บทที่ 448: ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ต้องถึงมือพวกเจ้าหรอก

-A A +A

บทที่ 448: ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ต้องถึงมือพวกเจ้าหรอก

ติ๋ง… ติ๋ง...

 

บัดนี้ของเหลวสีแดงกำลังตกลงสู่ปากของหลงหลิงเอ๋อทีละหยด

 

ในเวลาเดียวกัน ริมฝีปากสีแดงก่ำของหยินชางค่อย ๆ ซีดลงจนกระทั่งไม่มีสี และแผลบนฝ่ามือของเขาก็แห้งจนไม่มีร่องรอยของเลือดที่สามารถบีบออกได้อีก เขาจึงถอนมือออกมา

 

ภายใต้แสงจันทร์สีอ่อน ในไม่ช้าแก้มสีซีดของคนตัวเล็กก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวเหมือนภูตทั่วไป

 

เมื่อเด็กหนุ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของคนที่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม 

 

พี่หยินกู่เคยบอกว่าเลือดของภูตอสูรไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา และเขาไม่ควรให้ภูตคนอื่นได้ลิ้มรสเลือดของตัวเอง 

 

อีกทั้งเลือดของภูตอสูรเป็นเหมือนยาครอบจักรวาลสำหรับภูตคนอื่น

 

แต่หลิงเอ๋อไม่ใช่คนอื่น นางเป็นลูกของหูเจียวเจียวที่รับเขามาเลี้ยง ดังนั้นเขาควรทำอะไรสักอย่างเพื่อตอบแทนนาง

 

ยามนี้ดวงตาสีดำสนิทของหยินชางมองออกไปนอกหน้าต่างและพึมพำกับตนเองว่า

 

“พี่ชาย ท่านจะไม่ตำหนิข้าใช่หรือไม่?”

 

...

 

เช้าวันรุ่งขึ้น

 

สิ่งแรกที่หูเจียวเจียวทำเมื่อเธอตื่นขึ้นก็คือไปหาหลงหลิงเอ๋อ

 

แม่จิ้งจอกเดินเข้าไปในห้องของลูกสาวตามปกติและเตรียมจะเติมถ่านในเตา แต่ทันทีที่เธอก้มลงมองคนที่หลับใหลอยู่บนเตียง เธอก็ต้องตกตะลึง

 

มีบางอย่างผิดปกติ!

 

หญิงสาวขมวดคิ้วไล่สายตามองคนตัวเล็ก เมื่อดวงตาคู่สวยสบเข้ากับใบหน้าที่มีเลือดฝาดของอีกคนก็มีเสียงหึ่ง ๆ ดังอยู่ในหัวของเธอ

 

ต่อมา จิ้งจอกสาวรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อสัมผัสแก้มของหลงหลิงเอ๋อ

 

อุ่น!!

 

จากนั้นเธอก็ลองสัมผัสมือและเท้าของลูกสาวอีกครั้ง ซึ่งตรงนั้นก็อุ่นเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าตอนนี้อุณหภูมิร่างกายของนางกลับมาเป็นปกติ!

 

“หลิงเอ๋อ?”

 

ใบหน้าของผู้เป็นแม่พลันสดใสขึ้นทันใด เธอคิดว่าหลงหลิงเอ๋อฟื้นแล้ว แต่หลังจากตะโกนเรียกอยู่ 2-3 ครั้ง เธอก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ตอบสนองเหมือนเช่นเคย เธอจึงกลับมามีสติดังเดิม

 

หลงโม่ยังไม่กลับมาเลย หลิงเอ๋อจะตื่นได้อย่างไร?

 

แต่เกิดอะไรขึ้นถึงทำให้อุณหภูมิร่างกายของเด็กหญิงเปลี่ยนไป?

 

“ช่างเถอะ ๆ เป็นเรื่องดีที่ตัวนางกลับมาอุ่นเป็นปกติ” ถัดมา หูเจียวเจียวช่วยเด็กน้อยจัดทรงผมให้เรียบร้อยด้วยรอยยิ้ม

 

ปัจจุบันอุณหภูมิร่างกายของหลงหลิงเอ๋อกลับมาเป็นปกติแล้ว เธอจึงไม่จำเป็นต้องเผาถ่านอีกและนำเตาออกจากห้องไป

 

ระหว่างรับประทานอาหารเช้า แม่จิ้งจอกก็บอกข่าวดีแก่ลูกทั้ง 5 ที่โต๊ะอาหาร

 

แล้วในที่สุดบรรยากาศภายในห้องก็ผ่อนคลายลง

 

ทางด้านหยินชาง เขาก้มหน้ากินข้าวเงียบ ๆ พลางแอบมองรอยยิ้มของหูเจียวเจียวและเด็กคนอื่น ก่อนที่เขาจะลดเปลือกตาลงอีกครั้งพร้อมถอนหายใจเบา ๆ

 

ทุกคนมีความสุขกันนั่นแหละดีแล้ว

 

อย่างน้อยเขาก็ทำประโยชน์ให้พวกเขาได้

 

