บทที่๒๔
ปาณัทประคองน้องชายฝาแฝดเดินเข้ามาในห้องที่นางเพียรนอนพักฟื้นอยู่ โดยมีนิชาภัทรเดินตามเข้ามา นางต้อยไม่ได้อยู่ในห้อง...เป็นเอกเลื่อนเอาเก้าอี้ที่อยู่แถวๆ นั้นมานั่งข้างๆ เตียง มองคนที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเศร้าๆ ไม่คิดเลยว่าแม่เพียรของเขาจะกลายมาเป็นเช่นนี้...เพราะเขาใช่ไหมที่ทำให้ท่านเป็นเช่นนี้ ทำให้ท่านตกใจและเครียด ไม่ใช่แค่เรื่องที่เขาถูกทำร้าย แต่มีอีกเรื่อง
นั่นก็คือเรื่องที่แม่เพียรอยากให้เขาไปกับอยู่กับครอบครัวที่แท้จริง เหตุผลของท่านก็คืออยากให้เขาได้มีชีวิตที่สุขสบาย ไม่ต้องลำบากเหมือนอยู่ที่บ้านสลัม ซึ่งเขาก็เข้าใจเหตุผลของท่านอยู่ แต่เขาดื้อรั้นไม่อยากไป เพราะอยากอยู่ในที่ที่เขาเติบโตมา อยากอยู่กับคนที่เลี้ยงเขามา...แม้จะรู้ความจริงทุกอย่างแล้วก็ตาม แต่เขายืนยันว่าจะไม่ไปอยู่ดี ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็เสียแรงเปล่า เพราะมันไร้ประโยชน์สิ้นดี
“เพราะผมใช่ไหมครับแม่...ผมทำให้แม่ตกใจ ทำให้แม่เครียด เครียดจน...” เขาพูดต่อไม่ได้ มันจุกในลำคอ น้ำตาก็ไหลออกมา
ปาณัทจึงตบไหล่น้องชายเบาๆ
“เพราะฉันเองที่เอาเรื่องของนายไปบอกคุณน้า คุณน้าถึงหัวใจวายเฉียบพลัน...เพราะตกใจ...เพราะเครียด แต่ถ้าฉันไม่ไปบอกคุณน้าก็อาจไม่เป็นแบบนี้ก็ได้”
“นายไม่ต้องโทษตัวเอง...ไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหรอก แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องยอมรับ ต้องภาวนาให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น...ถึงนายจะไม่ไปบอกท่าน แต่ยังไงท่านก็จะต้องรู้อยู่ดี เขาถือว่าความลับไม่มีในโลก” เป็นเอกว่า
แล้วนิชาภัทรก็พูดขึ้นว่า
“ฉันเชื่อว่ายังไงน้าเพียรจะต้องหาย ทั้งโรคมะเร็งและโรคหัวใจ”
“ฉันสงสารแม่...โรคมะเร็งยังไม่ทันรักษาให้หาย ก็ดันมีโรคหัวใจเข้ามาแทรกอีก นี่มันเวรกรรมอะไรกัน ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย” เขาถึงกับกุมขมับพลางร้องไห้
อีกฝ่ายจึงบอกว่า
“เฮ้ย แกอย่าร้องไห้สิวะ...ไอ้เอก...เดี๋ยวฉันก็ร้องไห้ตามหรอก”
“ก็ฉันสงสารแม่นี่”
“ไอ้เอกคนเดิมมันหายไปไหนวะ คนที่เคยเข้มแข็ง ไม่เคยอ่อนแอให้ใครเห็น แล้ววันนี้...”
“วันนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว” เขาว่า “เพราะฉันเสียใจมากๆ ฉันถึงได้ร้องไห้...ปกติฉันก็ไม่ใช่คนที่ร้องไห้ออกมาง่ายๆ หรอก...แกก็รู้นี่”
“เออ ฉันรู้จักแกดี ว่าแกเป็นคนยังไง เพราะเราโตมาด้วยกัน ผ่านอะไรๆ มาด้วยกันหลายอย่าง”
“ฉันโชคดีที่มีเพื่อนอย่างแก”
“ฉันก็โชคดีเหมือนกัน...ที่มีเพื่อนอย่างแก”
ปาณัทตบไหล่น้องชายอีกครั้ง
“เลิกขี้แยได้แล้วไอ้น้องชาย...ยังไงคุณน้าก็ต้องหาย...ปาฏิหาริย์ต้องมีจริง เชื่อฉันสิ”
เป็นเอกพยักหน้า ก่อนจะปาดน้ำตาทิ้ง
นิชาภัทรจึงแกล้งแซวเล่น
“ร้องไห้มากๆ เดี๋ยวก็ตาบวม หมดหล่อกันพอดี”
คนถูกแซวยิ้มออก แต่ไม่พูดอะไร แล้วเขาก็จับมือนางเพียรและพูดว่า
“แม่ครับ...รีบๆ กลับมาหาผมนะครับ อย่าหลับนานนักสิ...อย่าขี้เซานะ...มันไม่ดีรู้ไหมครับ”
แล้วประตูห้องก็เปิดออก คุณนภาลัย ปราภพและพรรณนิภาเดินเข้ามา ฝ่ายแรกก็พูดขึ้นทันทีที่เดินเข้ามาถึง
“ย่าจ้างให้พยาบาลพิเศษมาดูแลเพียรแล้ว”
เป็นเอกจึงหันไปทางคุณนภาลัย
“ผมอยากดูแลแม่เพียรเองครับ”
ปราภพจึงบอกว่า
“ลูกอย่าลืมสิ...ว่าตอนนี้ลูกก็กำลังบาดเจ็บอยู่ และบาดแผลก็ยังไม่หาย...พ่อว่าลูกรักษาบาดแผลตัวเองให้หายก่อนเถอะ และอีกอย่าง คุณย่าก็จ้างพยาบาลพิเศษมาดูแลคุณเพียรแล้ว เพราะฉะนั้นลูกไม่ต้องเป็นห่วง”
“แต่ผม...”
“เมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้ว ย่าจะพาหลานกลับไปอยู่ที่บ้านของเรา” ท่านบอกยิ้มๆ
“ผมยังไม่อยากไปครับ”
“นี่ก็ครบสามวันแล้วนะ” ผู้เป็นย่าว่า “และวันนี้คือวันที่หลานจะต้องให้คำตอบกับย่าแล้ว”
“เอ้อ...”
“ไปอยู่กับฉัน กับคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็คุณย่าเถอะ อยู่ที่บ้านของเรา นะเป็นเอก” ปาณัทคะยั้นคะยอ
นิชาภัทรจึงช่วยพูด
“ไอ้เอก...แกยังจำคำพูดของน้าเพียรได้ไหม น้าเพียรอยากให้แกกลับไปอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงของแก ถ้าแกรักน้าเพียรแกก็ต้องทำตามคำขอของท่านได้ หรือว่าแกไม่รักน้าเพียรแล้ว”
“รักสิ...”
“เอาเถอะ ย่าจะไม่บังคับใจหลาน...ถ้าไม่อยากกลับไปก็ไม่เป็นไรนะ” ท่านว่า
เป็นเอกนิ่งสักครู่อย่างใช้ความคิด เพียงไม่นานเขาก็ตอบอย่างเร็ว
“ผมจะไป”
“ฮะ! ว่าอะไรนะ” คุณนภาลัยยิ้มดีใจ
ปราภพ พรรณนิภา และปาณัทก็พลอยยิ้มดีใจไปด้วยที่เป็นเอกยอมกลับไปบ้าน...บ้านที่เป็นครอบครัวที่แท้จริง หลังจากถูกพลัดพรากนานถึงยี่สิบเจ็ดปี เป็นอะไรที่ทรมานสำหรับคนที่เป็นพ่อแม่จริงๆ
เป็นเอกนิ่งอีกครั้ง สักพักก็บอกว่า
“ที่ผมจะไป...ไม่ใช่เพราะแม่เพียรขอหรือไม่ใช่เพราะใคร แต่ผมมาคิดๆ ดูแล้ว...ในเมื่อพวกคุณคือครอบครัวที่แท้จริงของผม ผมก็ควรที่กลับไปอยู่กับพวกคุณ ไปอยู่ในที่ที่ผมถูกพลัดพรากมา ตอนแรกอาจจะยังไม่ค่อยชินสักเท่าไหร่ แต่อยู่นานๆ ไปก็ชินได้เอง”
“ย่าดีใจมากที่หลานตัดสินใจแบบนี้...ถือว่าเป็นคำตอบที่ดีมากๆ” ท่านยิ้มดีใจอีกครั้ง
ปราภพกับพรรณนิภา และปาณัทก็รู้สึกดีใจเช่นกัน
“พ่อดีใจมากเลยนะตาเอก...พ่อรอให้ลูกกลับบ้านของเรามานานหลายปี...ในที่สุดพ่อก็ได้พบลูก ได้ลูกกลับบ้านสักที”
“ไม่มีอะไรที่ทำให้แม่ดีใจไปกว่าการที่ได้ลูกชายฝาแฝดอีกคนของแม่กลับคืนมา แม่ดีใจที่สุดเลยรู้ไหม”
“ฉันก็ดีใจนะ...เป็นเอก...ที่นายจะกลับบ้านของเรา เราจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันสี่คน พ่อแม่ลูก...เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์...นายรู้ไหม ตอนที่ฉันรู้ว่านายเป็นพี่น้องฝาแฝดของฉัน ฉันดีใจที่สุด และฉันฝันว่าอยากมีพี่น้องมานาน...อ้อ ถ้ากลับไปบ้าน เดี๋ยวฉันจะเอาสมุดไดอารี่ของคุณพ่อให้นายอ่าน คุณพ่อเขียนถึงนายด้วย” ปาณัทตบไหล่น้องชายพลางยิ้ม
“แกจะขโมยสมุดไดอารี่ของพ่อให้น้องอ่านเหรอ” เขาถาม
ชายหนุ่มถึงกับหัวเราะ
“เปล่าครับ...ผมจะขอคุณพ่อก่อน”
“ก็ดี พ่อนึกว่าจะขโมย” พูดจบก็หัวเราะบ้าง
แล้วนิชาภัทรก็พูดกับเป็นเอก
“ไอ้เอก...ถ้าแกไปอยู่บ้านหลังใหญ่โต แกก็อย่าลืมมาเยี่ยมฉันบ้างนะโว้ย”
“ถึงฉันจะไปอยู่ที่ไหน แต่ฉันก็ไม่ลืมบ้านสลัมที่ฉันเคยอยู่ เพราะฉันเติบโตที่นั่น ฉันจะไม่มีวันลืมเด็ดขาด และฉันจะแวะมาเยี่ยมชาวชุมชนคลองรักษ์บ่อยๆ ฉันขอสัญญา” ชายหนุ่มยิ้มให้เพื่อน
คุณนภาลัยจึงบอกกับนิชาภัทรว่า
“ถ้าหนูอยากไปหาเป็นเอกที่บ้าน หนูก็ไปได้นะ ฉันไม่ห้าม เพราะว่าหนูกับเป็นเอกก็เป็นเพื่อนกัน”
“ขอบคุณค่ะ” เธอประนมมือไหว้ผู้สูงอายุกว่า
