บทที่ 11 วางแผน
บทที่ 11 วางแผน ½
1 ผู้อาวุโส 1 ชายหนุ่ม 2 หญิงสาว นั่งจ้องตากันด้วยความเคร่งเครียด ก่อนที่จะมีใครกล่าวอะไรชายชราจึงตัดสินใจกล่าวขึ้นก่อน
“พวกเธอรู้หรือไม่ว่าตอนนี้เด็กในโรงเรียนเวทย์มนตร์ของพวกเราถูกลักพาตัวไปอย่างต่อเนื่อง ถึงจะมีแค่ 3-4 คนแต่จะเชื่อมก็คือทุกคนล้วนเป็นเด็กโรงเรียนเราทั้งสิ้น จากการสันนิษฐานของหน่วยความมั่นคงคิดว่าคนที่โจมตีน่าจะเป็นเจ้าพวกนั้น มันน่าจะเป็นองค์กรเดียวกันไม่เช่นนั้นมันน่าจะไม่มาโจมตีพวกเรา”
“มันจะเป็นไปได้ยังไงคะเพราะว่าเจ้าพวกนั้นน่าจะอยู่ที่ฐานทัพของพวกมันแล้วอีกอย่างหนึ่งพวกมันก็ยังไม่ได้ข้อมูลพันธุกรรมของเมฆาเลยไม่ใช่หรือ” หญิงผมแดงกล่าวแย้งความคิดของผู้เฒ่า
“คิดแบบนั้นมันอ่อนไป เจ้าพวกนั้นอาจจะแบ่งกันเป็นหลายหน่วยแล้วตัดสินใจโจมตีในทีเดียว ยังไงการคืนชีพมนุษย์ก็คงต้องใช้ร่างจำนวนมากเพื่อเป็นการทดลอง”
ศิลากล่าว ก่อนที่จะยกน้ำชาขึ้นมาจิบ แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด หากให้เขาตัดสินใจเขาอยากจะเอาตัวของเด็กตรงหน้าไปแลกซะด้วยซ้ำ เรื่องดังกล่าวจะได้จบๆกันไป แต่ว่าชายหนุ่มในวัยกลางคนก็รู้ดีว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ถ้าหากชายคนนั้นได้คืนชีพขึ้นมา โลกที่เคยสงบสุขก็คงต้องโกลาหลขึ้นอีกครั้ง
เขาทอดถอนใจก่อนที่จะตัดสินใจกล่าวอะไรบางอย่างที่ไม่ควรที่จะกล่าว “รู้อย่างนี้น่าจะกำจัดผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่วันนั้น”
คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวทั้งสองไม่พอใจ ก่อนที่หญิงผมฟ้าจะได้ตอบตู้หญิงผมแดงก็ตอบโต้ก่อน
“อย่าเอาความแค้นส่วนตัวมาระบายใส่เด็กที่เพิ่งเกิดไม่นานสิคะท่านศิลา ทั้งเด็กคนนี้และตระกูลของเธอล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น แล้วอีกอย่างหนึ่งการพูดแบบนี้เป็นการหยามเกียรติของเด็กคนนี้เพราะว่าในปัจจุบันนี้น้องไอยราก็มีตำแหน่งไม่เป็นลองไปจากท่านและฉัน ท่านเข้าใจความหมายนี้เข้าหรือไม่”
ชายหนุ่มยักไหล่กับคำพูดของหญิงสาว “ถึงแม้ว่าจะมีตำแหน่งเท่าฉันแล้มันวยังจะเป็นอย่างไร เด็กคนนี้พยายามทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเองมันเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่พวกเราสามารถตัดสินใจได้”
ชายหนุ่มหยุดก่อนที่จะเน้นคำพูดตัวเองอีกครั้ง
”ฉันต้องการจะบอกว่าทุกคนสามารถตัดสินใจได้ และฉันได้ตัดสินเด็กคนนี้ไปแล้ว นี่เป็นเอกสิทธิ์ส่วนตัวของฉัน และฉันได้ตัดสินไปแล้วว่าเด็กคนนี้ไอยรา”
ชายหนุ่มหยุดก่อนที่จะชี้นิ้วไปยังไอแล้วกล่าวอย่างหนักแน่น
“ไอยราชื่อเดิมว่าไอเป็นชื่อที่ถูกตั้งขึ้นด้วยความริษยาของบุรุษที่ชั่วที่สุดในโลกเวทมนตร์ ตราบใดที่เธอและพวกน้องของเธอเกิดมามีสายเลือดของผู้ก่อการร้ายอันดับ 1 ในโลกนี้ ต่อให้เธอต้องการที่จะทำบุญเพื่อเป็นการไถ่บาปอย่างไรแต่ฉันในฐานะนักเวทย์อันดับ 1 ไม่สิถ้าจะพูดให้ถูกนี่มันเป็นความคิดเห็นของฉันและฉันยังคงจะถ่ายทอดความคิดนี้ให้กับลูกหลานและลูกศิษย์ของฉันทุกคน
