ถึงเพื่อนที่รัก จากทอม
สวัสดีเพื่อนรัก
เป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้วที่เรายุ่งการก่อร่างสร้างกลุ่มรีโวลูชันนารี เคานซิล ตอนนี้มีสมาชิกอยู่หลักร้อย พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนและมีนักเรียนอื่น ที่โคลอสเซียม ออฟ ฟรานซิสโก้เป็นสถานที่พักกลางวันแห่งใหม่ของพวกเรา ถึงจะดูเติบโตช้าแต่ก็มีพันธมิตรที่แข็งแกร่งถึง 3 กลุ่ม กลุ่มแอสโซซิเอชัน ออฟ นิวทรอลิตี กลุ่มแอนตี้ สกอลาชิปสติวเดนท์และลีก ออฟ ลิเบอรัลไลเซชัน เพราะพวกเขา สมาชิกของกลุ่มสหพันธมิตรจึงมีจำนวนสูสีกับกลุ่มฟอร์เทร็ซเซส ต้องขอบคุณเพื่อนของเรา พี่ซาคาเรียส รูบี้และวิลเลี่ยมที่ทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสาส์นและผู้สานความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มถึงแม้จะต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างมากแต่ก็ถือเป็นการเรียนรู้ที่มีค่า
นายอาจจะสงสัยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เราหมายถึงสมาชิกกลุ่มฟอร์เทร็ซเซส แน่นอนว่าหมูป่าร้ายยังคงทำหน้าที่ของมันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการรังควานในยามว่าง การทำลายข้าวของ ขูดขีดโต๊ะเรียนในยามเช้าของบางวัน การท้าดวลไม่รู้จบแต่ก็ไม่เคยสำเร็จเลย ถ้าเป็นเราที่ถูกดวล เราคงใส่มันไม่มั้ง น่าเสียดายที่พี่ซาคเป็นพวกใจเย็นจนเกินไป ตอนนี้นายอาจจะเริ่มตั้งคำถามว่าแล้วสัตว์ที่เหลือล่ะ แน่นอนสัตว์อีก 3 ตัวเคลื่อนไหวอย่างแตกต่าง เริ่มจากนกอินทรีที่ดูจะมี 2 บุคลิก ไม่รู้ว่าประสงค์ดีหรือร้าย เรื่องในวันนั้นในป่าลึกก็ยังทำให้เรารู้สึกสงสัยถึงความสัมพันธ์ของหัวหน้ากลุ่มลีก ออฟ ลิเบอรัลไลเซชันและพญาอินทรี พูดตามจริงคือมันดูจะเหมือนสปาย 2 หน้าไปหน่อยแต่เอาเถอะ ถึงอย่างไรเขาก็ดูไม่ใช่ตัวปัญหาอะไรในตอนนี้หรือบางทีอาจกำลังเสแสร้งอยู่
สัตว์ตัวถัดมาน่าสงสัยไม่แพ้พญาอินทรี เจ้าแกะตัวสูง ไม่มีท่าทีหรือการแสดงออกใดๆ ที่บ่งบอกว่าสอดคล้องกับสมาชิกคนอื่นๆ สุดท้ายคือเจ้าของดวงตาสีน้ำตาล หลุมดำที่ดูลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งนั้นแม้จะเห็นการเคลื่อนไหวในวันเจรจาสหพันธมิตรเพียงครั้งเดียวแต่รู้สึกได้เลยว่าแขนข้างใดข้างหนึ่งมีบาดแผลรอยกัดปรากฏขึ้นและมันจะไม่หายไปจนกว่าเจ้า 4 ขานั้นจะปล่อยเหยื่อที่ไร้ลมหายใจออกไปด้วยความต้องการของมันเอง สรุปแล้วก็คือผลกระทบที่ปรากฏเป็นระยะๆ ในตอนนี้คือซีสจ์และตัวตนของเขาที่กำลังคุกคามกลุ่มรีโวลูชันนารี เคานซิลตลอดเวลา
จริงๆ แล้วยังมีเรื่องอีกมากมายเลยนะที่เราอยากเขียนถึงแต่กลัวว่านายจะไม่มาเพราะงั้นเอาเป็นว่าเรื่องที่เหลือไว้มาฟังจากปากของเราก็แล้วกัน ถือเป็นตัวประกันที่ดี นายคิดว่างั้นไหม?