“อ้อ ฉันว่าฉันจะทำเรื่องสงเคราะห์เด็กยากจนที่ชุมชนคลองรักษ์ เพราะฉันอยากให้เด็กยากจนได้เรียนสูงๆ จบมาพวกเขาจะได้มีงานดีๆ ทำ”
หญิงสาวยิ้มดีใจ และประนมมือไหว้อีกครั้ง
“หนูต้องขอบคุณท่านแทนเด็กๆ ชาวชุมชนคลองรักษ์มากเลยนะคะ”
“ไม่เป็นไร ฉันชอบช่วยเหลือเด็กยากจนอยู่แล้ว เพราะฉันเป็นประธานนักสังคมสงเคราะห์...อ้อ แล้วต่อไปหนูอย่าเรียกฉันว่าท่านอีก ให้เรียกย่าเหมือนเป็นเอก เพราะหนูก็เหมือนหลานของฉันคนหนึ่งเหมือนกัน” ท่านยิ้มเอ็นดูอีกฝ่าย
แต่นิชาภัทรกลับรู้สึกเกรงใจ
“อุ๊ย ไม่กล้าหรอกค่ะท่าน”
“ไม่ต้องเกรงใจฉันนะ ทำตัวสบายๆ” ท่านบอก ก่อนจะหันไปทางหลานชายฝาแฝดอีกคน “เป็นเอก...ต่อไปไม่ต้องเรียกย่า เรียกพ่อเรียกแม่ว่าคุณอีกแล้วนะ ให้เรียกพ่อแม่ และย่านะ เข้าใจไหม”
“รอให้ผมชินก่อนนะครับ” เขาบอก
ปราภพจึงพูดกับผู้เป็นแม่
“ให้เวลาตาเอกหน่อยเถอะครับคุณแม่...ให้เขาทำตัวให้ชินกับพวกเราก่อน เดี๋ยวเขาก็เรียกเองครับ”
“ก็ได้จ้ะ” ท่านพยักหน้า
ในที่สุดเป็นเอกก็ยอมกลับไปอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงเสียที นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับคุณนภาลัย ปราภพ พรรณนิภาและปาณัท แต่คงเป็นข่าวร้ายสำหรับเขมนันท์ ประภาและภูริช ถ้ารู้ว่าเป็นเอกจะเข้าไปอยู่ที่บ้านคงไม่พอใจมากแน่นอน
ชัชรินทร์กับรวัลยาเพิ่งกลับมาจากทำธุระที่ต่างจังหวัด ก็ได้รู้ข่าวจากลูกสาวว่าปราภพกับพรรณนิภาตามหาลูกชายฝาแฝดเจอแล้วก็ถึงกับอึ้งไป เพราะถึงจะสนิทกับตระกูลบวรเทพก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าปราภพกับพรรณนิภาจะมีลูกชายฝาแฝด เพราะที่ผ่านมาก็เห็นแต่ปาณัทคนเดียว แล้วอีกคนมาจากไหนกัน...ทั้งสองคนถึงกับมึนงงไปชั่วขณะกับเรื่องราวเหล่านั้น
“อ้าว! เป็นไปได้ยังไงล่ะ ที่นายปราภพกับคุณพรรณจะมีลูกชายฝาแฝด พ่อก็เห็นแต่ตาป้องคนเดียวนี่” ชัชรินทร์พูดกับลูกสาวขณะนั่งทานอาหารค่ำด้วยกัน
ส่วนรวัลยาก็พูดว่า
“แม่ถึงกับมึนศีรษะ...แล้วอีกคนมาจากไหนกัน”
รินรดาจึงบอกกับพ่อแม่ว่า
“เห็นพี่ป้องบอกว่าเมื่อยี่สิบเจ็ดปีก่อน น้องชายฝาแฝดของเขาถูกขโมยไป โดยที่ไม่รู้ว่าคนร้ายเป็นใคร จนถึงตอนนี้ก็ยังตามหาตัวคนร้ายไม่พบ...พี่ป้องเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันค่ะ เขาไปอ่านเจอในสมุดไดอารี่ของคุณอาปราภพ คุณอาเล่าถึงเรื่องราวเมื่อยี่สิบเจ็ดปีก่อนที่ถูกขโมยลูกชายฝาแฝดอีกคนไปค่ะ”
“อ้อ เรื่องมันเป็นแบบนี้เอง” เขาพยักหน้าเข้าใจ
รวัลยาจึงถามอย่างสงสัย
“เอ๊ะ ทำไมคุณปราภพกับคุณพรรณนิภาไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้พวกเราฟังคะคุณ”
“เขาจะเล่าให้พวกเราฟังทำไมกันล่ะคุณ มันเป็นเรื่องของครอบครัวเขานี่” ผู้เป็นสามีว่า
“เอ้อ จริงด้วยค่ะคุณ” เธอยิ้มแห้งๆ
ชัชรินทร์จึงหันไปถามลูกสาวอีกครั้ง
“แล้วลูกเคยเห็นน้องชายฝาแฝดของตาป้องไหม”
“หนูยังไม่เคยเห็นเลยค่ะคุณพ่อ” รินรดาสั่นศีรษะ
อีกฝ่ายพยักหน้า แต่ไม่พูดอะไร ก่อนจะทานข้าวต่อไป ส่วนรวัลยากับรินรดาลงมือทานข้าวต่อเช่นกัน ทานอย่างเอร็ดอร่อยกันเลยทีเดียว
ประภาเดินมาจากห้องนอนก็หันไปเห็นประตูห้องๆ หนึ่งเปิดอยู่ ซึ่งห้องนั้นถูกปิดไว้มานาน ๒๐ ปี แต่วันนี้ทำไมถึงเปิด แล้วก็เห็นพวกคนรับใช้ขนพวกเครื่องนอน ของใช้ส่วนตัวในห้องขึ้นมาจากชั้นล่าง ประภาจึงถาม
