ตอนที่ 360 การทดสอบของสามจอมพล
ตอนที่ 360 การทดสอบของสามจอมพล
“พวกเซิร์กงั้นเหรอครับ? ผมพอจะรู้จักพวกเขาอยู่เล็กน้อยว่าพวกเขาเป็นเผ่าพันธ์ุที่มีความห่างชั้นของสติปัญญาในประชากรสูงมาก ต่างจากมนุษย์ที่โดยเฉลี่ยมีไอคิวอยู่ที่ประมาณ 120 แต่พวกเซิร์กมากกว่า 90% กลับมีระดับไอคิวที่ต่ำมาก”
“ด้วยการที่เซิร์กส่วนใหญ่ยังไม่ได้พัฒนาสติปัญญาของตัวเองแบบนี้ มันจึงทำให้พวกเขาภักดีต่อผู้นำของตัวเองอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าราชาของพวกเขาจะออกคำสั่งมายังไงแต่พวกเขาก็จะพยายามทำตามคำสั่งแม้ว่าพวกเขาจะตายก็ตาม แตกต่างจากการปกครองในพันธมิตรที่ยังมีระบบสั่งการที่ซับซ้อน นอกจากนี้พวกเรายังมีทั้งในเรื่องของกฎหมายและศีลธรรม มันจึงทำให้มนุษย์ไม่สามารถที่จะทำงานเหมือนเซิร์กได้”
“นอกจากนี้เซิร์กยังมีความแตกต่างทางด้านสรีระห่างชั้นกับมนุษย์ไปไกล ซึ่งสรีระของพวกเขาก็มีความได้เปรียบในการต่อสู้กับมนุษย์มากพอสมควร ความได้เปรียบเพียงอย่างเดียวสำหรับพวกเราคือสติปัญญาที่เหนือกว่าพวกเขา ดังนั้นระหว่างการสู้กับพวกเซิร์กมนุษย์ก็จำเป็นจะต้องใช้สมองมากกว่ากำลัง”
“ส่วนเรื่องการพยายามค้าขายกับพวกเซิร์กก็แทบที่จะตัดออกไปได้เลย เพราะท้ายที่สุดเซิร์กส่วนใหญ่รู้จักอยู่เพียงแค่ 2 สิ่งคือการกินและการฆ่าฟัน พวกมันจึงไม่ได้พัฒนาอารยธรรมมาทางด้านการค้าขายมากนัก”
เซี่ยเฟยพยายามเล่าเรื่องของเซิร์กเท่าที่เขารู้อย่างสับสน และเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ วิลเลียมถึงได้ถามเรื่องของพวกเซิร์กขึ้นมา
“แล้วถ้าสมมุติว่าพันธมิตรในปัจจุบันจะต้องสู้กับพวกเซิร์กล่ะ นายคิดว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นยังไง?” วิลเลียมถามอย่างติดตลก
คำถามนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย และเขาก็เริ่มรู้สึกทะแม่ง ๆ กับคำถามของชายชราคนนี้
“พันธมิตรกำลังจะทำสงครามกับพวกเซิร์กอีกครั้งหนึ่งเหรอครับ?” เซี่ยเฟยถามขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก พวกเราเป็นทหารพวกเราจึงจำเป็นจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงครามตลอดเวลา ซึ่งคำถามแบบนี้ก็ถือได้ว่าเป็นบทสนทนาที่พวกเรามักจะพูดคุยกันอยู่เป็นประจำ” ไทสันกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ถ้าเป็นไปได้เราก็ควรพยายามหลีกเลี่ยงการทำสงครามกับเซิร์ก เนื่องมาจากการค้าระหว่างสองเผ่าพันธุ์ถูกปิดกั้นไปตั้งนานแล้ว พวกเราจึงไม่มีข้อมูลเลยว่าพวกเซิร์กพัฒนาไปได้ไกลแค่ไหน แล้วมันก็เป็นข้อห้ามของการวางกลยุทธ์ในทุกสมัยว่าห้ามทำสงครามกับศัตรูที่เราไม่รู้จักโดยเด็ดขาด”
“ขณะเดียวกันพวกเซิร์กก็ถือว่าเป็นนักรบตามธรรมชาติ ต่างจากมนุษย์ที่จำเป็นจะต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนานถึงจะสามารถแสดงศักยภาพในการรบออกมาได้”
“หากมันได้เกิดสงครามระหว่างพันธมิตรกับเซิร์กขึ้นจริง ๆ ในช่วงแรกพวกเราก็อาจจะได้เปรียบเนื่องจากทหารและเทคโนโลยีของพวกเรามีความล้ำหน้ามากยิ่งกว่า แต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไปสถานการณ์ของพันธมิตรก็จะยิ่งย่ำแย่ลงไปเรื่อย ๆ”