“ฝ่าบาท ได้เวลาแล้วขอรับ” ซาคาเรียสเอ่ยผ่านประตูหน้าห้อง โทมัสบรรจงเขียนปิดกระดาษจดหมายด้วยข้อความส่งท้ายสุดท้าย
ดูเหมือนว่าเราคงต้องไปแล้ว หวังว่านายจะสบายดี
ด้วยรักจากทอม
โทมัสวางปากกาขนนกที่แท่นวางตามเดิม เขาพับกระดาษอย่างบรรจง สอดมันลงในซองจดหมายสีขาวที่ถูกเตรียมไว้และใช้ครั่งปิดผนึกและใส่เข้าไปในหีบเดินทางซึ่งซาคาเรียสเป็นผู้ลำเลียงออกจากห้องไปที่ด้านหน้าพระราชวัง มีกลุ่มนางกำนัลยืนผู้ยืนด้านหลังของหญิงสาวผู้แต่งกายในชุดเดรสขาวลายลูกไม้
หิมะร่วงโรยและปกคลุมไปทั่วจนทุกอย่างกลายเป็นสีขาว “โทมัส...” ลมหายใจออกของสเตฟานี่กลายเป็นไอขาวที่ลอยออกมาอย่างเป็นจังหวะ นัยน์ตาสีมุกดำจ้องโทมัสผู้กำลังเดินตรงเข้ามาหาและโดยที่ไม่ทันตั้งตัว แขนสวมกอดร่างบางของผู้เป็นมารดาอย่างอ่อนโยน สายตาของคนรอบข้างจับจ้องด้วยรู้สึกถึงความอบอุ่นที่หายไปนานจากความสัมพันธ์ของคนทั้ง 2
“มันจะต้องเป็นการเดินทางที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตของลูก....” น้ำใสเอ่อล้นขอบตาอย่างไม่อาจฝืนกลั้นได้อีกต่อไปเมื่อรู้ว่านี่จะเป็นการจากลาที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เธอจะเคยปล่อยให้บุตรชายผู้ถูกฟูมฟักราวกับไข่ในหินต้องออกไปเผชิญกับโลกภายนอกตามลำพัง
รถม้าปริศนา ไม่ใช่คันที่โทมัสคุ้นตา หยุดจอดที่ด้านล่างชานพระราชวัง มีแท่งเหล็ก 2 แท่งที่ห้อยหิน 3 ก้อนที่ปลายแหลมด้วยโซ่เหล็ก นิโคลัสกระโดดลงมาจากคานรถม้า โค้งตัวทำความเคารพโทมัสและมารดาอย่างรู้กาลเทศะ การแต่งกายของเขาในวันนี้ดูผิดหูผิดตาเป็นที่น่าสังเกตของโทมัส
“ดูแลสุขภาพด้วยนะ โทมัส” เป็นประโยคสุดท้ายที่เธอสามารถเปล่งได้ชัดเจนที่สุดเพราะหลังจากนั้นก็มีแต่เสียงสะอึกสะอื้น ซาคาเรียสแบกสัมภาระของโทมัสและตนเอง มือเขาเอื้อมไปเปิดประตู “ถ้าหากคุณซาคาเรียสเป็นผู้เปิดประตูรถม้า จะต้องทำหน้าที่นั้นตลอดระยะเวลาการทัศนศึกษานะครับ” นิโคลัสเอ่ยทีเล่นทีจริง สร้างความฉงนใจให้โทมัส “ถือเป็นหน้าที่อันมีเกียรติสำหรับผมครับ คุณนิโคลัส” ซาคาเรียสยิ้มให้นิโคลัสก่อนจะใช้มือสัมผัสบานประตูและเปิดมันออก
โทมัสขึ้นไปนั่งบนรถม้า ตามด้วยซาคาเรียสที่ยกสัมภาระขึ้นไป ประตูรถม้าปิดลงพร้อมกับภาพสุดท้ายของผู้คนที่ยืนรอการจากไปของรถม้าสีดำ โทมัสรับรู้ได้ถึงอารมณ์ทั้งความเหงา ความเศร้าและอารมณ์ไร้สีอีกมากมายบนใบหน้าของคนพวกนั้นโดยเฉพาะกับแม่ของเขา
รถม้าเข้าสู่ถนนหลักของเมืองเยนอมจึงเริ่มชะลอความเร็วและหยุดเคลื่อนที่ในเวลาต่อมา ซาคาเรียสลุกขึ้นทำท่าจะเดินไปเปิดประตูแต่โทมัสยกมือขึ้นปรามก่อนจะกระเถิบตัวไปชิดที่บานกระจกของประตู นักเรียน 10 กว่าคนที่กำลังยืนต่อแถวตรงหน้าประตูรถม้าท่ามกลางสายฝนแห่งหิมะขาวและลมหนาวภายนอก นี่เป็นเพียงการจอดรับผู้โดยสารเพิ่มแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่ารถม้าที่นั่งได้เต็มที่ 