ตอนที่ 212 ทางเลือกของเซี่ยเฟย 2
ตอนที่ 212 ทางเลือกของเซี่ยเฟย 2
“ตอนนี้นายจะต้องเลือกเส้นทางเดินของตัวเองแล้ว สักวันหนึ่งเมื่อนายเติบโตขึ้นนายก็จะต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกแบบนี้อยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่นายจะเจอกับทางเลือกง่าย ๆ ตลอดเวลา” ฉินหมางกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
“การที่นายไม่เลือกเซ็นสัญญากับสมาพันธ์ในค่ายฝึก มันก็แสดงให้เห็นว่านายไม่ชอบถูกควบคุม แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่นายต้องการจะก้าวเท้าขึ้นไปในชนชั้นสูงของพันธมิตรจริง ๆ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่นายจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเหมือนเดิม”
“เมื่อไหร่ก็ตามที่นายออกจากค่าย มันก็หมายความว่าทุกคนสามารถกลายเป็นศัตรูของนายได้ในทันที และฉันก็คิดว่าสถานการณ์แบบนั้นคงจะไม่ใช่สถานการณ์ที่นายอยากเจอ” ฉินหมางกล่าวอย่างจริงจัง
สิ่งที่ชายชรากล่าวไม่ใช่เรื่องที่ไร้เหตุผล เพราะท้ายที่สุดมนุษย์ก็ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่มีความสามัคคี มันจึงมีกลุ่มเล็ก ๆ แยกย่อยออกไปอย่างมากมายและถ้าหากว่าเซี่ยเฟยไม่ได้อยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มันก็หมายความว่าเขาจะถูกมองว่าเป็นศัตรูกับทุกคน
ยิ่งใครต้องการจะปีนขึ้นไปบนที่สูงมากขึ้นเท่าไหร่ พวกเขาก็จำเป็นจะต้องมีกลุ่มก้อนของตัวเองเพื่อคอยสนับสนุนกันและกันมากเท่านั้น
“ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณตาต้องการจะสื่อครับ แต่ผมเป็นพวกรักอิสระมากเกินไปแล้วมันก็คงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากจริง ๆ ถ้าจะมีใครสักคนมาคอยบังคับผม” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
“มันไม่ขนาดนั้นหรอก ถึงแม้ว่าภายในกลุ่มจะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการที่นายพเนจรไปทั่วทั้งจักรวาลอันกว้างใหญ่โดยลำพัง” ฉินหมางกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ขอโทษด้วยครับ แต่ผมไม่คิดที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มไหนอยู่ดี อิสระของผมมีค่ามากกว่าผลประโยชน์ใด ๆ ที่ผมจะได้รับ และผมก็ไม่อยากถูกข้อกำหนดไหนคอยบังคับผมในอนาคต” เซี่ยเฟยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
ฉินหมางมองไปยังชายหนุ่มอย่างพิจารณาเป็นเวลานาน จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ และกล่าวว่า
“นายเป็นคนดื้อรั้นอย่างที่ฉันคิดจริง ๆ นายรู้ไหมว่ามีคนฝากให้ฉันหยิบยื่นผลประโยชน์ให้นายกี่คน แต่ฉันก็รู้อยู่แล้วว่านายจะต้องปฏิเสธคนพวกนั้นทั้งหมด”
“ผมเคารพและรู้สึกขอบคุณคุณตามากครับที่คอยชี้นำเรื่องต่าง ๆ ให้กับผม แม้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้แต่ความสัมพันธ์ของพวกเราจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หากคุณตาต้องการให้ผมเข้าร่วมกับกลุ่มของคุณตา ผมตอบตามตรงว่าผมไม่สามารถเข้าร่วมได้จริง ๆ ถ้าหากว่าผมไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระมันก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมากจนเกินไป”
แม้ชายชราจะเดาคำตอบเอาไว้อยู่แล้วแต่เขาก็รู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้นกว่าเดิมเพราะเซี่ยเฟยมีความดื้อรั้นไม่ต่างไปจากตัวเขาเลย
“เซี่ยเฟยนายอยากรู้ไหมว่าของสิ่งนั้นที่ฉันพูดถึงคืออะไร?” ฉินหมางถาม
“แน่นอนว่าผมอยากรู้ครับ แต่ในเมื่อมันเป็นของสำคัญผมก็ไม่ควรที่จะคาดคั้นเอาคำตอบจากคุณตา ถ้าคุณตายินดีจะพูดผมก็ยินดีจะรับฟัง แต่ถ้าหากคุณตารู้สึกไม่สบายใจถึงผมไม่รู้มันก็ไม่เป็นไร” เซี่ยเฟยตอบโดยไม่ต้องคิด
“ไอ้เด็กเจ้าเล่ห์!” ฉินหมางสบถขึ้นมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่เขาจะส่งเสียงกระแอมในลำคอและพูดต่อไปว่า
“ในจักรวาลมีสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาอยู่หลากหลายเผ่าพันธุ์ ไม่มีใครรู้ว่ามันมีเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาอยู่กี่เผ่าพันธุ์กันแน่ แต่สิ่งหนึ่งที่เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ มีความคล้ายคลึงกันคือโครงสร้างสมองของทุกเผ่าพันธุ์ที่มีความคล้ายคลึงกันมาก”
คำอธิบายของฉินหมางทำให้เซี่ยเฟยนึกถึงบทวิจัยของแฮร์ริสและถ้าหากว่าเขาได้มองย้อนกลับไปว่านับตั้งแต่วันแรกที่เขาได้รับพลังพิเศษมา ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็มีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่สมองส่วนที่ 7 อันลึกลับ ซึ่งพื้นที่สมองส่วนที่ 7 นี้น่าจะมีความเชื่อมโยงกับสติปัญญาของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ อยู่บ้างไม่มากก็น้อย
“ในบรรดาเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาทั้งหมดที่มนุษย์รู้จักมาจนถึงตอนนี้ มีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์เผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้นที่ยังคงรักษาพื้นที่สมองส่วนที่ 7 เอาไว้ได้ ทำให้นอกเหนือจากเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้วมันก็ไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนสามารถใช้พลังพิเศษเหมือนกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เลย”
“ฉันได้ศึกษาอารยธรรมโบราณและเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาเผ่าพันธุ์อื่น ๆ มาเป็นเวลานานแล้ว และฉันก็ได้พบว่านอกจากพวกเราจะมีโครงสร้างสมองที่คล้ายกันแล้ว ระดับความสำเร็จทางเทคโนโลยีของพวกเราก็คล้ายกันมากเช่นกัน”
“ทุกเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาต่างก็ไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีให้ขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงสุดได้ ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์โบราณก็ถูกทำลายโดยพวกหุ่นยนต์ พวกเผ่าพันธุ์ชาร์ลอตต์โบราณก็ถูกทำลายโดยสงคราม แล้วมันก็มีเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ที่โดนทำลายก่อนจะพัฒนาเทคโนโลยีไปจนถึงจุดสูงสุดด้วยเหมือนกัน ทำให้ฉันรู้สึกสงสัยกับความคล้ายกันพวกนี้มาก”
“ด้วยเหตุนี้เองฉันจึงได้ทุ่มเทเวลาให้กับการสำรวจซากอารยธรรมโบราณของมนุษย์และรวมถึงซากอารยธรรมโบราณของเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ด้วย ครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นนักผจญภัยระหว่างดวงดาวเหมือนที่นายได้วาดฝันเอาไว้ และการพัฒนาเทคโนโลยีของมนุษย์ให้ขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดก็เป็นความฝันของฉันด้วยเหมือนกัน”
คำอธิบายของฉินหมางทำให้เซี่ยเฟยจมอยู่ในความคิดของตัวเอง
จักรวาลมีอยู่มานานหลายหมื่นล้านปีแล้ว มันจึงทำให้มีเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาถือกำเนิดขึ้นมาภายในจักรวาลเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน หากสิ่งที่ฉินหมางพูดมาเป็นความจริงที่อารยธรรมของเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาจะถูกทำลายทิ้งเมื่อพัฒนาเทคโนโลยีไปจนถึงระดับหนึ่ง มันก็ทำให้ความลึกลับนี้กลายเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว
เซี่ยเฟยไม่เคยเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดมาก่อนเลย แต่คำพูดของชายชราทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความไม่สมเหตุสมผลที่มีความเหมือนกันมากเกินไป โดยเฉพาะการถูกทำลายในช่วงที่อารยธรรมของเผ่าพันธุ์นั้นกำลังเจริญรุ่งเรือง
‘มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริง ๆ หรอ?’
‘ยิ่งระดับอารยธรรมเข้าใกล้จุดสูงสุดมากเท่าไหร่ มันกลับกลายเป็นพวกเขายิ่งเข้าใกล้การถูกทำลายล้างมากขึ้นเท่านั้น’
‘เรื่องนี้มันไม่สมเหตุสมผลเลย ระดับของอารยธรรมจะมีความเกี่ยวพันกับการถูกทำลายล้างได้ยังไง?’
