ตอนที่ 47: จักจั่นทองคำ
ตอนที่ 47: จักจั่นทองคำ
หญิงสาวผู้ใช้ความเร็วและชายครึ่งสัตว์ประหลาดต่างก็ล้วนแล้วแต่มีแหวนมิติคนละวง แน่นอนว่าคนตายย่อมไม่สามารถใช้สมบัติได้เซี่ยเฟยจึงไม่คิดที่จะปล่อยมันเอาไว้เฉย ๆ
นอกจากนี้การที่นักรบเก็บเกี่ยวสินทรัพย์หลังสงครามก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณและกฎข้อบังคับสำหรับการประเมินในครั้งนี้ก็ไม่มีกฏข้อไหนระบุว่าห้ามนำสิ่งของของผู้สมัครคนอื่นไป หรือมันอาจจะสามารถแปลอีกนัยหนึ่งได้ว่าผู้สังหารสามารถเก็บเกี่ยวสินทรัพย์จากซากศพไปได้เลย
หลังจากที่ชายหนุ่มได้รวบรวมสิ่งของจากซากศพทั้งสามแล้ว เขาก็นำเซียวรั่วหยูกลับไปซ่อนยังพุ่มไม้ตามเดิม
เซี่ยเฟยหยิบขวดน้ำออกมายื่นให้กับเซียวรั่วหยูหนึ่งขวดพร้อมกับจุดบุหรี่และสูดควันเข้าไปเป็นเวลานานกว่า 30 วินาทีก่อนที่เขาจะพ่นควันออกมา จากนั้นเขาก็เทของทุกอย่างออกมาจากแหวนมิติทั้งสองวงที่เขาเพิ่งได้รับมา จนทำให้มีสิ่งของเป็นจำนวนมากตกลงมาบนดินทราย
“หู้! พี่เฟยใช้เวทมนตร์อีกแล้วหรอ?” เซียวรั่วหยูอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“เลิกล้อเล่นได้แล้ว มาช่วยพี่หาแผ่นป้ายก่อนเร็ว ๆ เข้า” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับลูบหัวเด็กสาว
“ค่ะ!” เด็กสาวร้องอุทานออกมาด้วยความร่าเริงก่อนที่เธอจะรีบเข้ามาช่วยเซี่ยเฟยตามคำขอ
แต่ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็ค้นพบไข่ทองคำอีกฟอง มันจึงทำให้ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น เพราะไข่ทองคำชิ้นนี้ดูคล้ายกับเครื่องจักรสังหารที่หญิงสาวผู้ใช้ความเร็วเคยใช้มาก่อน เขาจึงรีบหยิบมันขึ้นมาทำการตรวจสอบอย่างรวดเร็ว
พื้นผิวภายนอกของไข่ทองคำทั้งเรียบเนียนและเปล่งประกาย แต่เมื่อมือของเซี่ยเฟยได้สัมผัสกับไข่ใบนี้แล้วมันก็ให้ความรู้สึกเย็นราวกับว่าเขากำลังจับก้อนน้ำแข็ง
ขนาดของไข่ทองคำเล็กกว่าเครื่องจักรสังหารพอสมควรแต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังประมาณการว่าไข่ฟองนี้มีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 30 กิโลกรัม
“อันธ ไข่อันนี่มันคืออะไร?” เซี่ยเฟยกล่าวถาม
“ไข่ทองคำชิ้นนี้มีชื่อว่าจักจั่นทองคำซึ่งภายในได้บรรจุหุ่นยนต์สังหารเอาไว้และระดับของมันก็สูงกว่าเครื่องจักรสังหารที่นายเคยเห็นในก่อนหน้านี้” อันธกล่าวตอบหลังจากเหลือบสายตามองไปยังไข่ทองคำอยู่ครู่หนึ่ง
เพียงแค่ประสิทธิภาพของเครื่องจักรสังหารที่เซี่ยเฟยเพิ่งเห็นก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวแล้ว โดยเฉพาะความโหดเหี้ยมในตอนที่มันลงมือทำการสังหารศัตรู แต่ถึงกระนั้นอันธก็ยังบอกว่าหุ่นยนต์สังหารที่อยู่ในไข่ใบนี้มีระดับสูงกว่าเจ้าเครื่องจักรสังหารตัวนั้น!