“นั่นพวกแกจะขนของพวกนี้ไปไหนน่ะ”
“อ้อ คุณท่านบอกว่าให้ทำความสะอาดห้องนั้นและจัดไว้ให้คุณเป็นเอก หลานชายฝาแฝดอีกคนค่ะ เขาจะออกจากโรงพยาบาลวันพรุ่งนี้” ใบบัวบอก ก่อนจะเดินออกไป คนอื่นๆ เดินตามไป
คล้อยหลังพวกคนรับใช้ ประภาก็แสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก
“นี่มันจะกลับมาจริงๆ เหรอ โธ่เอ๊ย” แล้วเธอก็เดินไปเคาะประตูห้องลูกชาย “ตาภู เปิดประตูให้แม่หน่อยลูก”
สักพักประตูห้องก็เปิดออก แล้วภูริชก็ถามแม่อย่างแปลกใจว่า
“มีอะไรเหรอครับคุณแม่”
“เข้าไปคุยในห้องดีกว่า” เธอบอก ก่อนจะเดินเข้าไปข้างในห้องนอนลูกชาย ภูริชปิดประตู
“คุณแม่จะบอกผมได้หรือยังครับว่ามีอะไร”
“ตอนนี้พวกคนใช้มันกำลังพากันทำความสะอาดห้องที่ถูกปิดมานานยี่สิบปี” ผู้เป็นแม่ว่า
อีกฝ่ายทำหน้างงๆ
“ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลยครับคุณแม่ พวกมันก็แค่พากันทำความสะอาดห้อง”
“มันมีอะไรมากกว่านั้นน่ะสิ”
“แล้วมันมีอะไรล่ะครับคุณแม่ ผมว่าคุณแม่พูดมาตรงๆ เถอะครับ”
“ก็คุณยายน่ะสิ สั่งให้พวกคนใช้ทำความสะอาดห้องและจัดห้องรอไอ้หลานชายฝาแฝดอีกคน และมันกำลังจะออกจากโรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้ มันจะมาอยู่ที่นี่”
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ผู้เป็นแม่บอก แทนที่ชายหนุ่มจะแสดงความไม่พอใจ แต่กลับยิ้มหน้าตาเฉย
“จริงเหรอครับคุณแม่”
“แกยิ้มทำไม มันน่าดีใจตรงไหน หา! ตาภู” ประภาถามลูกชายอย่างไม่เข้าใจ
ผู้เป็นลูกชายยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะบอกว่า
“คุณแม่ลองคิดดูสิครับ ถ้ามันมาอยู่ที่นี่ผมจะได้จัดการมันง่ายขึ้น...จัดการพร้อมกับพี่ชายฝาแฝดของมันเลย เคลียร์ทีเดียวจบ”
“ลูกของแม่นี่ฉลาดจริงๆ เลย” เธอยิ้มพอใจ “จัดการเลยลูก อย่าให้พวกมันรอดไปได้เหมือนทุกครั้งนะ”
“ครับคุณแม่ มันไม่มีทางรอดไปได้แน่นอนครับ” เขาพยักหน้า ยิ้มมุมปาก
เท่ากับว่าถ้าเป็นเอกเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ เขาจะยิ่งเข้ามาใกล้ความอันตรายมากขึ้น เพราะภูริชจ้องจะเล่นงานเขา คงไม่ปล่อยให้เขารอดไปได้อย่างแน่นอน และที่สำคัญ เขากำลังจะมาเผชิญหน้ากับคนขี้อิจฉาริษยา คนที่โลภมากอยากได้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดอีกต่างหาก เป็นอะไรที่น่าปวดศีรษะเสียจริงๆ
วันถัดมา...วันนี้คุณหมออนุญาตให้เป็นเอกออกจากโรงพยาบาลได้ คุณนภาลัย ปราภพ พรรณนิภาและปาณัทพากันมารับกลับบ้าน...แต่ก่อนจะไปเป็นเอกขอไปหาแม่เพียรของเขาก่อน เขาจะไปบอกนางว่าเขาจะไปอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงของเขาแล้ว ถึงแม้นางจะไม่รับรู้แต่เขาก็อยากบอก
“แม่ครับ...วันนี้ผมจะกลับไปอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงของผมแล้วนะครับ ไว้ผมจะมาเยี่ยมแม่บ่อยๆ แม่อยู่กับพยาบาลนะ พยาบาลเขาจะคอยดูแลแม่แทนผม” แล้วหันไปบอกพยาบาล “ผมฝากดูแลแม่ด้วยนะครับ”
“ค่ะ” พยาบาลพยักหน้ายิ้มๆ
