บทที่ 14...2/3
ห่างออกไปไกลเกินกว่ามนุษย์จะได้ข้ามไป หมองจางๆ ที่เมื่อครู่เห็นภาพโลกมนุษย์ได้หายไปแล้ว เหลือเพียงสระบัวด้านหน้าของวิมานกลางเมฆาที่ราวกับลอยไปทั่วแผ่นฟ้า ทว่ามันคือแผ่นฟ้าที่ไม่มีจุดบรรจบ พระสูรยะยืนเอามือไพล่หลังสีหน้ากำลังครุ่นคิด
ในขณะที่พระยมซึ่งมาหาพระสูรยะเพราะธุระเรื่องของอมร เขาไปที่อุโมงค์เวลาตามที่พระเสาร์ได้ฝากคำพูดมาถึงเขา โดยที่ไม่เผยตัว ทว่าอมรได้สร้างปราการขึ้นอีกชั้นทำให้นอกจากครอบพลังที่พระเสาร์สร้างไว้เพื่อขังเทพกึ่งมนุษย์ที่ถูกความแค้นครอบงำ จนเพิ่มพูนพลังด้วยกิเลสของมนุษย์ ตอนนี้ทำให้เขาไม่สามารถทลายปราการทั้งสองชั้นได้
แต่การเห็นว่าพระเสาร์กำลังผูกพันกับมนุษย์ผู้นั้นซึ่งจะทำให้ขมวดปมของการลงโทษอาจทอดยาวออกไป ทำให้เขาผู้ซึ่งมีส่วนทำให้อดีตคู่แค้นได้รับโทษมาเกือบพันปีไม่สบายใจนัก เขาสาแก่ใจที่อีกฝ่ายถูกลงโทษก็จริง แต่หากนานเนิ่นอีกทั้งยังถูกลงโทษซ้ำๆ พระเสาร์อาจผูกใจแค้นจนกลายเป็นเทพกึ่งมนุษย์ที่สะสมกิเลสของมนุษย์อย่างที่อมรทำ คราวนี้ใครจะกำราบได้
“ปล่อยไว้อย่างนี้จะดีหรือท่าน”
พระสูรยะรู้ดีว่าพระยมหมายถึงอะไร แต่การขัดขวางย่อมไม่ใช่สิ่งที่เทพซึ่งผดุงความยุติธรรมและในฐานะบิดาที่อยากให้บุตรชายเกิดสำนึกจะทำได้
“ทุกอย่างมีชะตากรรมเสมอ ศนิจะเรียนรู้ได้ไหมหลังจากผ่านมาเกือบแปดร้อยปี เราเองก็สุดจะคาดเดา”
พระยมพอจะเข้าใจ พระสูรยะจะออกหน้าคงไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะความเที่ยงตรงไม่เข้าข้างแม้จะเป็นบุตรตนเอง ตอนนี้พระเสาร์คงอยู่ในวิมานใดสักแห่ง แทนการลงไปโลกมนุษย์
“แต่อีกไม่นานธามิณีจะตาย คงเกิดเรื่องมากมายจากพระเสาร์แน่ๆ”
พระสูรยะเองก็หนักใจ “คงต้องรอ หากศนิลุแก่ความต้องการของตัวเอง เขาจะถูกลงโทษตามกฎ”
“ไม่ควรส่งธามิณีไปเกิดเลย” เหตุผลที่ธามิณีต้องลงไปเกิดช่างน้อยนิด แต่มันเกี่ยวกับพระเสาร์โดยตรง ทำให้หลังจากฟื้นคืน ธามิณีย่อมต้องรับโทษเช่นกัน
“สมควรสิ ศนิเป็นคนก่อเรื่องไว้ ตอนนี้การชดใช้ให้ธามิณีย่อมเป็นสิ่งที่สมควร”
พระยมพยักหน้ายอมรับว่าพระสูรยะพูดไม่ผิดแม้สักคำ แต่ตอนนี้เขาต้องปรึกษาเรื่องที่สำคัญกว่า ไม่เช่นนั้นมนุษย์อาจเดือดร้อนเพราะอมร เขาเองก็จนใจไม่สามารถนำอดีตเทพที่ถูกกิเลสครอบงำจนกลายเป็นมารมาลงโทษได้ พระสูรยะพอทราบเรื่องก็วาร์ปหายไปที่อุโมงค์เวลาทันที เขานึกแปลกใจตั้งแต่เห็นเงากิเลสแก่กล้าสีดำทะมึนที่ล่อหลอกธามิณีไปเพื่อให้พบจุดจบแล้ว ตอนนี้พอจะเข้าเค้าว่าใครที่ทำแบบนั้น พระยมวาร์ปตามพระสูรยะไป คราวนี้เขาคงหาทางออกได้เสียที
การบอกว่ารักแล้วคบกันหลังจากนั้นต้องปฏิบัติต่อกันอย่างไรนะ?