หลังทานอาหารเช้ากันเสร็จเรียบร้อย หูเจียวเจียวก็ออกจากบ้านไปดูความคืบหน้าของการสร้างโรงเรียน

 

ส่วนลูก ๆ ก็ไปร่ำเรียนวิชาล่าสัตว์จากเซี่ยหมานเหมือนเคย

 

ในเวลาเดียวกันนั้น

 

ตอนนี้กลุ่มภูตหมาป่าได้มาถึงนอกเผ่าแล้ว

 

ปัจจุบันภูตหมาป่าหลายคนมีสภาพรุงรัง มอมแมมคล้ายพวกขอทานเร่ร่อนที่อยู่ในสภาพน่าอายที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้

 

ในขณะนี้พวกเขากำลังนอนหมอบอยู่หลังพุ่มไม้

 

“การเดินทางครั้งนี้เหนื่อยมาก เราเกือบจะตายระหว่างทางแล้ว”

 

“ใช่ ก่อนออกเดินทางข้าไม่รู้ว่าเผ่านี้อยู่ไกลแค่ไหน แถมยังมีพายุหิมะถล่มกลางคันอีก เราก็เลยต้องหาถ้ำหลบภัยเป็นเวลา 3 เดือน”

 

“โชคดีที่เราพบมันก่อนพายุจะมา รอก่อนเถอะ ถ้าเราจับเด็กมาได้ เหล่าอูจะตบรางวัลให้เราอย่างงามแน่นอน”

 

เมื่อสมาชิกในกลุ่มพูดคุยกันถึงเรื่องข้างต้น ความขมขื่นและอารมณ์แปรปรวนของพวกเขาก็บรรเทาลงเล็กน้อย

 

หากสังเกตดูให้ดี ๆ ก็จะเห็นว่าภูตหมาป่าเหล่านี้ล้วนอดอยากจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก

 

ช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่านมานั้น ภูเขาถูกปกคลุมด้วยหิมะตกหนัก ดังนั้นพวกเขาจึงซ่อนตัวอยู่ในถ้ำไม่สามารถออกไปไหนได้ตามใจ ขณะที่ทุกคนต้องการหนังสัตว์เพื่อความอบอุ่น แต่พวกเขาไม่มีหนังสัตว์และไม่มีอาหารกักตุนไว้อีก

 

ส่งผลให้ตลอดระยะเวลากลุ่มภูตที่มาทำภารกิจทั้งหนาวเหน็บและหิวโหย แล้วในที่สุดพวกเขาก็หิวโซจนต้องขุดเข้าไปในโพรงเพื่อกินหนู งู รวมถึงมดทุกชนิด หรือแม้กระทั่งดินก็ไม่เว้น

 

ในเดือนต่อมา เนื่องจากการกินของสกปรกปนเปื้อน ลำไส้ของพวกเขาจึงมีปัญหาจนขับถ่ายอะไรออกมาไม่ได้ ส่งผลให้ท้องของพวกเขาบวมป่องเหมือนเด็ก

 

ขณะที่พวกภูตหมาป่ามาถึงขีดจำกัดของร่างกาย ในที่สุดฤดูใบไม้ผลิก็มาถึง

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้ออกมาจากถ้ำเพื่อหาอาหารและล่าสัตว์

 

เนื่องจากอาการป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร พวกเขาต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 10 วันเต็มก่อนที่จะกลับมาเป็นปกติ 

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ภารกิจล่าช้าจนถึงตอนนี้ 

 

พวกเขาต้องยอมรับเลยว่าภารกิจดังกล่าวช่างยากลำบากยิ่งนัก

 

มันทำให้เหล่าภูตหมาป่าอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาอันขมขื่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา

 

จากนั้นทุกคนก็พยายามดึงตัวเองออกจากความทรงจำอันเจ็บปวด แล้วมองไปรอบ ๆ ป่าหญ้า ไม่นานภูตหมาป่าคนหนึ่งที่ใบหน้ามีรอยแผลเป็นก็ถามขึ้นมาว่า 

 

“เราซ่อนตัวอยู่ที่นี่แล้วจะจับเด็กได้หรือเปล่า พวกเด็ก ๆ น่าจะอยู่แต่ในเผ่าไม่ใช่หรือ?”

 

ส่วนภูตหมาป่าฟันเหยินอีกคนที่รับผิดชอบเรื่องการสำรวจพื้นที่ตอบทันทีว่า

 

“ข้าซุ่มรออยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว เด็กของเผ่านี้จะมาที่นี่ทุกวัน อีกไม่นานเจ้าจะรู้เอง!”

 

เมื่อสมาชิกในกลุ่มเห็นว่าเขามีความมั่นใจ ภูตหมาป่าที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าและคนอื่น ๆ ก็เชื่อเขา

 

แล้วเหตุผลอีกอย่างคือพวกเขาเหนื่อยมาก

 

ดังนั้นถึงไม่เชื่อเขาก็ไม่มีใครอยากขยับตัวไปไหนอยู่ดี

 

ไม่ต้องพูดถึงการเข้าไปในเผ่าเพื่อจับเด็ก ถ้าพวกเขาบังเอิญเจอผู้หญิงที่ชื่อหูเจียวเจียวล่ะก็ พวกเขาต้องดับอนาถแน่!