“ธรรมชาติของมนุษย์มักที่จะต่อต้านสงคราม ดังนั้นยิ่งสงครามได้ผ่านไปอย่างยาวนานมันก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจของมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในขณะเดียวกันนักสู้ของพวกเซิร์กทำงานเหมือนเครื่องจักร และพวกเขาก็มีความกระหายเลือดในสัญชาตญาณของเผ่าพันธุ์อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้องทำสงครามตลอดเวลาแต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของพวกเขาเลย”
“ในความคิดของผมพวกเราควรพยายามหลีกเลี่ยงปะทะกับศัตรูอย่างเต็มรูปแบบ และพยายามส่งนักสู้ชั้นนำเข้าไปลอบสังหารกลุ่มผู้นำของเซิร์กโดยตรง ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยความสูญเสียมากแค่ไหนก็ตาม เพราะพวกเซิร์กทำการเคลื่อนไหวตามคำสั่งของผู้นำเท่านั้น และการที่พวกเราจัดการกลุ่มผู้นำได้มันก็เท่ากับพวกเราได้รับชัยชนะในสงคราม” เซี่ยเฟยกล่าวความคิดของเขาออกไป
“น่าสนใจดีนี่ แอบลอบโจมตีโดยไม่สนว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรงั้นเหรอ? ไหนลองอธิบายมากกว่านี้สิ” ไทสันกล่าวด้วยดวงตาอันเป็นประกาย
วิลเลียมกับเลย์ตันที่อยู่ข้าง ๆ ก็กำลังตั้งใจฟังด้วยความสนใจเช่นเดียวกัน
“ผมไม่ใช่ทหารและผมก็ไม่เข้าใจเรื่องสงคราม แต่คนบนดาวบ้านเกิดของผมเคยกล่าวเอาไว้ว่าถ้าอยากทำลายกองโจรให้ฆ่าหัวหน้า สมมุตินะครับว่าถ้าหากพันธมิตรได้สูญเสียประธานาธิบดี, คณะรัฐมนตรีรวมถึงสมาชิกสภาทั้งหมดไปในชั่วข้ามคืน พวกคุณคิดว่าพันธมิตรจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการชดเชยความสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้?” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าหากมันเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงแบบนั้นขึ้นจริง ๆ พวกเราก็คงจะต้องหาเจ้าหน้าที่เข้าไปประจำตำแหน่งที่ว่างไว้โดยเร็วที่สุด ฉันคิดว่าภายใน 2 วันน่าจะจัดการเรื่องตำแหน่งจนเสร็จ และการพยายามสานต่องานทั้งหมดน่าจะเริ่มกลับมาในช่วงเวลาประมาณ 1 สัปดาห์” วิลเลียมกล่าวหลังจากพยายามคิดวิเคราะห์ภายในใจ
“แล้วถ้าหากว่ามันเกิดสถานการณ์แบบเดียวกันกับพวกเซิร์กล่ะครับ?” เซี่ยเฟยถามอีกครั้ง
“เกิดเรื่องแบบนี้กับพวกเซิร์กงั้นเหรอ? ถ้ากลุ่มผู้นำของพวกเขาหายไปในชั่วข้ามคืนมันก็จำเป็นจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือนเพื่อกลับเข้าสู่สภาวะปกติ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่ได้มีระบบการปกครองเหมือนกับมนุษย์ ซึ่งท้ายที่สุดพวกเขาก็จะต้องคัดเลือกผู้นำจากความรู้ความสามารถของนักสู้ภายในเผ่า”
“นั่นแหละครับคือสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ ในกรณีของมนุษย์พวกเราสามารถหาคนมาทดแทนผู้นำได้ในเวลาเพียงแค่ไม่นาน แต่ในกรณีของพวกเซิร์กพวกเขาจะต้องตกอยู่ในข้อพิพาทเป็นเวลานานกว่าจะสามารถหาผู้นำคนใหม่ขึ้นมาได้อีกครั้ง” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ
“ฉันว่าคุณควรจะเข้ามาในกรมทหารมากกว่าจะไปอยู่ในสมาพันธ์จัสทิสนะ” เลย์ตันกล่าวขึ้นมาอย่างจริงจัง