เป็นคำถามที่ธามิณีเกิดขึ้นทันทีที่ศนิพาเธอกลับมาที่ห้องด้วยรถยนต์ ใช่แล้ว เขาเลือกจะขับรถสปอร์ตสีดำมาส่งเธอที่หอพักไม่ใช่การวาร์ปอย่างที่เคยทำ สำหรับคนธรรมดามันคงปกติ แต่การนั่งรถของคนที่เธอชอบกลับทำให้รู้สึกประหม่า เขาเข้ามาในลิฟต์เพื่อเดินมาส่งเธอที่ห้อง เธอละล้าละลังตอนที่เขาเดินเข้ามาในห้อง รอยจูบของเขาที่ริมฝีปากยังซ่านในความรู้สึกจนเธอคิดไปไกล ถ้าเขาสานต่อมากกว่านั้นจะมันเร็วไปหรือเปล่า เขาจะรู้ไหมว่าเธอคิดอะไรไปไกลแล้ว ภายใต้ใบหน้าเรียบขรึมของเขาซ่อนความคิดอะไรไว้ การได้รู้ความในใจของอีกฝ่ายไม่ช่วยให้เธอรู้ได้เลยว่าตอนนี้มีสิ่งใดที่อยู่ในห้วงคำนึงของเขาบ้าง
“ทุกครั้งที่เธอถูกทำร้ายจนเลือดออกและเกิดความกลัว ผลึกกาลจะดึงฉันมาหาเธอ” ศนิเอ่ยในระหว่างที่รอธามิณีชงกาแฟด้วยความว้าวุ่นใจ เธอคิดว่าเขาเข้ามาในห้องนี้เพื่ออะไรอย่างนั้นหรือ ช่างเป็นมนุษย์ที่มองเขาในแง่ร้ายเสียจริง
ธามิณีคนกาแฟไปพลางเดินไปพลางแล้ววางที่โต๊ะตรงโซฟาซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเตียงนอน ศนิไม่ได้สนใจมองไปที่นั่นด้วยซ้ำ เธอคิดเลื่อนเปื้อนไปเอง แต่ที่เขาพูดมาน่าสนใจไม่น้อย ที่แท้ปริศนาของผลึกกาลเป็นแบบนี้เอง
“แล้วเหตุผลที่ธามถูกดึงไปหาคุณก็เหมือนกันหรือคะ”
“ใช่”
ธามิณีส่งกาแฟให้ศนิที่รับไปจิบๆ เธอมองเขาแล้วเพิ่งจะเข้าใจสายใยระหว่างเราสองคน เรื่องความกลัวแม้ว่าเธอจะพยายามฝืนว่าเก่งกล้า แต่ในใจก็กลัวนั่นเอง ทว่าเขาที่ดูไม่น่ามีอะไรให้กลัว แต่ก็มีแฮะ
“คุณเคยมีความกลัวด้วยหรือคะ”
ศนิเลิกคิ้ว “แน่นอน เพียงแต่ฉันไม่เคยกลัวความตาย แต่กลัวไม่ได้ทำอย่างที่หมายใจเอาไว้ต่างหาก”
“คุณหมายใจว่าจะทำอะไรหรือคะ” ธามิณีเท้าคางตั้งใจฟัง แต่ศนิกลับจิบกาแฟไม่ตอบคำถาม เธอรู้ด้วยภาษากายว่าเขาไม่อยากจะตอบคำถามนี้ “ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าไม่สบายใจไม่ต้องตอบก็ได้”
หากเป็นเหมือนที่ผ่านมาศนิคงฟังแล้วเลือกที่จะเงียบไม่ตอบอะไร การให้สัญญาเป็นเรื่องที่เป็นภาระ เขาอยากทำก็จะทำ แต่หากไม่อยากทำ ต่อให้ถูกขอร้อง อ้อนวอนหรือร้องไห้ เขาก็ไม่หวั่นไหว แต่ดวงตาที่ห่วงใยระคนสงสัยจากธามิณีทำให้เขาใจอ่อนไม่สามารถมองผ่านได้