“หุ่นยนต์สังหารในไข่ทองคำเป็นหุ่นยนต์บินได้ที่มีลักษณะคล้ายกับจักจั่น มันจึงเป็นที่มาของชื่อหุ่นยนต์ตัวนี้ ส่วนหุ่นยนต์ที่อยู่ในไข่ก็ไม่เพียงแต่จะมีความแข็งแกร่งมากเท่านั้นแต่มันยังมีความเร็วอยู่ที่ประมาณ 1,000 เมตรต่อวินาทีอีกด้วย” อันธกล่าวอธิบายต่อ
เครื่องจักรสังหารยังมีจุดอ่อนในเรื่องของความเร็ว จากการที่เซี่ยเฟยได้ประมาณการมันสมควรที่จะมีความเร็วสูงสุดประมาณ 50 เมตรต่อวินาทีเท่านั้น หรือมันสามารถกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าผู้ที่มีความเร็วมากกว่า 50 เมตรต่อวินาทีสามารถที่จะหลบหนีเครื่องจักรสังหารได้
ขณะเดียวกันความเร็วของจักจั่นทองคำก็สูงถึง 1,000 เมตรต่อวินาทีซึ่งมันเป็นความเร็วที่สามารถไล่ตามผู้ใช้พลังพิเศษได้อย่างง่ายดายและมันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายว่าจักจั่นทองคำมีความน่ากลัวมากกว่าเครื่องจักรสังหารมากแค่ไหน
“ผึ้งจักรกลมันก็มีความเร็วสูงมากเหมือนกันไม่ใช่หรอ” เซี่ยเฟยกล่าวถาม แต่มันก็ทำให้อันธระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นก่อนที่เขาจะได้กล่าวออกไปว่า
“ผึ้งจักรกลมันเป็นเพียงแค่ของเด็กเล่นนายจะเอามันมาเทียบกับจักจั่นทองคำได้ยังไง สิ่งแรกที่นายควรจะต้องรู้คือหุ่นยนต์จะมี AI คอยควบคุมพวกมันเอาไว้จนทำให้พวกมันมีความแตกต่างจากเครื่องจักรอย่างสิ้นเชิง”
“ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งระดับของหุ่นยนต์มีระดับสูงมากเท่าไหร่ระบบ AI ภายในตัวหุ่นยนต์ก็จะยิ่งมีระดับสูงมากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ฉันเคยได้ยินมาว่า หากหุ่นยนต์มีระดับที่สูงมากพอ ระบบ AI ของพวกมันก็จะช่วยให้หุ่นยนต์พวกนี้มีความคิดเป็นเหมือนกับมนุษย์ แต่น่าเสียดายที่หุ่นยนต์ในระดับนั้นมีจำนวนอยู่น้อยมากจนเกินไป ฉันจึงเคยได้ยินแค่ข่าวลือแต่ไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อนเลย”
ในระหว่างฟังคำอธิบายเซี่ยเฟยก็นำเอาร่างของเครื่องจักรสังหารขึ้นมาทำการตรวจสอบ โดยในตอนนี้ร่างของมันอ่อนแอลงจากเดิมมากจนทำให้เขาสามารถที่จะฉีกกระชากร่างของมันออกเป็นชิ้น ๆ ได้อย่างง่ายดาย
เมื่อไม่กี่นาทีก่อนร่างของเครื่องจักรสังหารตัวนี้ยังมีความแข็งคล้ายกับเหล็กกล้าจนสามารถที่จะจู่โจมทะลุเกล็ดที่คอยป้องกันร่างของชายครึ่งสัตว์ประหลาดคนนั้นได้ แต่ในตอนนี้โลหะที่เคยแข็งมากกลับเปราะบางจนคล้ายกับมันเป็นเพียงแค่พลาสติก
“ทั้งเครื่องจักรสังหารและจักจั่นทองคำต่างก็ทำขึ้นมาจากโลหะผสมพิเศษ แต่เมื่อโลหะพวกนี้ได้สัมผัสกับอากาศประสิทธิภาพของพวกมันก็จะลดลงไปอย่างรวดเร็ว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกมันถึงถูกเก็บเอาไว้ในไข่และสามารถนำออกมาใช้งานได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
“ส่วนใหญ่แล้วหุ่นยนต์ที่หลงเหลืออยู่ในซากปรักหักพังโบราณมักที่จะถูกเก็บเอาไว้ในไข่ลักษณะนี้ มันจึงมีคนตั้งสมมุติฐานขึ้นมาว่าหุ่นยนต์ที่ก่อกบฏต่อมนุษย์น่าจะเป็นหุ่นยนต์ที่มีระบบ AI อยู่ในระดับที่สูงมากเท่านั้น เพราะพวกมันได้หายตัวไปอย่างลึกลับและหลงเหลือเอาไว้เพียงแค่หุ่นยนต์ที่มีระบบ AI ต่ำพวกนี้แทน”
อันธมีความรู้เรื่องอารยธรรมโบราณมากพอสมควรและมันก็ทำให้เซี่ยเฟยต้องการที่จะค้นหาความลับในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเขาได้นึกถึงเรื่องราวของชาวแอตแลนติส
ตามตำนานได้กล่าวเอาไว้ว่าชาวแอตแลนติสใช้ชีวิตร่วมกับหุ่นยนต์ มันจึงทำให้เขามีข้อสงสัยว่าพวกชาวแอตแลนติสจะเป็นกลุ่มของผู้ที่รอดพ้นจากการก่อกบฏของพวกหุ่นยนต์หรือเปล่า?
หลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไปไม่นาน เซี่ยเฟยก็พยายามสะบัดหัวไล่ความคิดพวกนี้ออกจากสมองของเขาไป เพราะในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการผ่านการประเมินแล้วเขาค่อยมาทำการคิดพิจารณาเรื่องพวกนี้ใหม่ในภายหลัง
“ไข่อันนี้มันใช้ยังไง?” เซี่ยเฟยถามพร้อมกับชี้ไปที่ไข่ทองคำภายในมือ
“นายลองมองดูข้างบนไข่ดี ๆ นายจะพบกับเส้นใยบาง ๆ ที่แทบจะมองไม่เห็น”
เซี่ยเฟยลองทำการตรวจสอบด้านบนของไข่ตามที่อันธได้อธิบายไว้ เขาก็พบกับเส้นใยบาง ๆ ที่ติดอยู่ด้านบนของไข่จริง ๆ ถ้าหากว่าเขาไม่ได้ใช้สมาธิในการค้นหาดี ๆ แล้วล่ะก็เขาก็คงจะไม่สามารถมองเห็นเส้นใยเส้นนี้อย่างแน่นอน
“เส้นใยนั้นเป็นระบบรักษาความปลอดภัยไม่ให้ไข่ถูกใช้งานอย่างไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นถ้าหากว่านายต้องการที่จะใช้จักจั่นทองคำ นายก็จำเป็นที่จะต้องดึงเส้นใยเส้นนั้นหมุนไปตามเข็มนาฬิกาแล้วมันก็จะเผยให้เห็นปุ่มกดสำหรับเปิดใช้งาน”
“ปุ่มกดสำหรับเปิดใช้งานเป็นระบบรักษาความปลอดภัยชั้นที่ 2 เพราะมันจำเป็นที่จะต้องใช้นิ้วกดปุ่มเพื่อเปิดใช้งานเท่านั้น ซึ่ง AI ของหุ่นจะสแกน DNA และไม่จู่โจมเข้าใส่ผู้ที่เปิดใช้งานมันขึ้นมา”
ดูเหมือนว่าพวกมนุษย์โบราณจะระวังจักจั่นทองคำมากพอสมควร พวกเขาถึงได้วางระบบรักษาความปลอดภัยเอาไว้อย่างซับซ้อนมากขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นการเปิดใช้งานมันขึ้นมาอย่างไม่ระมัดระวังก็อาจจะพลาดพลั้งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างไม่ได้ตั้งใจ
หลังจากที่เซี่ยเฟยได้เรียนรู้วิธีการเปิดใช้งานจักจั่นทองคำแล้ว เขาก็เก็บมันเอาไว้ในแหวนมิติ ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นเซียวรั่วหยูก็แบ่งหมวดหมู่ของที่เขาเทออกมาจากแหวนมิติจนเสร็จ
ตรงกลางสิ่งของทั้งหมดเป็นแผ่นโลหะวงกลมสีแดงที่มีตัวอักษรคำว่า ‘จัสทิส’ ถูกแกะสลักเอาไว้ ซึ่งมันก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแผ่นป้ายโลหะชิ้นนี้คือแผ่นป้ายสำหรับการผ่านบททดสอบ
สิ่งของที่น่าสนใจอย่างอื่นมีเพียงน้ำ, อาหารและผลเนตรนาคาเท่านั้น ส่วนของที่เหลือก็มีเพียงแค่เครื่องมือเอาตัวรอดและเสื้อผ้าซึ่งแทบจะไม่มีค่าอะไรเลย
“คนพวกนี้ยากจนจริง ๆ นอกเหนือจากจักจั่นทองคำแล้วของในแหวนก็แทบที่จะไม่มีค่าอะไรเลย” อันธกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
อย่างไรก็ตามเซี่ยเฟยก็ยังค่อนข้างพึงพอใจกับการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้พอสมควร เพราะท้ายที่สุดเขาก็ได้รับแหวนมิติที่มีความจุประมาณ 1 ลูกบาศก์เมตรมาสองวง ซึ่งถ้าหากว่าเขานำแหวนทั้งสองวงนี้ไปขายมันก็จะมีมูลค่ารวมกันอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านสตาร์คอยน์