“องค์กรนักสู้อิสระก็มีความสำคัญเป็นของตัวเองนะครับ ยกตัวอย่างเช่น แผนการที่ผมได้เสนอไปในก่อนหน้านี้ก็เหมาะสมที่จะให้องค์กรนักสู้อิสระลงมือมากกว่าคนของทางกองทัพ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“ถึงแม้ว่าแผนการของคุณจะค่อนข้างบ้าบิ่น แต่ถ้าหากว่ามันประสบความสำเร็จมันก็จะสามารถสร้างความเสียหายต่อเซิร์กได้อย่างรุนแรง แต่การพยายามสังหารกลุ่มผู้นำของพวกเซิร์กไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย และความสูญเสียที่เกิดขึ้นในระหว่างแผนการนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะยอมรับได้ง่าย ๆ” วิลเลียมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ผมเชื่อว่าทุกสิ่งในจักรวาลมีราคาที่ต้องจ่ายอยู่เสมอ ซึ่งถ้าหากว่าเราไม่ใช้แผนการนี้มันก็คงจะมีทหารบาดเจ็บล้มตายในสนามรบเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ในความเป็นจริงถึงแม้ว่าพวกเราจะต้องทำสงครามไปอีกพันปี แต่มันก็อาจจะยังไม่สามารถจบสงครามกับพวกเซิร์กได้ด้วยซ้ำ” เซี่ยเฟยกล่าว
“แต่การพยายามลักลอบเข้าไปสังหารกลุ่มผู้นำในดินแดนของศัตรูก็ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยเหมือนกัน ยิ่งการที่มนุษย์ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเซิร์กแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้การแทรกซึมเป็นเรื่องยากเข้าไปใหญ่” ไทสันกล่าวอย่างครุ่นคิด
“เรื่องการแทรกซึมมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ สำหรับพวกเราอยู่แล้ว แต่เท่าที่ผมรู้พวกเซิร์กก็ไม่ใช่พวกที่ปิดกั้นมนุษย์ไปซะทีเดียวเช่นเดียวกัน เพราะผมเคยไปเห็นพวกเซิร์กในเขตดาววิลเดอร์เนสมาแล้วครั้งหนึ่ง ที่นั่นเซิร์กกับมนุษย์อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและมันก็มีเซิร์กบางตัวยินดีที่จะสละชีวิตเพื่อมนุษย์ได้เลยด้วยซ้ำ”
“การเดินทางครั้งนั้นได้สอนให้ผมได้รู้ว่ายิ่งเซิร์กมีสติปัญญาน้อยเท่าไหร่ พวกมันยิ่งมีความภักดีมากขึ้นเท่านั้น แต่สำหรับเซิร์กที่พัฒนาสติปัญญาขึ้นมาจนถึงระดับหนึ่งแล้วพวกเขาจะมีความคิดไม่แตกต่างไปจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความโลภ, ความหลงหรือความหยิ่งทะนง ทำให้พวกเขามีการแบ่งลำดับชั้นกันอย่างเข้มงวด”
“สมมุติว่าพันธมิตรต้องการที่จะแทรกซึมเข้าไปในดินแดนของพวกเซิร์กจริง ๆ พวกเราก็ควรจะตั้งเป้าหมายไปที่อดีตขุนนางเซิร์กที่ถูกทรยศและกำลังใช้ชีวิตอย่างตกต่ำ” เซี่ยเฟยกล่าว
เมื่อได้ฟังมาจนถึงตรงนี้ไทสันก็พยักหน้าส่งสัญญาณให้วิลเลียมอีกครั้ง ก่อนที่พวกเขาจะเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาไปยังเรื่องยานรบในพันธมิตร
เซี่ยเฟยรู้สึกว่าทั้งสามจอมพลกำลังพยายามทดสอบอะไรบางอย่างจากเขา เพียงแต่ว่าตัวเขายังไม่รู้ว่าจอมพลทั้งสามกำลังพยายามทดสอบอะไรในตัวของเขากันแน่
ชายหนุ่มมีประสบการณ์เกี่ยวกับยานรบอย่างมากมาย และจากคำพูดของลุงพอตเตอร์มันก็ดูเหมือนกับว่ามุมมองของเขาจะเป็นมุมมองที่แตกต่างจากคนโดยทั่วไป เพราะเขามักที่จะใช้เส้นทางสุดโต่งเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
บทสนทนาดำเนินไปเป็นเวลาหลายชั่วโมงซึ่งทั้งสี่คนก็ได้พูดคุยกันทุกเรื่อง ตั้งแต่รายละเอียดของยานรบไปจนถึงยุทธวิธีการสู้รบในสงคราม ซึ่งบทสนทนาในครั้งนี้ก็ทำให้จอมพลทั้งสามรู้จักตัวตนของเซี่ยเฟยอย่างลึกซึ้งมากขึ้นกว่าเดิม
—
หลังจากรับประทานอาหารด้วยกันเสร็จแล้ว เซี่ยเฟยก็ลุกขึ้นบอกลาโดยอ้างว่าเขาต้องการไปดูสินค้าที่จัดแสดง