“เอาไว้สักวันฉันจะเล่าให้ธามได้รู้ว่าทำไมฉันถึงกลายเป็นเทพกึ่งมนุษย์ ธามรอฉันนะ”
“ค่ะ ธามจะรอ” เพียงแค่เขาอ่อนโยนกับเธอ แค่นี้เธอก็ยิ้มได้แล้ว “ว่าแต่ คราวนี้ธามกลัวก็จริง แต่ไม่ได้ถูกทำร้ายจนเลือดออกเสียหน่อย ธามไม่ได้เรียกหาคุณ แล้วทำไมคุณมาช่วยธามได้ทันเวลาล่ะคะ”
ศนิยิ้มบางเพราะเขาจะบอกธามิณีได้อย่างไรว่ามาหาเธอเพื่อช่วยปัดเป่าฝันร้ายให้เธอมาหลายคืนแล้ว การได้เห็นรอยยิ้มยามฝันดีของเธอทำให้เขาหายกังวลแล้วหลับตาลงได้เช่นกัน
“พรุ่งนี้ธามไปมหา’ลัยใช่ไหม รีบเข้านอนได้แล้ว”
“ค่ะ” คราวนี้ธามิณีมั่นใจว่าศนิกำลังทำหน้าไม่ถูก เขาเขินงั้นหรือ เขินเรื่องอะไร “ชอบมีความลับจังเลย”
ศนิหัวเราะเสียงล้อๆ ของธามิณี เขาเดินมาที่ประตูห้องแล้วมองมนุษย์ผู้หญิงคนแรกที่เขาบอกว่ารัก มือหนายื่นออกไปลูบผมนุ่ม ดวงตาของเธอมองเขาด้วยความเชื่อใจทั้งหมด
“ฉันอยากให้ธามได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ”
ธามิณีสะดุดในคำพูดของศนิ แต่เธอเลือกจะรับความสุขที่อยู่ตรงหน้า ที่ผ่านมารอยยิ้มของศนิเป็นอะไรที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ความรักทำให้เขายิ้มออกมาแบบนี้ใช่ไหม เธอทำให้เขาเบื่อที่จะทำหน้าเหมือนแบกโลกใช่หรือเปล่า เธอรอเขาเดินเข้าไปในลิฟต์ ก่อนจะวิ่งมาที่หน้าต่างเพื่อมองรถของเขาที่กำลังขับออกไป พลันเกิดคำถามขึ้นในใจ เธอแทบไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่ไหน ทำอะไรในแต่ละวันและสิ่งที่เขากำลังคาดหวังคืออะไร เถอะน่า เธอยังมีเวลาอีกนานที่จะได้รู้คำตอบเหล่านั้น
พระนางศรัณยาเห็นสิ่งที่กำลังดำเนินไปของลูกชายผ่านหมอกมนตราแล้วก็ได้แต่ถอนใจ แต่ที่น่าหนักใจกว่าคือพระสูรยะกลับไม่แปลกใจในสิ่งที่เห็นราวกับว่ารู้มาก่อนแล้ว
หากว่าธามิณีตาย ศนิไม่มีทางอยู่เฉยหรือยอมรับได้ง่ายแน่นอน ลูกชายของนางหากคิดแล้วว่าจะทำอะไร ต่อให้ใครมาขวางหรือต้องโทษแค่ไหนก็ไม่เคยกลัว จนถูกขนามนามว่าเป็นเทพนอกคอกที่ไม่หวั่นต่อการถูกลงโทษ ผ่านมาหลายร้อยปีโทษทัณฑ์นั้นยังคงอยู่ แต่อีกไม่นานจะจบลง นางไม่อยากให้เวลาที่เหลือนั้นทอดยาวต่อไปอีก