แล้วบอกกับคนที่นอนเป็นเจ้าหญิงนิทราบนเตียง
“ผมไปก่อนนะครับแม่” เขาหันหลังเดินออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์ ทั้งที่อยากอยู่ดูแลแม่เพียรที่เลี้ยงเขามาแต่ก็ไม่สามารถอยู่ได้ เพราะตอนนี้ตัวเขาเองก็ยังบาดเจ็บอยู่ จะไปดูแลใครได้
และขณะที่เป็นเอกเดินไปออกไปหยาดน้ำใสๆ ก็ไหลออกจากดวงตาของนางเพียร นางรับรู้ทุกคำพูดที่เป็นเอกพูดกับนาง แต่แค่ไม่สามารถตอบสนองได้ก็เท่านั้นเอง ช่างน่าสงสารนางจริงๆ ที่ต้องมาเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเวรกรรมอะไรของนางนัก...แต่ถ้าเลือกได้ก็ไม่มีใครอยากมาเป็นอย่างนี้ แต่เมื่อมันเป็นแล้วก็ต้องรับชะตากรรมต่อไป
เมื่อเป็นเอกออกมาจากห้องพักฟื้นของนางเพียรก็เจอกับพ่อแม่ ย่า และพี่ชายฝาแฝดของเขารออยู่แล้ว เขาจึงบอกว่า
“ไปกันเถอะครับ”
“จ้ะ” คุณนภาลัยพยักหน้ายิ้มๆ
“เดี๋ยวฉันจะประคองนายเอง” ปาณัทอาสา
เป็นเอกรีบโบกมือ
“ไม่เป็นไร ฉันเดินเองได้”
“ต้องเป็นสิ เป็นแน่นอน...ไอ้น้องชาย” เขายิ้ม ก่อนจะกอดคอน้องชายฝาแฝดของเขา “ไปก่อนเลย” แล้วก็เดินออกไปก่อนพ่อแม่ และย่า
ปราภพมองตามลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนและพูดว่า
“ดูสิ...ดูมัน...ได้พี่น้องแล้วลืมพ่อแม่ และย่าเลย”
“แหม! เขาก็ดีใจที่ได้พี่น้องค่ะคุณ” พรรณนิภายิ้ม
“เหมือนคนกำลังเห่อน่ะ” คุณนภาลัยว่า “ไปกันเถอะ ไม่รู้ว่าทั้งสองคนเดินไปถึงไหนแล้ว”
“ครับคุณแม่” เขาพยักหน้า
แล้วทั้งสามคนก็พากันเดินออกไปทันที
รถตู้คันสีขาวแล่นเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์ของตระกูลบวรเทพ แล้วประตูรถก็เปิดอัตโนมัติ คุณนภาลัย ปราภพและพรรณนิภาลงมาก่อน ส่วนปาณัทกับเป็นเอกลงตามมา จากนั้นประตูก็ปิด
เป็นเอกมองไปรอบๆ คฤหาสน์ และมองเข้าไปข้างใน เขารู้สึกว่ามันใหญ่โตราวกับวัง ต่างจากบ้านสลัมที่เขาเคยอาศัยอยู่กับแม่เพียรหลายเท่าเลย
“นี่คือบ้านของเรา” ปาณัทบอก
อีกฝ่ายจึงถามว่า
“ทำไมมันใหญ่ขนาดนี้ล่ะ”
“ก็เพราะว่าเราอยู่กันหลายคนจ้ะ” คุณนภาลัยตอบ “ยินดีต้อนรับกลับบ้านจ้ะ”
แล้วพวกคนรับใช้ก็พากันออกมาต้อนรับสมาชิกใหม่
“สวัสดีค่ะคุณเป็นเอก” ไหว้พร้อมเพรียงกัน
เป็นเอกรีบโบกมือ
“ไม่ต้องไหว้ผมหรอกครับ”
ใบบัวจึงบอกว่า
“ไม่ได้ค่ะ คุณเป็นเอกเป็นลูกชายของคุณปราภพกับพรรณนิภา และเป็นหลานของคุณท่าน เพราะฉะนั้นก็เท่ากับว่าคุณเป็นเอกคือเจ้านายของพวกเราอีกคนค่ะ”
คุณนภาลัยจึงแนะนำคนรับใช้ให้เป็นเอกได้รู้จัก
“นี่แม่ใบบัว หัวหน้าคนรับใช้...ส่วนนั่นใบตอง เป็นสาวใช้ และนั่นนายอเนกค์ ซึ่งเป็นคนสวนและคนขับรถ” เขาชี้ไปที่นายอเนกค์ ซึ่งเอารถไปจอดที่โรงจอดเสร็จก็เดินกลับมา
เป็นเอกจึงประนมมือไหว้
“สวัสดีครับ”
“ไม่ต้องไหว้หรอก คุณก็เหมือนเจ้านายของผมอีกคน” นายอเนกค์โบกมือพัลวัน
แล้วใบบัวก็บอกว่า
“มีอะไรก็เรียกใช้พวกเราได้นะคะ”
“ครับ” เขาพยักหน้ายิ้มๆ
คุณนภาลัยหันมาทางหลานชายฝาแฝดอีกคน
“ย่าให้คนทำความสะอาดและจัดห้องนอนไว้ให้หลานแล้วนะ...ไป...เข้าไปข้างในบ้านกันเถอะ” พูดจบท่านก็เดินเข้าไปข้างในบ้านก่อน ตามด้วยปราภพ พรรณนิภา ปาณัทและเป็นเอก