6 คนจะรับนักเรียนที่ต่อแถวยาวเหยียดขนาดนั้นได้อย่างไรให้พอ? โทมัสเขยิบตัวและสัมภาระมาชิดมุมตรงข้ามประตู พยายามทำให้มีที่ว่างให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “มีอะไรหรือครับ?” ซาคาเรียสเอ่ยถามอย่างสงสัย “มีผู้โดยสารคนอื่นจะขึ้นมาบนรถม้าครับ พี่ซาสเอาสัมภาระมาวางชิดตัวแบบผมสิครับ” ซาคาเรียสทำตามอย่างไม่มีข้อกังขา ชายขายาวย้ายที่มานั่งชิดแนบเนื้อโทมัส กระเป๋าสัมภาระของตนวางอยู่บนพื้นและใช้ขาเหยียบเอา ผ่านไปครู่ใหญ่แต่ไม่มีแววว่าประตูจะถูกเปิดออก
โทมัสลุกขึ้นไปส่องกระจกรถม้าอีกครั้ง เขาเห็นนักเรียนคนหนึ่งกำลังเปิดประตูรถม้าและเดินขึ้นมาแต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ภายในกลับตรงกันข้าม ประตูรถม้ายังคงปิดสนิทและไม่มีใครเดินขึ้นมาเหมือนอย่างที่เห็น โทมัสผละตัวออกจากบานกระจกด้วยความตกใจ ใบหน้าที่มักถูกปั้นให้ดูเรียบนิ่งไร้อารมณ์กลายเป็นใบหน้าตื่นตระหนก “มีอะไรหรือครับ?” ซาคาเรียสกำลังจะเขยิบตัวเข้าชิดประตูแต่เสียโอกาสเพราะรถม้าได้เริ่มเคลื่อนที่อีกครั้งและครั้งนี้มันไม่ได้หยุดจอดที่ไหนจนในที่สุด “ถึงที่หมายแล้ว ขอให้ทุกคนลงจากรถด้วยนะครับ” ซาคาเรียสเปิดประตูรถม้าด้วยความคุ้นชิน สิ่งแรกที่เห็นภายนอกรถม้าคือนักเรียนชายหญิงที่กำลังยืนนอกรถม้าอย่างหนาแน่น
โทมัสลงมาจากรถม้าเป็นคนสุดท้ายแต่ในขณะที่กำลังจะก้าวเดินออกไปข้างหน้า นัยน์ตาดันจับภาพทับซ้อนของชายปริศนาผู้กำลังเดินทะลุผ่านร่างตนไปราวกับกายนั้นเป็นเพียงอากาศธาตุ “ครบกันรึยังครับ?” เสียงของนิโคลัสที่กำลังยืนจังก้าหน้ารถม้าของโทมัสดึงสติโทมัสให้กลับมาก่อนจะออกเดินไปรวมกับนักเรียนคนอื่นพร้อมซาคาเรียส “คุณโทมัส พี่ซาคาเรียสทางนี้ครับ!!” โทมัสมองตามเสียงตะโกนและเห็นว่าเป็นวิลเลี่ยมและรูบี้ “พวกเราอยู่ห้อง 30 พวกคุณล่ะ?” โทมัสขมวดคิ้วเล็กน้อย “รถม้าแห่งอีเลม….หนึ่งในไอเทมเวทมนตร์ขั้นสูงของมารดาแห่งศาสตร์เวทย์ อัลเบอร์ตา มาเรียค่ะ” รูบี้เอ่ยขึ้นลอยๆ
“ตัวเลขที่วิลเลี่ยมพูดถึงคือหมายเลขห้องที่มีมากกว่า 1,000 ห้องซ้อนทับอยู่ในอีกมิติของรถม้าตัวต้น พวกคุณจำเป็นต้องจำหมายเลขห้องนะคะเพราะก่อนจะเปิดประตูรถม้าผู้จับกลอนจะต้องนึกถึงหมายเลขห้องจึงจะกลับเข้าห้องเดิมได้ค่ะ” รูบี้อธิบายต่อ “ขอบคุณครับ” โทมัสแสดงรอยยิ้มเป็นค่าตอบแทนแต่รูบี้กลับหลบสายตาเขาด้วยความเขินอาย “เอาล่ะๆ ขอให้ทุกคนฟังทางนี้สักครู่นะครับ” เสียงประกาศเรียกความสนใจของนักเรียนที่ยืนสะเปะสะปะให้หันไปมองที่ด้านหน้าของลานน้ำพุมังกร นิโคลัสกับชายปริศนาในชุดสีแดง ประดับเครื่องอิสริยยศอันสวยงามไม่ต่างจากกษัตริย์ ด้านหลังมีข้ารับใช้ผู้สวมชุดสูทดำแบบเดียวกับของผู้รับใช้แห่งราชวงศ์ฟรานซิสโก้
