วยตัวเองและพอใจหากว่าจะเห็นเหตุการณ์หนึ่งในฝัน
‘แสง...ระวัง!’
‘ไม่!!!’
เสียงระเบิดของยางรถยนต์ดังอยู่ใกล้ๆ ท่ามกลางความมืดที่มีแสงไฟจากรถโลกราวกับหมุนจนน่าเวียนหัว มีเสียงอึกทึกโครมคราม เราสองคนต่างกระเด็นออกมาจากรถ
พันธินผวาตื่น เหงื่อพราวเต็มหน้าผาก เขาหอบเหมือนกับว่าเพิ่งพารถในความทรงจำออกมาจากฝันร้าย หวังให้ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย ทว่าเมื่อมองไปรอบๆ ตัว เขาถึงรู้ได้ว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไม่มีใครกลับมา มีแต่เขาและห้องนอนที่ไม่คุ้นเคยเท่านั้น
พันธินนอนไม่หลับซึ่งอาจจะเป็นเพราะอาการเจ็ตแล็ก (Jet lag) หรือเป็นเพราะภาพเหตุการณ์ในวันนั้นยังคงอยู่กับเขาตลอดสิบเอ็ดเดือนที่ผ่านมา เขาเคยบอกจิตแพทย์ แต่กลับได้คำแนะนำว่าให้ลืมเหตุการณ์นั้นให้หมด เขาไม่ยอมทำตาม แต่กลับทำบางอย่างให้มั่นใจว่าฆาตกรจะไม่ลอยนวล ทุกอย่างเริ่มตั้งแต่เขารู้ตัวว่ามีชีวิตรอดเพื่อทำสิ่งใด แม้ตำรวจจะสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่เขามั่นใจว่ามันคือฆาตกรรม
ร่างสูงเดินออกมาจากห้องนอนแล้วเพื่อเลี่ยงการพบสาวใช้หรือใครก็ตามในบ้านจึงเดินไปยังระเบียงด้านหลัง แล้วลงจากชั้นบนโดยใช้บันไดเวียนซึ่งใกล้กับเรือนกระจกที่เคยเป็นสตูดิโอเก็บภาพที่พันแสงเขียน การเรียนด้านบริหารตามความต้องการของพ่อไม่อาจหยุดความชอบในด้านนี้ของพันแสงได้
ทว่าเมื่อเขาเดินไปใกล้ ใครคนหนึ่งเพิ่งเดินผ่านประตูบานเล็กระหว่างบ้านวัสวานกับบ้านหลังเล็กของลุงอิชย์ ใบหน้าเหมือนตุ๊กตากระเบื้องบึ้งตึงขึ้นมาเมื่อเริ่มเห็นชัดขึ้นว่าเป็นใครที่เดินเข้าสู่เฟรมสายตา ทว่าทำไมเธอถึงนำบางอย่างที่ไม่ควรนำเข้ามาด้วย ขายาวก้าวเร็วๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิ่งไปแล้วจับมือที่ถือไฟแช็คซึ่งติดไฟไว้
“นี่เธอกำลังทำอะไร เผาภาพนั้นทำไม ภาพของแสงหรือเปล่า”
ถ้ามีแสงไฟ เขาคงบอกได้ว่าใช่ภาพของพันแสงหรือไม่ใช่กันแน่ แต่ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ อรอินทุ์ก็ไม่ควรทำแบบนี้กับภาพทุกภาพบนโลก
แสงจากไฟแช็คดับลงคงเหลือไว้เพียงแสงจันทร์เพ็ญลางเลือน พันธินลงมาทำอะไรตอนตีสาม อรอินทุ์คิดว่าเลือกเวลาดีแล้วนะ แขนเล็กกว่าพยายามกระชากออกจากมือใหญ่ แต่ทำไม่ได้ดังใจจึงจำต้องอธิบาย ก่อนที่จะเข้าใจผิดไปกันใหญ่
“นี่เป็นภาพของฉันเองค่ะ วันนี้พอเห็นคุณธินฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่ามันไม่ควรอยู่ฉันมาตั้งนานแล้ว”
“แล้วทำไมต้องเผา” เขาถาม เผาแล้วจะได้ประโยชน์ตรงไหน
อรอินทุ์กระชากแขนออก แล้วมองพันธินอย่างไม่แน่ใจ เธอจะบอกเขาได้อย่างไรว่ามันเป็นวิธีเดียวที่คิดออก แล้วเรือนกระจกก็เป็นที่โปรดปรานของพันแสง เขาอาจจะรับรู้ได้ว่าเธอทำแบบนี้ทำไม พันธินยอมปล่อยแล้วเปลี่ยนมากอดอกแล้วออกคำสั่งแทน
“ห้ามเผา ถ้าเธอเผา ฉันจะแจ้งตำรวจ”
“จะบ้าเหรอคะคุณธิน ภาพนี้ฉันวาดเองกับมือ ทำไมจะเผาไม่ได้”
“แต่เธอวาดให้คนอื่น ไม่ได้วาดให้ตัวเองเพราะฉะนั้นยังไงฉันก็ไม่ให้เธอเผา”