“เจ้าเด็กนั่นมีความรู้อยู่ในระดับที่สูงมาก ฉันแทบที่จะไม่สามารถหาข้อโต้แย้งในคำพูดของเขาได้เลย” เลย์ตันกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เซี่ยเฟยเป็นเด็กฉลาดและเหตุผลที่เขายอมพูดคุยกับพวกเรานานมากขนาดนี้ นั่นก็เพราะตำแหน่งซัพพลายเออร์ระดับ A ที่เขาได้แบกรับเอาไว้ ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขามีโอกาสพวกเขาก็จะพยายามแสดงให้พวกเราได้เห็นว่า พวกเขาคือซัพพลายเออร์ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมและต้องการที่จะได้รับความไว้วางใจจากพวกเรา”
“แต่ทุกสิ่งที่เขาพูดออกมาก็ยังคงเก็บซ่อนความลับบางส่วนเอาไว้ มันช่างน่าเสียดายที่เรายังไม่ได้รับความไว้วางใจจากเขามากพอสมควร” วิลเลียมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมฉันรู้สึกว่าเจ้าเด็กนั่นคล้ายกับพวกจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ในสภาเลย ฉันล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าใครเป็นคนสอนเรื่องพวกนั้นกับเขามา” เลย์ตันกล่าว
“อย่าไปว่าเขาเลย ถ้าฉันเป็นเขาฉันก็จะทำแบบเดียวกัน อย่าลืมนะว่าเขาเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่เดินทางออกมาจากดาวโลก และต้องมาเผชิญกับสังคมคนแปลกหน้าที่ไม่รู้ว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรูของเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นจะต้องระวังตัวเอาไว้ตลอดเวลา เพราะเขาไม่รู้ว่าใครกำลังคิดร้ายกับเขาอยู่กันแน่”
“วิลเลียมพูดถูกแล้ว เซี่ยเฟยมีภูมิหลังที่แตกต่างไปจากพวกเรา และคนแบบเขาก็ยากที่จะอยู่รอดในสังคมจักรวาลถ้าหากพวกเขาไม่คอยระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา” ไทสันกล่าว
“ไทสันนายคิดว่ายังไงบ้าง?” วิลเลียมกล่าวพร้อมกับหยิบกล่องของหวานออกมาจากกระเป๋า
“เซี่ยเฟยเป็นคนฉลาด, มีไหวพริบและมีความระมัดระวังเป็นอย่างดี ซึ่งมันก็ไม่มีใครในที่นี้สามารถปฏิเสธเรื่องพวกนั้นได้” ไทสันกล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นมานวดขมับ
“ที่สำคัญคือเขาคนนี้สามารถพูดแผนการทุกอย่างได้อย่างฉะฉาน ความสามารถของเขาก็ไม่มีข้อกังขาสำหรับพวกเราเลย และสถานะของเขาก็เหมาะสมกับสถานการณ์ในครั้งนี้มากเลยด้วย” วิลเลียมกล่าวเสริม
“ใช่ ซัพพลายเออร์ระดับ A รายใหม่ของกรมทหารเหมาะสมสำหรับแผนการในครั้งนี้มากที่สุด” ไทสันกล่าว
“แล้วนายจะยังลังเลอะไรอีก?” เลย์ตันถาม
“เขายังขาดประสบการณ์, ความอาวุโสและความภักดี” ไทสันกล่าวอย่างใจเย็น
“มันไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่างหรอก ซึ่งในบางครั้งนายก็รู้ว่านายจำเป็นจะต้องเสี่ยง” วิลเลียมกล่าว
“ดูเหมือนว่าพวกนายทั้งคู่จะเห็นด้วยกับการเลือกเซี่ยเฟยสินะ?” ไทสันถาม
“อือ”
“ฉันก็คิดแบบนั้น”
“โอเค บันทึกชื่อเซี่ยเฟยเอาไว้ในตัวเลือกลำดับที่ 2 ได้เลย ส่วนใครจะเป็นคนรับผิดชอบฉันขอดูสถานการณ์ไปก่อน”
“เอาล่ะพวกเราจะตรวจสอบใครเป็นรายต่อไปดี?” ไทสันกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“นิโคล ซอว์เยอร์” วิลเลียมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
***************
จบแล้วสำหรับกลุ่ม VIP4 [271-360] สำหรับใครที่สนใจเข้ากลุ่มสามารถติดต่อได้ที่ เพจสนพ.เซียนอ่าน ได้เลยนะคะ โดยทางกลุ่ม VIP จะค่าปลดตอนถูกกว่าทางหน้าเว็บแต่อัปตอนพร้อมกันน๊า
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 162
แสดงความคิดเห็น