หลังจากจัดเก็บสิ่งของที่จำเป็นเข้าไปในแหวนมิติแล้วชายหนุ่มก็แบ่งผลเนตรนาคาไปให้เซียวรั่วหยูกินพร้อมกับแบ่งส่วนหนึ่งเอาไว้กินเอง
เมื่อได้เห็นพี่ชายเอาผลไม้ลูกเล็ก ๆ เข้าไปในปาก เซียวรั่วหยูก็ลองกินผลเนตรนาคาเข้าไปบ้าง แต่มันกลับทำให้ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปอย่างเหยเก
“แหยะ! ไม่อร่อย”
เหตุการณ์นี้อดที่จะทำให้เซี่ยเฟยส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาจึงได้เอื้อมมือออกไปและบีบแก้มของสาวน้อยเบา ๆ
“ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยอร่อยแต่มันก็มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เธอควรอดทนสักหน่อย พอโตขึ้นร่างกายของเธอจะได้แข็งแรง”
เมื่อได้รับคำแนะนำเซียวรั่วหยูก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟังก่อนที่เธอจะฝืนใจกินผลเนตรนาคาส่วนที่เหลือเข้าไป จากนั้นเธอก็เอียงศีรษะและกล่าวถามออกมาว่า
“ผลไม้นี้มันมีรสช็อกโกแลตหรือเปล่า?”
—
เพื่อควบคุมการประเมินระดับวิกฤตในครั้งนี้ ทางสมาพันธ์จัสทิสไม่เพียงแต่จะส่งยานรบมาประจำการตามวงโคจรรอบโลกเท่านั้น แต่ยานรบที่มาประจำการยังเป็นยานรบของกองยานที่ 5 จากสมาพันธ์อีกด้วย
ในตอนที่สมาพันธ์ตัดสินใจส่งกองยานที่ 5 อันทรงพลังไปยังโลกมันก็ก่อให้เกิดคำถามขึ้นมาอย่างมากมายว่าการประเมินบนดาวเคราะห์ดวงเล็ก ๆ จำเป็นที่จะต้องใช้ระบบรักษาความปลอดภัยในระดับนี้เลยอย่างนั้นหรอ
กองยานที่ 5 ประกอบไปด้วยยานฟริเกตรุ่นเรเว่น 4 ลำ, ยานแบทเทิลครุยเซอร์รุ่นธอร์แรค 24 ลำ นอกจากนี้มันยังมียานเล็ก ๆ อยู่ในกองยานอีกเป็นจำนวนหลายร้อยลำ มันจึงทำให้ค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนกองยานที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่เงินจำนวนที่ประชาชนโดยทั่วไปสามารถหาได้ตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา
ในความเป็นจริงค่าใช้จ่ายในการขับเคลื่อนกองยานที่ 5 เพียงอย่างเดียวก็ครอบคลุมงบประมาณสำหรับการประเมินไปถึง 80% แล้ว
อย่างไรก็ตามผู้อำนายการโรเบิร์ตก็เพิกเฉยต่อข้อเสนอแนะจากทุกคนโดยสมบูรณ์และความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะใช้กองยานที่ 5 สำหรับการควบคุมการประเมินในครั้งนี้ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกสับสน
ในระหว่างที่กองยานที่ 5 กระจายกำลังกันอยู่รอบ ๆ ดาวโลก ผู้บัญชาการของกองยานที่ 5 ก็ไม่รู้เลยว่าในตอนนี้มันได้มียานสเตลท์รุ่นเฮลิโออยู่ห่างออกไปจากโลกประมาณ 1 ปีแสง
