การมาเยือนของคณะผู้ครองอัคคี
กระบวนการรื้อฟื้นกลุ่มจัสติคต้องใช้เวลา เริ่มตั้งแต่การติดต่อกับอาจารย์ผู้ดูแลระบบกลุ่มทั้งหมดในโรงเรียนไปจนถึงการส่งเรื่องเข้าที่ประชุมสภาโรงเรียน ในระหว่างที่รอกระบวนการรื้อฟื้นกลุ่มซึ่งหมายถึงวันนัดหมายออกเสียงอนุมัติของสภาโรงเรียนในวันจันทร์หน้า ซาคาเรียสและกลุ่มเพื่อนร่วมมือกับเดวิดในการช่วยเหลือความเป็นอยู่ของนักเรียน ณ โรงอาหารตะวันตก แม้จะไม่ใช่ด้วยเม็ดเงินแต่ก็ด้วยแรงและหยาดเหงื่อกับการตัดหญ้าที่ขึ้นรกให้หมดไป ช่วงเวลาที่เคลื่อนผ่านแม้จะร้อนระอุในยามเช้าและสายแต่ก็รู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
โทมัสที่เดินออกไปพักใต้ร่มเงาของผืนป่า ลึกเข้าไปไม่ไกลจากอาณาเขตโรงอาหารตะวันตก ออกนอกเส้นทางที่ใช้ในการเดินทางมาโรงอาหาร เขานั่งพักอย่างเหนื่อยล้า ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาทำงานใช้กำลังในวันหยุดแบบนี้แต่ก็ดีไปอีกแบบ วันนี้วันอาทิตย์แล้วและมันน่าสนใจตรงที่หลังจากวันนั้นก็ไม่เห็นถึงการคุกคามจากกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสอีกเลย ไม่รู้ว่าเพราะไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่หรือไม่ใส่ใจกันแน่
โทมัสเอนตัวลงไปกับพื้นดิน เผลอหลับตาลงไปชั่วขณะ ปล่อยให้ร่างกายที่ยังคงรับรู้ถึงความร้อนระอุได้พักผ่อน เสียงนกร้องเพลงภายในป่าช่วยผ่อนคลายใจเป็นอย่างดีแต่เพียงครู่เดียว เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเขาได้ยินเสียงเหมือนกับเสียงหัวเราะที่ดังเพียงชั่งวินาทีสั้นๆ นัยน์ตาสีขาวลืมขึ้นทันใด เขาลุกขึ้นนั่งและหันมองไปโดยรอบอย่างสงสัย ไม่เห็นอะไรนอกจากความว่างเปล่าภายในป่าและท่อนไม้สีหม่น พอหลับตาลงไปได้อีกสักพักเสียงแว่วเดิมก็กลับมาดังที่ข้างหูอีกครั้ง โทมัสลุกขึ้นและเดินสำรวจโดยรอบ เหลือบมองซ้ายทีขวาทีก็ยังไม่เห็นสิ่งแปลกใดกระนั้นก็ยังคงเดินต่อไปโดยให้ความสงสัยนำทางลึกเข้าไปในป่าที่ที่เสียงน่าสงสัยเริ่มดังชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จากการเดินทิ้งน้ำหนักเปลี่ยนเป็นการย่องเบาและเลี่ยงที่จะเหยียบกิ่งหรือใบไม้แห้งเพราะคิดว่าเสียงเพียงนิดเดียวที่เขาทำโดยไม่ได้ตั้งใจอาจจะทำให้เจ้าของเสียงในป่ารับรู้ตัวได้
ที่สุดก็มองเห็นลานโล่งภายในป่า มันเป็นอาณาเขตที่ต้นไม้ไม่หนาแน่น เหมือนกับมันถูกทำให้แหว่ง ที่นั่นโทมัสเห็นนักเรียนหลวงแปลกหน้าหลาย 10 คนที่กำลังใช้ขวานจามท่อนซุงอย่างต่อเนื่อง ด้านหลังของพวกเขาคือกองซุงขนาดใหญ่ มีหลายแผนกที่นี่ ทั้งฝ่ายส่งต่อไม้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปให้อีกแผนกที่กำลังใช้มันประกอบโต๊ะขึ้นมาใหม่ โทมัสหลบอยู่หลังพุ่มไม้ไม่ไกลจากจุดที่เขากำลังมองเห็นกิจกรรมเหล่านั้น ที่นี่ไม่ได้มีแค่นักเรียนหลวงแต่มีนักเรียนทุนปะปนอยู่กับกลุ่มคนพวกนี้ด้วยและ 2 ในนั้นเขาเห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นแฟรงก์ลินและเดวิดที่กำลังยืนคุยกัน