อรอินทุ์ขมวดคิ้วใส่ ในเมื่อเธอไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเอ็มไพร์ กรุ๊ป การทำแบบนี้จึงไม่ผิด ในฐานะเพื่อนบ้านและมนุษย์คนหนึ่งทำไมเธอจะทำไม่ได้ แม้ว่าภาพเขียนจะไม่ใช่ของเธอมาตั้งแต่เริ่มวาดแล้ว ความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในสมอง
‘ถ้าคุณแสงยังอยู่คงมองภาพที่อรเขียนแล้วเบ้ปาก ต่อจากนั้นคงถามว่านี่เรียกว่าวาดได้แล้วเหรอ’
“วาดให้แสงใช่ไหม เธอเคยสัญญากับแสงว่าจะวาดภาพให้เป็นการตอบแทน ถ้าแสงช่วยติวหนังสือให้ แต่มันผ่านมาตั้งสองปีแล้วนะ เธอไม่คิดว่ามันช้าไปหน่อยหรือ” พันธินเอ่ยก่อนจะแย่งภาพวาดของอรอินทุ์มาไว้ในมือตัวเอง ทั้งที่จริงเขาควรแย่งไฟแช็คมากกว่า
อรอินทุ์ถอนใจใหญ่ ทำหน้าเหมือนโกรธ แน่ล่ะไม่ใช่เขาหรอก แต่เป็นคนที่เป็นเจ้าของภาพนี้ต่างหาก เธอไม่นึกว่าพันแสงจะเล่าเรื่องนี้ให้พี่ชายฟัง
“นึกแล้วเชียวว่าต้องเก็บความลับไม่เป็น”
“ในเมื่อแสงไม่อยู่แล้ว ถ้างั้นฉันจะเก็บภาพนี้ไว้เอง เธอคงไม่ว่าใช่ไหม ไหนๆ ก็คิดจะเผามันอยู่แล้ว อ้อ ถ้าเผาเพราะคิดว่าแสงจะได้รับล่ะก็ เธอให้ฉันไว้ดีกว่า”
“ไม่ได้ค่ะ ยังไงฉันก็จะเผาไปให้คุณแสงตามสัญญา”
อรอินทุ์ยื่นมือออกไปแย่งภาพคืนมา แต่คนสูงกว่ากลับชูภาพไปเหนือหัว การเข้าไปยื้อแย่งจึงยากเข้าไปอีก เธอมองเฉยไม่เข้าไปแย่งทั้งที่อยากทำเพราะไม่อยากพลาดไปกอดเขา
“แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าแสงได้รับ เธอจะตามไปคุยกับแสงเหรอ”
“คุณธิน!”
อรอินทุ์มองหน้าพันธิน ไม่ได้โกรธที่เขาพูดแบบนั้น แต่เพราะเธอไม่สามารถทำอย่างที่เขาพูดได้ เธอมีเวลานานพอในการให้ภาพใบนี้กับพันแสง แต่กลับไม่ได้ทำเพราะอยากรอให้ถึงวันเกิดของเขา จนเกิดเรื่องเสียก่อนและเขาไม่กลับมาอีกแล้ว เธอสะท้อนสะท้านใจ การกลับมาของพันธินทำให้เธอหลอกตัวเองไม่ได้อีกแล้วว่าสักวันพันแสงจะกลับมาเช่นกัน
‘ทำไมไม่รักษาสัญญา ทำไมไม่มารับภาพไปจากอรด้วยตัวเอง’
เธออาจเป็นอีกคนหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าการจากไปคงเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ถ้ารู้ว่าการไปของเขาจะไม่มีวันกลับมาอีก เธอจะไม่พูดคำพูดร้ายๆ ไปในวันนั้น ไม่ยอมให้เขาตามไปจนเกิดเรื่องตามมา
“เอาไปเลยค่ะ อยากได้ก็เอาไป ถือว่าต่อไปนี้ฉันกับคุณแสงไม่ติดค้างกันอีก คุณธินเป็นพยานแล้วนะคะ”
ภาพเขียนถูกส่งให้พันธินอย่างตัดใจ อรอินทุ์วิ่งไปยังประตูเล็กซึ่งเชื่อมระหว่างคฤหาสน์ร้อยล้านกับบ้านหลังเล็กมูลค่าตอนสร้างไม่ถึงล้านบาท ทว่าสำหรับพันธินแล้ว เขาชอบบ้านของอรอินทุ์มากกว่าบ้านของเขาเองด้วยซ้ำ
เรียวปากหนายิ้มได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่กลับมาเมืองไทย การรอดต่อความตายมาได้ไม่เพียงทำให้เขายังมีชีวิตอยู่ แต่พระเจ้ายังมอบสิ่งสำคัญมาให้เขาด้วย การกลับมาแก้แค้นของเขามีแต้มต่อเมื่อสามารถได้ยินไม่ว่าอะไรก็ตามที่คนรอบข้างคิดอยู่ในใจ มันทำให้เขารู้ว่าการพูดตรงกับที่คิดนั้นมีค่ามากมายกว่าเงินที่พ่อของเขามีในธนาคาร
พันธินกลับมาพร้อมมีความสามารถพิเศษที่จะช่วยเขาแก้แค้นได้เสียด้วย
จะมา up เรื่อยๆ นะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านค่ะ
อัมราน_บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 181
แสดงความคิดเห็น