 

แต่สิ่งที่คนในกลุ่มไม่รู้ก็คือ ห่างออกไปไม่ไกลนัก มีดวงตาสีเขียวคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาที่พวกเขาแบบดูถูกเหยียดหยาม

 

ซึ่งเขาก็คือหลางเมี่ยนั่นเอง

 

ยามนี้หมาป่าหนุ่มจ้องตรงไปยังกลุ่มภูตหมาป่าที่แอบซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ข้างหน้า และคำพูดของพวกมันก็ลอยเข้าหูเขาทุกคำ

 

เมื่อเปรียบเทียบกับสภาพที่ดูบอบช้ำของภูตพวกนั้น หลางเมี่ยดูดีกว่าอีกฝ่ายมาก

 

ก่อนที่พายุหิมะจะมาเขาได้เตรียมเสบียงไว้แล้ว ถึงแม้ว่าจะมีไม่มาก แต่เขาก็ไม่ต้องมานั่งกินดินอย่างน่าสังเวชเหมือนภูตหมาป่าอีกกลุ่ม

 

หลังจากฤดูใบไม้ผลิมาถึง ชายหนุ่มก็จับเหยื่อได้มากมายในป่าเพื่อเติมพลัง แม้นเขาจะผอมกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย แต่เขาก็ยังมีกำลังวังชาดังเดิม

 

ระหว่างการเดินทาง หลางเมี่ยยังฟอกหนังสัตว์ใหม่และทำถุงเก็บน้ำไว้ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกิน ทำให้สีหน้าของเขาสดใสไร้ความมัวหมอง

 

ในขณะที่คนของอูหลิวต้องหลบหนีพายุกันอย่างยากลำบาก แต่หลางเมี่ยสามารถผ่านพ้นมันมาได้แบบสบาย ๆ

 

“พวกเจ้าอยากจะจับเด็กงั้นหรือ?”

 

หมาป่าหนุ่มหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ฉายแววในดวงตาสีเขียว

 

ในที่สุดงานของเขาก็มาถึง

 

ขณะนั้นหลางเมี่ยพูดกับตัวเองว่า

 

“ถ้ากลุ่มหมาป่าพิฆาตของข้าอยู่ที่นี่ด้วย พวกเจ้าไม่ได้จับเด็กแม้แต่คนเดียวหรอก”

 

“ฮัดชิ่ว! ฮัดชิ่ว!”

 

ทันใดนั้นภูตหมาป่าคนหนึ่งก็จามติดกันหลายครั้งโดยที่พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าหมายของหลางเมี่ย

 

ไม่นานภูตหมาป่าที่จามก็ถูกสหายกระโดดทับไว้

 

“เงียบ! ลดเสียงของเจ้าเดี๋ยวนี้!”

 

“ดูนั่นสิ เด็กออกมาแล้ว เงียบซะ อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไปได้”

 

จากนั้นคนที่โดนเอ็ดก็มองตามสายตาของสหายไป

 

ขณะนี้เขาเห็นเด็กกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นบนสะพานแต่ไกล โดยที่พวกเขาเดินไปทางด้านข้างของพวกภูตหมาป่า

 

เพียงแต่ว่าที่ที่กลุ่มภูตหมาป่าซ่อนตัวอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ซึ่งตรงนั้นเป็นพื้นที่เปิดโล่ง และส่วนใหญ่ถูกล้อมรอบด้วยรั้วสูง

 

ในชั่วพริบตา กลุ่มเด็กน้อยก็หายเข้าไปในคอกแห่งหนึ่ง

 

“เข้าไปแล้ว พวกมันอยู่ในรั้วนั่น เราจะทำยังไงกันดี?”

 

ภูตหมาป่าที่มีรอยแผลเป็นถามพร้อมกับทำหน้าตื่นเต้น

 

“พวกมันจัดการไม่ยาก เพราะข้างในเต็มไปด้วยวัชพืชทำให้ซ่อนตัวได้ง่าย อีกสักประเดี๋ยวเราจะย่องข้ามรั้วไป แล้วคว้าตัวใครสักคนมาแล้วรีบวิ่งหนีให้เร็วที่สุด” หมาป่าฟันเหยินพูดแผนการที่ตนคิดไว้อย่างภาคภูมิใจ

 

“ข้ารู้ว่าตรงไหนของรั้วปีนง่ายที่สุด พวกเจ้าตามข้ามา”

 

เขาโบกมือแล้วนำทางไป ก่อนที่ภูตหมาป่าที่อยู่ข้างหลังจะรีบลุกขึ้นตามไป

 

เมื่อหลางเมี่ยเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหว เขาก็แอบย่องตามพวกเขาไปเงียบ ๆ

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.