เมื่อเข้าไปถึงก็เห็นเขมนันท์ ประภา และภูริชเดินลงบันไดมาพอดี...เมื่อประภาลงมาถึงชั้นล่างก็ทักหลานชายฝาแฝดอีกคน เธอแสร้งยิ้มให้
“อ้าว! ในที่สุดหลานชายฝาแฝดของอาก็ได้กลับมาหาครอบครัวสักที...หลังจากถูกพลัดพรากไปตั้งแต่ยังแบเบาะ อาก็ภาวนาให้พี่ปราภพตามหาหลานจนเจอ แล้วก็เจอจริงๆ อาดีใจเหลือเกิน”
“เอ้อ...” เป็นเอกมองคนพูดอย่างแปลกใจ เพราะยังไม่รู้จัก
คุณนภาลัยจึงแนะนำ
“เอ้อ นี่คุณอาประภา เป็นคุณอาแท้ๆ ของหลาน...ส่วนนั่นเขมนันท์ เขาเป็นอาเขย และนี่ภูริช เป็นลูกชายของอาภา อายุไล่เลี่ยกับหลาน”
ชายหนุ่มจึงประนมมือไหว้
“สวัสดีครับ”
ผู้เป็นอาแท้ๆ กับอาเขยทำเป็นรับไหว้
“สวัสดีจ้ะ ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะจ๊ะ”
“ครับ” เขาพยักหน้า
“เอ้อ ตาป้อง...พาตาเอกไปที่ห้องนอนหน่อยสิ” ปราภพบอกลูกชาย
ปาณัทพยักหน้ารับ
“ครับคุณพ่อ” ก่อนจะพูดกับน้องชายฝาแฝดว่า “ไป...ฉันจะพานายไปที่ห้อง”
อีกฝ่ายได้แต่พยักหน้าอย่างเดียว แล้วทั้งสองคนพี่น้องฝาแฝดก็เดินขึ้นบันไดไป
เมื่อคล้อยหลังลูกชายทั้งสองคนปราภพก็ถามน้องสาวว่า
“แกดีใจที่หลานชายฝาแฝดอีกคนกลับจริงๆ หรือเปล่า”
“จริงสิคะ” เธอยิ้ม “ดูเหมือนว่าพี่ปราภพกำลังจับผิดภาอยู่นะคะ”
“ก็แกชอบทำตัวมีพิรุธ” ผู้เป็นพี่ชายว่า
ประภาจึงหันไปทางผู้เป็นแม่
“คุณแม่ดูสิคะ พี่ปราภพว่าภาชอบทำตัวมีพิรุธ”
คุณนภาลัยมองลูกสาวอย่างเอือมระอา ก่อนจะบอกกับลูกสะใภ้ว่า
“พาแม่ขึ้นไปบนห้องหน่อยยายพรรณ”
“ค่ะคุณแม่” พรรณนิภาพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะประคองแม่สามี “ไปค่ะคุณแม่” แล้วประคองขึ้นบันไดไปทันที
ประภาตะโกนตามผู้เป็นแม่
“คุณแม่คะ จะรีบไปไหนล่ะคะ มาช่วยภาก่อน”
“คุณแม่เขาเอือมระอาแกแล้วยายพรรณ แกรู้ตัวหรือเปล่า” พูดจบเขาก็เดินออกไป
ผู้เป็นน้องสาวมองตามพี่ชายอย่างไม่พอใจ
“คิดว่าตัวเองเป็นลูกคนโปรดของคุณแม่...ทำตัวโดดเด่น สักวันภาจะทำตัวโดดเด่นบ้าง เอาให้คุณแม่ลืมพี่ไปเลย”
“คุณแม่อย่าไปยอมคุณลุงนะครับ” ภูริชว่า
ส่วนเขมนันท์ก็ยุแยง
“คุณต้องไม่ยอมแพ้พี่ปราภพนะคุณภา อย่ายอมให้ทรัพย์สมบัติไปตกอยู่ในมือพี่ปราภพคนเดียวนะ”
“แน่นอน...เรื่องทรัพย์สมบัติฉันไม่มีวันยอมพี่ปราภพ ถ้าจะให้ฉันลงแข่งเพื่อแย่งฉันก็จะลง” สายตาของเธอในยามนี้จะเห็นได้ว่าแข็งกร้าวมาก อยากแต่จะเอาชนะพี่ชายเรื่องทรัพย์สมบัติของตระกูล โดยไม่สนใจว่าจะผิดหรือถูก ขอให้ได้มาก็พอ
เมื่อเข้ามาในห้องนอนส่วนตัวที่ผู้เป็นย่าสั่งให้คนรับใช้ทำความสะอาดและจัดไว้ให้ เป็นเอกก็เดินสำรวจรอบห้อง รวมถึงห้องน้ำ
“ทำไมห้องนอนมันใหญ่แบบนี้ล่ะ” เขาถามพี่ชายฝาแฝดเมื่อเดินออกจากห้องน้ำ
ตอนนี้ปาณัทนั่งอยู่บนเตียงนอน เขาจึงตอบคำถามน้องชาย
“แล้วนายชอบไหมล่ะ”
“ฉันว่ามันแปลกๆ”
“นายอาจจะยังไม่ชินกับการอยู่ในที่กว้างใหญ่เช่นนี้ เพราะนายเคยอยู่แต่ห้องเล็กๆ เท่ารูหนูในสลัม แต่อยู่ๆ ไปเดี๋ยวนายก็ชินเองแหละ”
“อืมม์” ชายหนุ่มพยักหน้า
แล้วปาณัทก็ลุกขึ้น
“นายพักผ่อนเถอะ...อ้อ ที่นี่เขาทานอาหารเช้าเวลาแปดโมงตรง และอาหารเย็นเวลาหนึ่งทุ่มตรง”
อีกฝ่ายพยักหน้าอีกครั้ง แต่ไม่พูดอะไร
ผู้เป็นพี่ชายจึงบอกว่า