‘ท่านผู้นั้น?!!’ โทมัสจ้องมองไปที่ร่างปริศนานั้น ใบหน้าคมแฝงไปด้วยความดุร้ายแม้ในยามที่ริมฝีปากชิดติดกัน เส้นผมสีดำตัดยาวและไว้หนวดแค่รอบตำแหน่งริมฝีปาก นัยน์ตาสีขาวจ้องมาที่โทมัสราวกับรู้ว่ากำลังถูกจับจ้องและในวินาทีที่สายตาของพวกเขาปะทะกัน บังเกิดเป็นบรรยากาศอันแสนน่าอึดอัด
“ผมขอแนะนำท่านผู้นี้ให้พวกคุณได้ทราบ แกรนดยุคเซย์เรน ดีเรียน เกรกอรี่ เกรท ผู้ดูแลเมืองเยนอมครับ” น้ำเสียงและท่าทางที่อ่อนน้อมไม่เคยถูกแสดงให้เห็นนอกจากหญิงสาวผู้เป็นราชินีของเขตโนซาล์บ ชัดเจนว่าคนคนนี้มีอำนาจไม่แพ้เชื้อพระวงศ์ด้วยกัน “ขอบคุณเซอร์โบนกินและสวัสดีนักเรียนโรงเรียนมัธยมฟรานซิสโก้ทุกคน เราดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับพวกคุณ เหล่าเมล็ดพันธุ์แห่งมังกรไฟ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาอันมีค่าของพวกคุณ เราขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน” เกรกอรี่เล่าเรื่องราวในอดีตของเมืองเยนอม รวมไปถึงสถานที่สำคัญซึ่งถ้าไม่รวมโรงเรียนมัธยมฟรานซิสโก้และพระราชวังฟรานซิสโก้ก็จะมีตลาดเอคเนลูโปหรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าตลาดคนรวย ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือซอยแอมจินซึ่งว่ากันว่าเป็นแหล่งอาศัยของพ่อมดแม่มดและมีโบสถ์ 7 แห่งกระจายทั่วเมือง
โทมัสและกลุ่มเพื่อนลงเอยที่ด้านหน้าของบ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในโซนอาหารสำเร็จรูป มีป้ายขนาดใหญ่ ร้านน้ำผลไม้ซัวมาฟว์ ด้านในมีชุดโต๊ะและเก้าอี้ไม้ 10 ชุด ด้านในสุดเป็นที่ตั้งบาร์ไม้ มีชายร่างท้วมยืนหันหลังเลือกขวดแก้วบรรจุน้ำหลากสีบนชั้นวาง วิลเลี่ยมหาที่นั่งอย่างขันแข็งเหลือเพียงโทมัสที่ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน “โทมัสทางนี้ครับ!” เสียงตะโกนของซาคาเรียสช่วยให้โทมัสหลุดจากภวังค์และเดินตรงมาที่โต๊ะไม้ที่เพื่อนจับจองที่เรียบร้อยแล้ว เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ข้างซาคาเรียสโดยไม่กล่าวอะไร “ใครจะเอาน้ำดื่มอะไรบ้างครับ” วิลเลี่ยมถาม ซาคาเรียสสั่งสับปะรดเป็นเจ้าแรก ตามมาด้วยรูบี้ที่เอาน้ำส้มและสุดท้ายคือวิลเลี่ยมผู้สั่งน้ำสตรอว์เบอร์รี่ กระนั้นออเดอร์ของคนบนโต๊ะก็ยังไม่ครบดี
วิลเลี่ยมเหลือบมองไปที่โทมัสผู้มีใบหน้าหันออกไปทางขวามือของที่นั่ง เอาแต่จ้องมองชุดโต๊ะเปล่านั้นจนน่าสงสัย “คุณโทมัสจะรับน้ำผลไม้อะไรดีครับ?” คำถามเดิมถูกย้ำเป็นครั้งที่สองแต่ก็ยังคงไม่มีคำตอบจนกระทั่งเมื่อการถามครั้งที่สามเริ่มขึ้นเพียงครึ่งประโยค “ผมขอน้ำแอป....” โทมัสเงียบไปอีกครั้ง ใบหน้าที่ยังมองโต๊ะตัวนั้นทำให้วิลเลี่ยมเริ่มไม่สบายใจ ‘คุณลุง ผมขอน้ำมะพร้าว 2 แก้วครับ’ โทมัสกระตุกตัวลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันกับเสียงกล่าวเมื่อครู่ที่ดังราวกับเสียงกระซิบและที่สำคัญเสียงนั้นมันเป็นของ...
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 312
แสดงความคิดเห็น