“ฉันไม่ไว้ใจต่อสายเลือดของชายคนนี้ เราไม่มั่นใจได้และต้องป้องกันอันตรายทุกวิถีทางไม่ให้ตระกูลนี้ได้เข้าถึงเวทมนตร์”
“ยังไงมติมันควรจะเป็นเช่นนี้ ฉันไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกแล้วที่จะให้ยัยหนูนี่มาทำงานกับพวกเรามาอยู่โรงเรียนของพวกเราและมาสอนเด็กที่น่ารัก ไม่แน่การหายตัวไปของนักเรียนโรงเรียนเราอาจจะเป็นฝีมือของยายนี่ก็ได้”
“ท่านกำลังหมิ่นประมาทไอยรา คำพูดที่ไร้ซึ่งหลักฐานจะนำมาซึ่งความผิดได้ท่านคงจะทราบเรื่องนี้อยู่แล้วใช่ไหมคะ นี่ฉันในฐานะที่เป็นเพื่อนเก่าของท่าน ดิฉันขอเตือนเอาไว้ ถ้าหากท่านไม่หยุด พวกเราคงจะต้องเป็นศัตรูกันแล้ว อย่าลืมว่าเด็กคนนี้เคยเป็นลูกศิษย์ของท่านและเคยเป็นลูกศิษย์ของฉันเช่นเดียวกัน
“ ถ้าหากท่านไม่ชอบเด็กนี่ฉันก็ไม่ว่าอะไรท่านหรอกนะคะท่านศิลา แต่ว่าการที่ท่านหมิ่นประมาทเด็กคนนี้กล่าวหาโดยไร้ซึ่งหลักฐานและหลักการฉันคงจะยอมไม่ได้ อย่างน้อยก็ในฐานะครูที่รักลูกศิษย์ส่วนอย่างมากก็คือในฐานะผู้คุมกฎเช่นเดียวกัน ถ้าท่านยังไม่หยุดกล่าวหมิ่นประมาทเด็กคนนี้ฉันจะใช้สิทธิ์ฟ้องท่านเหมือนกัน แล้วถ้าหากเรื่องนี้พวกเรายังไม่สามารถตัดสินได้พวกเราคงต้องให้ท่านที่มีอำนาจสูงสุดเป็นคนตัดสิน”
เฟรย่าหันมองไปยังผู้อาวุโสที่นั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ ก่อนที่ชายแก่จะได้กล่าว ชายชราก็หันไปมองยังเด็กหญิงผมฟ้าที่นั่งมองการกระทำของผู้ใหญ่ทั้งสองด้วยอย่างใจเย็น จากสายตาของผู้อาวุโสเขารู้ดีว่าเด็กพวกนี้ไม่มีความหวั่นไหวเลยแม้แต่นิดเดียว
“วันนี้เราไม่ได้มาพูดเรื่องเก่า เรามีปัญหามากมายที่เราต้องกระทำไม่สามารถรื้อฟื้นเรื่องที่จบไปแล้วได้ การเข้าถึงเวทมนตร์ของเด็กทั้ง 3 คนที่เกิดมาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของชายหนุ่มผู้นั้นมันถูกลงมติไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ลูกคนแรกได้เกิดขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่พวกเรารู้ดี ว่าชายคนนั้นได้ทำเรื่องที่ไม่ควรให้อภัยต่อโลกใบนี้ แต่สิ่งที่ลูกสาวของเขาได้ทำก็เป็นการยืนยันอย่างดีว่าสายเลือดของคนเรานั้นมันไม่ใช่ตัวตัดสินความดีหรือความเล็ว แล้วอีกอย่างถ้าเขาให้ถูกต้องสิ่งที่ฉันพูดนั้นทำมันก็ไม่ได้เลวร้ายสักหน่อย”
ชายชราหยุดก่อนที่จะตัดสินใจกล่าวต่อ
“ก่อนที่โลกของเราจะเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การกระทำดังกล่าวไม่ได้เป็นการผิดสิทธิมนุษยธรรม แต่ว่าเราก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่าการกระทำดังกล่าวมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง สำหรับผู้สูญเสียมันเป็นเรื่องที่แสนเลวร้าย”