“ถ้างั้นฉันไปก่อนนะ” แล้วเดินออกไป
คล้อยหลังพี่ชายฝาแฝด เป็นเอกก็พูดขึ้นว่า
“แม่ครับ...ผมมาอยู่ที่นี่...มันต่างจากอยู่ที่ชุมชนคลองรักษ์ ที่นั่นเป็นชุมชนแออัด แต่ที่นี่มันกว้างใหญ่ไพศาล บ้านหลังใหญ่เหมือนพระราชวัง แต่ดูทุกคนที่นี่ใจดีมาก และผมจะพยายามทำตัวให้ชินกับครอบครัวของผม แต่ผมก็จะไม่มีวันลืมแม่เพียรคนที่เก็บผมไปเลี้ยง ผมจะคิดถึงแม่เสมอ...และจะไม่มีวันลืมข้าวแดงแกงร้อนที่แม่เคยให้ผมกินตลอดยี่สิบเจ็ดปีที่ผ่านมา ผมรักแม่นะ”
ตอนนี้เขายังไม่ชินกับการอยู่บ้านหลังใหญ่ ปกติเคยอยู่แต่ในชุมชนแออัด ที่ชุมชนคลองรักษ์...เขายังคิดถึงที่นั่น ที่ที่เขาจากมา...ที่ที่เติบโตมา เขาจะไม่มีวันลืม และที่สำคัญ เขาคิดถึงเพื่อนสนิทอย่างนิชาภัทร ต่อไปคงจะไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกันทุกวันเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว แต่เขาสัญญาว่าจะแวะไปเยี่ยมเธอบ่อยๆ เขาเป็นคนรักษาสัญญาเสมอ...และเขาจะพยายามทำตัวให้กับบ้านหลังนี้ กับครอบครัวของเขา ครอบครัวที่เขาถูกพลัดพรากจากไปนานมาก วันนี้เขาได้กลับมาแล้ว...และหงส์อย่างเขาก็ได้กลับมาสู่วงศ์วานเสียที หลังจากไปเป็นกาอยู่นานหลายปีนั่นเอง
ในห้องทานอาหารของตระกูลบวรเทพ วันนี้เป็นวันแรกที่เป็นเอกได้มาทานอาหารค่ำกับครอบครัวที่แท้จริง เพราะเพิ่งเข้ามาอยู่ แต่ชายหนุ่มไม่รู้สึกคุ้นชินกับเมนูอาหารบนโต๊ะเอาเสียเลย ตอนอยู่ที่ชุมชนคลองรักษ์ก็ทานแบบง่ายๆ หรือช่วงเช้าก่อนจะไปทำงานก็ซื้อแค่ข้าวเหนียวกับหมูปิ้งทานเท่านั้น แต่ถ้าตอนที่อยู่กับแม่เพียรบางวันก็ซื้อกับข้าวสำเร็จรูปไปทาน บางวันก็ทอดไข่และทำผัดกะเพราทาน เรียกว่าทานแบบเรียบง่ายสุดๆ
แต่ที่นี่...ครอบครัวของเขา ทานข้าวแต่ละมื้อมีเมนูอาหารเต็มโต๊ะ เมนูบางอย่างเขาเคยทำที่ร้านอาหารก็พอจะคุ้นตาบ้าง แต่ก็ไม่เคยทาน...และบนโต๊ะในขณะนี้มีเมนูอาหารนับได้สิบกว่าอย่าง แต่คนทานไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ ทำไมพวกเขาถึงทานหมด เป็นเอกก็รู้สึกสงสัย
ตอนนี้บนโต๊ะอาหารทุกคนนั่งพร้อมหน้าพร้อมตากัน มีคุณนภาลัย ปราภพ พรรณนิภา ประภา เขมนันท์ ปาณัท เป็นเอก และภูริช...ส่วนปาณัทกับเป็นเอกนั่งใกล้กัน เพราะผู้เป็นพี่ชายฝาแฝดจะช่วยแนะนำเรื่องการจับช้อนทานข้าวแบบผู้ดี
“เวลานายจับช้อนทานข้าว...นายต้องจับแบบนี้นะ เป็นเอก” พร้อมกับทำให้ดู
อีกฝ่ายลองทำตาม แต่รู้สึกไม่ถนัด
“ทำไมฉันรู้สึกว่ามันยากจัง”
“ไม่ยากหรอก...ลองทำไปเรื่อยๆ” ปาณัทบอกยิ้มๆ
แล้วคุณนภาลัยก็บอกว่า
“ค่อยๆ ฝึกไปนะ เดี๋ยวก็เป็นเองจ้ะ...ไม่ต้องรีบ”
“ให้เวลาหลานหน่อยเถอะค่ะคุณแม่...เขาอาจจะเคยอยู่แบบติดดิน ทานง่ายๆ ไม่เหมือนแบบผู้ดีค่ะ” ประภาจงใจพูดแทงใจดำเป็นเอก แอบยิ้มสะใจ
เมื่อเป็นเอกได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเศร้า ทำไมทานข้าวแบบผู้ดีมันยากจัง ต้องฝึกนานไหมถึงจะเป็น แค่เขาคิดก็รู้สึกปวดศีรษะแล้ว
“นี่! ยายภา...ถ้าพูดแล้วไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นก็เงียบไปเลย” ปราภพตำหนิน้องสาว
คนถูกตำหนิทำหน้างอใส่พี่ชาย
“พี่ปราภพ...”