ตัวยานสเตลท์ลำปริศนานี้ได้รับการดัดแปลงโดยละทิ้งอาวุธส่วนใหญ่ของมันไปแต่ได้เพิ่มระบบดักจับสัญญาณและระบบลอบเร้นเข้ามาแทน มันจึงทำให้ยานลำนี้ไม่เพียงแต่จะสามารถดักจับสัญญาณการสื่อสารจากอีกฝ่ายหนึ่งได้เท่านั้นแต่มันยังสามารถเดินทางในอวกาศได้โดยปราศจากการพบเห็นจากศัตรูอีกด้วย
ขณะเดียวกันยานสเตลท์ลำนี้ก็ไม่มีหมายเลขประจำเครื่องใด ๆ ซึ่งอันที่จริงถึงแม้ว่าจะมีใครค้นหาข้อมูลของยานจากฐานข้อมูลของพันธมิตรแต่พวกเขาก็จะไม่พบข้อมูลของยานลำนี้เลยด้วยซ้ำ
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จำนวนนับไม่ถ้วนบนยานสเตลท์กำลังทำงานของมันอย่างต่อเนื่องและข้อมูลทุกส่วนที่ถูกส่งไปยังโลกมนุษย์ก็ถูกดักฟังเอาไว้โดยยานลำนี้
สำหรับจักรวาลอันกว้างใหญ่การดักฟังข้อมูลไม่ถือว่าเป็นเรื่องยากลำบากมากเป็นพิเศษ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าการดักฟังคือการถอดรหัสข้อมูลที่พวกเขาได้รับมา
องค์กรทุกแห่งที่โลดแล่นอยู่ในจักรวาลมักจะมีการเข้ารหัสข้อมูลสำหรับตัวเอง มันจึงทำให้การพยายามถอนรหัสที่มีตัวเลขหลายร้อยล้านหลักไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ซึ่งแม้แต่คอมพิวเตอร์ที่แรงที่สุดก็อาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 10,000 ปีในการถอดรหัสข้อมูลเหล่านี้
ด้วยความยากลำบากในการถอดรหัสเช่นนี้มันจึงไม่ค่อยมีใครเต็มใจที่จะถอดรหัสของอีกฝ่ายมากนัก เพราะนอกเหนือจากการถอดรหัสจะต้องใช้เวลานานมากแล้วอีกฝ่ายอาจจะมีการสลับระบบใหม่ในระหว่างที่พวกเขากำลังทำการถอดรหัสได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามบนหน้าจอของยานสเตลท์ปริศนากลับมีข้อมูลของสมาพันธ์จัสทิสปรากฏขึ้นมาอย่างครบถ้วน แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือข้อมูลทั้งหมดยังถูกถอดรหัสออกมาอย่างไม่มีข้อผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย
สมาพันธ์จัสทิสพึ่งเริ่มใช้การเข้ารหัสข้อมูล 12.8 พันล้านบิตเมื่อต้นปี แต่หลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไปเพียงแค่ไม่นานมันกลับมีตัวตนปริศนาสามารถถอดรหัสข้อมูลของพวกเขาได้!!
บนหน้าจอที่ใหญ่ที่สุดของยานสเตลท์ได้แสดงวิดีโอของผู้สมัครมากกว่า 10 คนขึ้นมาพร้อม ๆ กัน ซึ่งหนึ่งในวิดีโอเหล่านั้นเป็นภาพของเด็กสาวผมสั้นอายุประมาณ 12 ปีที่กำลังเคี้ยวผลเนตรนาคาและกล่าวถามเซี่ยเฟยออกไปว่า
“ผลไม้นี้มันมีรสช็อกโกแลตหรือเปล่า?”
***************
ใครอ่ะ? เหมือนมีกลิ่นว่าพี่เฟยจะโดนลากไปเข้าเรื่องยุ่ง ๆ อีกแล้ว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 188
แสดงความคิดเห็น