“ท่านจะยอมให้ศนิทำผิดพลาดเพราะมีความรักจริงๆ อย่างนั้นหรือ ท่านย่อมรู้ว่าธามิณีกำลังจะตาย ศนิไม่ยอมอยู่เฉยแน่”
พระสูรยะถอนใจนี่ล่ะเหตุผลที่เขาไม่บอกเรื่องนี้กับชายา บางอย่างพ่อกับแม่ก็ทำได้เพียงยอมรับการตัดสินใจของลูก แม้เส้นทางนั้นจะไม่สวยงาม แต่อย่างน้อยศนิจะได้บทเรียนเพื่อเข้าใจว่าการจะได้ดั่งใจทุกอย่างนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้
“เจ้าทำอะไรไม่ได้หรอก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของศนิเท่านั้น”
“แล้วท่านก็จะรอลงโทษลูกเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย คราวก่อนเพราะเราเชื่อท่าน ถึงได้เห็นควรว่าลูกต้องได้รับโทษจากการลุแก่ความโกรธ ไม่ได้ปกป้องลูกอย่างที่คิดอยากทำ” พระนางศรันยารู้ว่าลูกทำผิด แต่ไม่ได้คิดว่าโทษในคราวนั้นจะต้องใช้เวลาหลายร้อยปีเพื่อไถ่โทษ
“คราวนี้เจ้าก็อย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว ทุกอย่างล้วนเกิดจากการตัดสินใจและการกระทำของศนิทั้งหมด” พระสูรยะเห็นสีหน้าของพระนางศรัณยาแล้วยิ่งต้องปราม ความเป็นแม่คงทำให้อยู่เฉยไม่ได้
“ท่านเคยรักศนิบ้างไหม”
“หากเจ้ารู้ถึงใจจริงของเรา เจ้าจะไม่ถามเราเช่นนี้ศรัณยา”
พระนางศรัณนารู้ว่าพูดเกินไป แต่ก็ปากหนักเกินกว่าจะแก้ไข การที่บิดาต้องลงโทษลูกชายของตัวเอง ใครบ้างไม่เสียใจ ไม่เจ็บปวด นางก็เอาแต่คิดห่วงศนิจนลืมไปว่าหากเลือกได้พระสูรยะคงไม่อยากทำแบบนั้น คราวนี้คนที่ควรได้โอกาสในการตัดสินใจควรเป็นธามิณีต่างหาก ต่อให้ต้องโทษสวรรค์นางก็อยากจะลองช่วยลูกชายอยู่ดี
ขอเพียงรักนี้นิรันดร จำหน่ายในรูปแบบ E-Book แล้วนะคะที่เว็บ MEB หมวด นิยายรัก โบว์จะลงนิยายให้อ่านประมาณ 65% ของเรื่องราวทั้งหมด หรือประมาณบทที่ 16 แล้วสิ้นสุดการลงนิยายนะคะ
ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะคะ
อัมราน_บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 130
แสดงความคิดเห็น