คุณนภาลัยรีบห้ามทั้งสองคนพี่น้อง
“หยุดๆ พอได้แล้ว ทานข้าวกันได้แล้ว ไม่ต้องเถียงกัน” ก่อนจะหันไปทางเป็นเอก “วันแรกหลานจะจับช้อนทานยังไงก็ได้...จะจับช้อนทานแบบตอนอยู่สลัมก็ทำไปเถอะ ย่าอนุญาต”
“เอ้อ...ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มประนมมือไหว้
แล้วปาณัทก็บอกน้องชายฝาแฝดว่า
“เมนูอาหารพวกนี้นายอาจจะยังไม่เคยทาน...แต่ถ้านายลองทานแล้วนายจะติดใจนะ”
อีกฝ่ายพยักหน้า แต่ไม่พูดอะไร
ปราภพจึงบอกกับทุกคน
“เอ้าๆ ทานข้าวกันเถอะ”
แล้วทุกคนก็ลงมือทานข้าวทันที แต่เขมนันท์ ประภาและภูริชทานอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ นอกนั้นทานอย่างเอร็ดอร่อย...แล้วปาณัทก็ตักเมนูเด็ดใส่จานให้น้องชาย นั่นก็คือพะแนงไก่ เป็นอาหารจานโปรดของเขาเอง
“นายลองทานพะแนงไก่ดูนะ เมนูนี้ฉันชอบมาก เผื่อนายจะชอบเหมือนกัน เพราะเราเป็นฝาแฝดกัน อ้อ อร่อยมากด้วย ทานดูสิ”
เป็นเอกพยักหน้า ก่อนจะตักเข้าปากพร้อมข้าว แล้วเคี้ยวหนุบๆ ผู้เป็นพี่ชายจึงถาม
“เป็นไง อร่อยไหม”
“อร่อยมาก” เขายิ้ม
แล้วพรรณนิภาก็บอกลูกชายฝาแฝดอีกคนว่า
“ถ้าอร่อยก็ทานเยอะๆ นะลูก...อยากทานอะไรก็ตักเอาเลยจ้ะ”
อีกฝ่ายพยักหน้าอีกครั้ง
“ครับ” ก่อนจะบอกว่า “เอ้อ...ผมอยากไปทำงานแล้วครับ”
“ยังไปทำงานไม่ได้จ้ะ เพราะแผลยังไม่หายดี เดี๋ยวแผลหายดีก่อนค่อยไปนะ” ผู้เป็นย่าบอกยิ้มๆ
“แต่...” เขาจะแย้ง
ท่านสั่นศีรษะ
“ไม่มีแต่จ้ะ รอให้แผลหายดีก่อนนะ”
“ครับ” จำต้องยอม
ประภาแอบมองครอบครัวของพี่ชายอย่างหมั่นไส้ระคนริษยา เธอคิดในใจว่า
‘มีความสุขกันดีเหลือเกินนะ สักวันเถอะ ภาจะทำให้พี่สูญเสียลูกชายสุดที่รักของพี่ทั้งสองคน พวกมันจะไม่มีวันได้ครอบครองทรัพย์สมบัติของตระกูล คนที่จะได้ครอบครองต้องเป็นตาภูคนเดียวเท่านั้น’
ความริษยารุมเร้าในใจของเธอ และจะไม่มีวันลดน้อยถอยลง ใครจะได้ดีไปกว่าเธอไม่ได้...และถ้าเธอกับลูกไม่ได้ครอบครองทรัพย์สมบัติของตระกูล ครอบครัวของพี่ชายก็อย่าหวังว่าจะได้ครอบครองเหมือนกัน เธออิจฉาริษยาได้แม้กระทั่งกับพี่ชายและหลานชายแท้ๆ ของตัวเอง เพราะคนอย่างเธอไม่เคยคิดถึงใคร นอกจากตัวของเธอเองเท่านั้น เป็นคนที่เห็นแก่ตัวสิ้นดี
แล้วการทานอาหารค่ำก็เสร็จสิ้น คุณนภาลัยจึงหันไปบอกใบบัวกับใบตอง
“เก็บจานได้...พวกฉันอิ่มแล้ว”
“ค่ะ คุณท่าน” หัวหน้าคนรับใช้รับคำยิ้มๆ
แล้วคุณนภาลัยก็หันมาทางเป็นเอก
“เป็นไง ตาเอก...อาหารอร่อยไหมจ๊ะ”
“อร่อยครับ” เขาพยักหน้ายิ้มๆ
จากนั้นคุณนภาลัย ปราภพ พรรณนิภา ปาณัทและเป็นเอกก็เคลื่อนย้ายกันไปที่ห้องโถง แต่ประภา เขมนันท์และภูริชไม่ได้ไปด้วย
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 286
แสดงความคิดเห็น