ผู้อาวุโสหยุดก่อนที่จะเน้นทีละคำอีกครั้ง “สำหรับผู้สูญเสียมันเป็นเรื่องที่แสนเลวร้าย แต่ว่าสำหรับผู้ที่มีความหวังมันเป็นทางที่ไม่มีวันทางอื่นอีกแล้ว ถ้าหากสนใจแล้วอยากจะรู้ก็ลองไปอ่านงานวิจัยของด็อกเตอร์เอ็ดเวิร์ด”
“ถ้าจะพูดเช่นนี้งานวิจัยอันแสนเลวร้าย งานวิจัยที่เต็มไปด้วยเลือดมันเป็นประวัติศาสตร์ที่ควรถูกลบเลือนออกไปจากโลกใบนี้ ยังไงกระผมก็จะขอเสนอให้ประวัติศาสตร์แบบนี้มันหายไปจากโลก พวกเราต้องสั่งมันไปกับพวกเราไม่ให้ลูกหลานพวกเรารู้จักเวทย์มนต์แบบนี้อีก การสร้างศิลาแห่งชีวิตก็เช่นเดียวกัน มันควรที่จะถูกฝังไปเหมือนกับเวทมิติแล้วเวทเวลาพวกเราไม่ควรที่จะให้เด็กรุ่นใหม่ได้ศึกษาและได้อ่าน”
เฟรย่ามองหน้าของ ศิลา ก่อนที่เธอจะโต้ตอบอย่างเผ็ดร้อน
“มตินี้มันไม่ควรที่จะถูกหยิบยกขึ้นมาพูด เพราะคนที่บอกว่าเวทมิติแล้วเหตุแห่งกาลเวลาควรที่จะไม่มีคนศึกษาแต่ตนเองนั้นกับศึกษามันได้อย่างหน้าตาเฉยอย่างนั้นหรือ ถ้าอยากใช้ความคิดเช่นนี้อยู่ความเท่าเทียมของนักเวทย์ก็คงไม่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ อดีตกาลและอดีตอันยาวนานของมนุษยชาติได้สอนพวกเรามาไม่พอแล้วยังมันเหรอ ว่าเรื่องชนชั้นและความไม่เท่าเทียมเป็นอย่างไร”
“ยุคสมัยที่เธอกล่าวมันเป็นยุคสมัยที่มนุษย์ต้องแย่งชิงพลังงาน พวกเราต้องใช้พลังงานจากน้ำมันแก๊สก๊าซธรรมชาติไฟฟ้าถึงแม้ว่ายุคต่อมาพวกเรามนุษย์จะสามารถใช้พลังงานธรรมชาติหรือพลังงานทางเลือกได้มากขึ้น แต่ว่ามนุษย์ก็ไม่ได้มีความรู้ที่จะใช้พลังงานแบบนี้ได้ทุกประเทศ มันเป็นยุคสมัยที่แสนยาวนานและห่างไกลจากพวกเราไปมาก ดังนั้นการที่จะเอายุคดังกล่าวมาเทียบกับพวกเราที่เป็นอารยชนเป็นผู้เจริญแล้วจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรที่จะกล่าวพาดพิงอย่างยิ่ง”
ชายหนุ่มหยุดก่อนที่เขาจะมองสีหน้าท่าทางของ 3 คนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาฟังคำกล่าวของเขาต่อ
ศิลายิ้มในใจ เขาคิดว่าตนเองสามารถพูดเชิญชวนให้คนทั้ง 3 รับฟังได้แล้ว ถึงแม้ว่าอาจจะมีบางคนที่เห็นแย้งไปบ้างก็ตามแต่มันก็คงเป็นคนส่วนน้อย อย่างน้อยคนที่เห็นด้วยกับเขาน่าจะเป็นผู้อาวุโส ผู้ที่ได้เห็นโลกมามากไม่น้อยไปกว่าชายหนุ่ม
เขาตัดสินใจหยุดกล่าว แล้วก็ค่อยๆถอนหายใจพร้อมกับทำท่าทางเย้ยเฟรย่า ก่อนที่จะเสียใจยกชาขึ้นมาจิบ เขาพยายามวางตัวให้เหมือนนักปราชญ์ในยุคโบราณถึงแม้ว่ามันจะดูไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่นัก
ชายหนุ่มมองใบชาที่ลอยขึ้นมา กลิ่นของชาทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย ก่อนที่เขาจะค่อยๆดื่มด่ำกับรสชาติที่แสนหอมหวาน ผ่านไปไม่นานชายหนุ่มก็ค่อยๆยกแก้วชาลงแล้ววางอย่างละเมียดละไม เขามองไปยังผู้ที่กำลังตั้งใจรับฟังเขาอย่างใจจดใจจ่อ