ฉินหมางหยุดพักชั่วคราวก่อนที่เขาจะเล่าต่อว่า
“ถึงแม้ฉันจะหาคำตอบของความลับนี้ไม่ได้ แต่ครั้งหนึ่งฉันก็เคยเจอข้อความประหลาดถูกแกะสลักไว้บนป้ายหลุมศพในซากอารยธรรมโบราณ ซึ่งข้อความนั้นได้ระบุเอาไว้ว่า”
“ทุกเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาเอ๋ย มีเพียงแค่เทพเจ้าแห่งการทำลายล้างไททันเท่านั้นที่จะสามารถปกป้องพวกเจ้าจากปีศาจร้ายได้”
คำว่าเทพเจ้าแห่งการทำลายล้างไททันทำให้เซี่ยเฟยชะงักอยู่ครู่หนึ่ง เพราะชื่อของยานรบขนาดยักษ์ที่เขาได้พบในเขตแรงโน้มถ่วงสูงมันก็เป็นยานรบที่มีชื่อว่าไททันเหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้นไททันลำนี้ยังถูกทำลายโดยไททันของเผ่าพันธุ์อื่น และเผ่าพันธุ์ของไททันที่ถูกทำลายก็น่าจะถูกกวาดล้างเผ่าพันธุ์ไปด้วยเช่นเดียวกัน
‘เทพเจ้าแห่งการทำลายล้างไททันมันจะเกี่ยวข้องกับยานลำนั้นหรือเปล่า?’ เซี่ยเฟยคิดกับตัวเองภายในใจขณะที่ยังคงรับฟังเรื่องของชายชราต่อไป
ฉินหมางชำเลืองสายตามองเซี่ยเฟยเล็กน้อยและรู้สึกประหลาดใจที่ชายหนุ่มสนใจฟังเรื่องราวของเขามาก
“ฉันคาดการณ์ว่าเจ้าของสุสานที่ฉันได้ไปพบเจอน่าจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและมีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ตอนแรกฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับข้อความพวกนั้นเท่าไหร่ จนกระทั่งฉันได้ไปเจอกับซากอารยธรรมของมนุษย์โบราณแห่งหนึ่งเข้า”
“ซากอารยธรรมของมนุษย์โบราณที่ฉันได้ไปเจอเคยเป็นสถาบันวิจัยเครื่องกลของมนุษย์โบราณมาก่อน ซึ่งในเวลานั้นฉันก็ได้เห็นชื่อของไททันอีกครั้ง”
“ฉันได้ทำการอ่านข้อมูลจากสถาบันวิจัยเหล่านั้นทั้งหมด และได้พบว่าพวกเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณกำลังตกอยู่ในความสิ้นหวัง พวกเขาถึงพยายามศึกษาเรื่องยานรบไททันอย่างบ้าคลั่งและพยายามส่งคนเป็นจำนวนมากออกไปหาข้อมูลยานไททันทั่วทั้งจักรวาล”
“ดูเหมือนว่าพวกมนุษย์โบราณจะเชื่อว่าอีกไม่นานพวกเขาจะถูกทำลาย แล้วเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์ของตัวเองพวกเขาก็จำเป็นจะต้องหาพิมพ์เขียวของยานรบไททันในตำนาน และผลิตยานรบชนิดนี้ขึ้นมาเป็นจำนวนมากเพื่อต่อสู้กับศัตรูที่พวกเขาไม่รู้จัก” ฉินหมางกล่าวอย่างใจเย็น
ข้อความนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกใจขึ้นมาอีกครั้ง!
พอตเตอร์เคยเล่าว่าเขาได้พบกับฐานทัพมนุษย์โบราณในทุ่งดาวแห่งความตาย และจุดประสงค์ของฐานทัพนั้นก็คือการพยายามค้นหาพิมพ์เขียวของยานไททัน!
สิ่งที่พอตเตอร์ค้นพบสอดคล้องกับสิ่งที่ฉินหมางกำลังเล่าอยู่ เพียงแต่ในตอนแรกพอตเตอร์เชื่อว่าพวกมนุษย์โบราณกำลังพยายามค้นหาข้อมูลของไททันด้วยความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น
หากนำเรื่องของชายชราทั้งสองมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน มันก็ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตจริง ๆ
ความจริงกลับกลายเป็นว่าสาเหตุที่มนุษย์โบราณพยายามออกค้นหาแม่พิมพ์ของยานรบไททัน นั่นก็เพราะพวกเขากำลังจะต้องเผชิญหน้ากับหายนะและพวกเขาก็ต้องการที่จะรักษาเผ่าพันธุ์ของตัวเองเอาไว้!