เฟรย่ามีท่าทางตรึกตรองกับคำกล่าวของเศิลา ศิลามีท่าทางช่างใจหญิงสาวมีท่าทางลังเล เขารู้ได้ไม่ยากว่าสิ่งที่เขาคิดได้เกิดขึ้นแล้วทำให้เขายิ่งมั่นใจมากกว่าเดิมว่าจะสามารถต่อรองกับหญิงสาวได้ ส่วนผู้อาวุโส ชายหนุ่มพยายามสังเกตท่าทีและอาการแต่กลับไม่พบสิ่งผิดปกติ เขาตัดสินใจละสายตาออกจากชายชราแล้วค่อยๆจับถ้วยชาอีกครั้ง
ในหัวของบุรุษหนุ่มประมวลผลอย่างรวดเร็วราวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เขาพยายามหาคำพูดเพื่อมาจูงใจชายชราและอดีตเพื่อนที่เขาเคยไว้ใจ ก่อนที่เพื่อนของเขาผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่สุดจะไปตกหลุมรักกับลูกศิษย์ของเธอ ความรักของเพื่อนที่ตกหลุมรักลูกศิษย์ตนนั้นมองเห็นลูกศิษย์คนนี้เป็นยิ่งกว่าลูกศิษย์ เป็นเหมือนลูกหลานที่เธอควรที่จะดูแล ถ้าเป็นเด็กคนอื่นก็คงไม่เป็นไรแต่เพื่อนเธอกลับไปสนใจเด็กที่มีสายเลือดของปีศาจ เรื่องนี้ทำให้เขาตัดสินใจว่าเพื่อนคนนี้คงจะไม่สามารถอยู่กับเขาได้ถ้าหากเธอยังไม่เปลี่ยนใจ
“เอาละผมจะกล่าวต่อ สิ่งที่ผมต้องการที่จะสื่อก็คือคำพูดของเฟรย่ามันไม่สามารถใช้ในยุคปัจจุบันได้ ยุคนี้พวกเรามีกฎเกณฑ์ที่เข้มแข็งผู้ก่อการร้ายใน 3 อาณาจักรไม่มีปรากฏมาประมาณ 5 ถึง 10 ปีแล้ว ไม่สิถ้าจะพูดให้ถูกไม่ใช่ไม่เคยปรากฏขึ้นแต่ว่ามีจำนวนน้อยทำให้ฝ่ายความมั่นคงไม่ได้เคลื่อนไหวมานานแล้ว”
“แต่หลังจากที่มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ปรากฏตัวขึ้นทำให้ทุกกลุ่มเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง พวกมันมีเป้าหมายที่จะปลุกชีพของบุรุษหนุ่มผู้นั้นเพื่อให้พวกมันมีผู้นำและสามารถเข้ายึดโลกของพวกเราได้ ถึงแม้พวกเราจะพยายามจำกัดอาณาเขตและสอดส่อง แต่การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันทำให้พวกเรารู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่พวกเราคิดนั้นผิด”
ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้กล่าวตอบ เสียงของเด็กหญิงที่มีอายุอานามน้อยที่สุดก็ดังขัดขึ้น
“สิ่งที่ท่านกล่าวขึ้นมาตลอดมันเป็นเรื่องที่เหลวไหล คำพูดของท่านแสดงให้เห็นได้ว่าท่านไม่มีความรู้เกี่ยวกับความมั่นคงเลยสักนิดเดียว ตั้งแต่พ่อของดิฉันได้ตายไปสายเลือดนี้ก็ได้ตกทอดมาอยู่กับพวกเราทั้งสามคน พวกเราไม่ได้มีสายเลือดของปีศาจและพวกเราไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะต้องการยึดโลกใบนี้”
“ไม่สิถ้าจะให้ฉันกล่าวให้ถูกบิดาของฉันเองก็ไม่มีเป้าหมายที่จะยึดโลกใบนี้ด้วยซ้ำไป จัดงานที่ฉันเคยอ่านแล้วเคยศึกษาเกี่ยวกับประวัติของพ่อฉันทำให้ฉันได้รู้ว่าเป้าหมายของท่านมีเพียงแค่ต้องการปลุกชีพแม่ของฉันขึ้นมาจากห้วงแห่งความตายเท่านั้น ถ้าท่านเข้าร่วมในสงครามครั้งสุดท้ายท่านก็คงจะรู้ดี”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 228
แสดงความคิดเห็น