ความจริงในเรื่องนี้ทำให้เซี่ยเฟยไม่สามารถระงับความตื่นเต้นภายในใจของตัวเองได้ และมันก็ทำให้เนื้อตัวของเขากำลังสั่นขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย
“หลังจากที่ฉันได้อ่านเอกสารจากซากอารยธรรมโบราณแห่งนั้น ฉันก็ตระหนักได้ในทันทีว่าเทพเจ้าไททันที่ฉันเคยอ่านบนป้ายหลุมศพไม่ใช่เทพเจ้าจริง ๆ แต่มันคือยานรบขั้นสุดยอดที่สามารถทำลายล้างทุกสิ่งในจักรวาลได้!”
“คุณตาพอจะมีข้อมูลเชื่อมโยงระหว่างไททันกับการที่อารยธรรมถูกทำลายหรือเปล่าครับ?” เซี่ยเฟยถามขัดจังหวะขึ้นมา
“น่าเสียดายที่ฉันยังไม่สามารถรวบรวมข้อมูลได้อย่างสมบูรณ์และแม้แต่พวกมนุษย์โบราณก็ยังไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงต้องสร้างไททันขึ้นมา สิ่งเดียวที่พวกเขารู้คือการสร้างไททันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงจากหายนะได้” ฉินหมางกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“น่าเสียดายจริง ๆ!” เซี่ยเฟยตบต้นขาของตัวเองอย่างแรง เพราะท้ายที่สุดการที่เขาไม่สามารถค้นหาคำตอบของคำถามที่น่าสนใจแบบนี้ได้ก็เป็นเรื่องที่คาใจมากจนเกินไป
“ฉันก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน ดังนั้นฉันจึงพยายามออกค้นหาซากอารยธรรมไปทั่วทั้งจักรวาลอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งในระหว่างนั้นฉันก็บังเอิญไปถูกพิษของเซราฟิมเข้า”
“ถึงแม้ว่าฉันจะไม่พบหลักฐานเกี่ยวกับการล่มสลายของอารยธรรมโบราณ แต่ฉันก็ได้พบกับอาจารย์ของฉันโดยบังเอิญ ตอนนั้นฉันเป็นเพียงแค่จัสทิสระดับดาวเงินที่ไม่มีอำนาจอะไรภายในสมาพันธ์เลย ในตอนนั้นเองที่อาจารย์พาฉันมาเข้าสู่เบื้องหลังของสมาพันธ์และช่วยให้ฉันได้บ่มเพาะอำนาจของตัวเองขึ้นมา”
“หลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไปไม่นานทูรามก็ถูกรับมาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ด้วย ถึงแม้ว่าไอ้นี่จะมีนิสัยหยิ่งยโสอยู่เล็กน้อยแต่โดยรวมนิสัยของมันก็ไม่ได้เลวร้าย พวกเราจึงกลายเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องที่มีอาจารย์คนเดียวกัน”
“แต่ด้วยคำสั่งที่เข้มงวดของอาจารย์ทำให้พวกเราไม่เคยบอกคนนอกว่าพวกเราเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์คนเดียวกันเลย”
“ตลอดชีวิตฉันกับทูรามรับลูกศิษย์มาเป็นจำนวนมาก และคำสอนของอาจารย์ก็ส่งผลกับวิธีการเลือกลูกศิษย์ของเรามาโดยตลอด”
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับและมันก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดว่าฉินหมางกับทูรามมีลูกศิษย์ที่อยู่ภายใต้การฝึกสอนของพวกเขามากแค่ไหน สิ่งที่แปลกคือลูกศิษย์ของฉินหมางดูจะเป็นคนที่ใช้สมอง ในขณะที่ลูกศิษย์ของทูรามมักจะเป็นคนที่ชอบใช้กำลังมากกว่า แต่สิ่งที่น่าสนใจคือลูกศิษย์ของพวกเขาต่างก็ประสบความสำเร็จกันทุกคน
“ตั้งแต่ที่ฉันเริ่มติดตามอาจารย์เขาก็ไม่ปล่อยให้ฉันออกไปรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับไททันอีกต่อไป แล้วในครั้งหนึ่งที่ฉันกำลังรู้สึกท้อแท้มากอาจารย์ก็พูดเรื่องหนึ่งขึ้นมาตอนที่เขากำลังจะตาย”
***************
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 113
แสดงความคิดเห็น