“ผมรู้สึกเกรงใจเหลือเกินที่เห็นคุณและคนของคุณต้องมาทำงานให้พวกเราแบบนี้” เดวิดไม่เพียงแต่มีรอยยิ้มที่แสดงบนใบหน้าอย่างอ่อนโยนแต่น้ำเสียงของเขาแสดงออกว่าเคารพในตัวของแฟรงก์ลินมากไม่ต่างจากผู้มีพระคุณ “ผมเบื่อนะครับที่ต้องมาฟังคุณพูดคำเดิมๆ ทุกวันที่เจอกันแบบนี้” แฟรงก์ลินหัวเราะที่ช่วยลดบรรยากาศตึงเครียดลง “จากนี้ไปไม่ต้องมาแล้วนะครับ” น้ำเสียงและท่าทางของเดวิดทำให้แฟรงก์ลินถึงกับชะงักขวานที่ง้างอยู่กลางอากาศไปชั่วขณะแต่ไม่นานก็จามมันลงไปจนได้ “ล้อเล่นอะไรอีกล่ะครับทีนี้” เป็นโทนเสียงสบายๆ ตามนิสัยแต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าจริงจังไม่เปลี่ยนจึงหยุดกิจกรรมและหันไปหาเดวิดด้วยสายตาที่ดุดันไม่แพ้กัน
“ผมรู้ดีว่าการที่คุณมาที่นี่เป็นความลับที่ไม่อาจปล่อยให้หลุดรั่วได้เพราะไม่เช่นนั้นคุณพ่อของคุณและรวมไปถึงเจ้าหมาป่าดำนั่นอาจจะใช้จุดนี้เล่นงานคุณได้ครับ” เดวิดกล่าวอย่างเป็นห่วงเป็นใย แฟรงก์ลินคลายสีหน้าตึงเครียดทันใด “เรื่องนี้นี่เอง จะเป็นอะไรไปล่ะครับ พวกเขาไม่รู้หรอก...” “ไม่ได้ครับ มันเสี่ยงเกินไป อีกอย่างตอนนี้ทางผมก็มีเจ้าชายและกลุ่มจัสติคคอยช่วยเหลือแล้วและที่ผ่านมาพวกคุณก็ทำให้พวกเรามาเยอะมากแล้ว” เดวิดกล่าว “แค่นี้มันก็มากเกินพอสำหรับพวกเราแล้วครับ อย่าทำให้ตัวเองต้องลำบากเลยและอีกอย่าง” เดวิดหยุดกล่าวไปครู่หนึ่ง “จากนี้ไปพวกเราก็ต้องต่อสู้กันในสังเวียนเพื่อชิงอำนาจของสภานักเรียน” เดวิดกำมือแน่น “ผมไม่อยากรู้สึกแย่ที่ต้องต่อสู้กับคุณในการเลือกตั้งหากคุณยังทำดีกับพวกเราแบบนี้ครับ” มือที่กำแน่นจนสั่นอยู่ๆ สัมผัสได้ถึงความอุ่นจากมือของใครอีกคน แฟรงก์ลินสัมผัสที่กำปั้นข้างนั้น รอยยิ้มที่หวานเกินชายและทรงเสเน่ห์ของเขาทำให้เดวิดรู้สึกไขว้เขวแม้อีกฝ่ายจะไม่กล่าวอะไรออกมาเลยนอกจากรอยยิ้มแห่งความเป็นมิตร
ณ โรงอาหารตะวันตก ในช่วงเวลาที่หลายคนกำลังยุ่งๆ จนลืมคิดไปว่ามีใครคนหนึ่งที่หายไป ซาคาเรียสมีอาการหวาดวิตกทันทีที่วิลเลี่ยมเดินมากระซิบที่ข้างหูว่าโทมัสได้หายตัวไปได้สักพักแล้ว ปกติแล้วเขากับเจ้าชายเย็นชาไม่เคยแยกจากกันสักวินาที กระนั้นเขาก็ไม่สามารถตะโกนโหวกเหวกโวยวายเหมือนที่เคยทำประจำเพราะหญิงสาว 2 คนที่คอยเดินตามเป็นองครักษ์ส่วนตัวตลอดเวลา “ฝ่าบาท มีอะไรหรือเพคะฝ่าบาท?” จูปิตันเอ่ยถามหลังจากที่วิลเลี่ยมวิ่งจากไปแล้วเพราะสีหน้าที่เปลี่ยนไปหลังจากการกระซิบมันน่าสงสัยสุดๆ “ไม่มีอะไรครับ พวกเราไปพักกันก่อนดีไหมครับ?” ซาคาเรียสทิ้งเคียวไว้บนพื้นและออกวิ่งไปที่อีกฝั่งของวิลเลี่ยมอย่างร้อนรน ทิ้งให้จูปิตันและโรซาลินต่างมีสีหน้าสงสัยกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเขา
จูปิตันเมื่อเห็นโรซาลินก็ถึงกับเบะปากแต่เมื่อหันหลังและก้าวตามซาคาเรียสไปได้เพียงชั่ววินาทีเหมือนเธอจะคิดอะไรบางอย่างออกจึงหันกลับไปแต่กลับพบว่าสิ่งที่เธอกำลังมองหามันหายไปจากที่ที่มันควรอยู่แล้ว “เอ๊ะ?!” จูปิตันอุทานเพียงเท่านั้นก็รู้ได้ทันทีแล้วว่าตัวเองพลาดอะไร ด้วยสัญชาตญาณผู้หญิงทำให้เธอมองออกไป ไม่ไกลกันนั้นเธอเห็นโรซาลินที่กำลังเดินเข้าหาซาคาเรียส ที่สำคัญมือทั้ง 2 ข้างของเธอถือเคียวอยู่ซึ่งมันเป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด “รอด้วยสิ!!” จูปิตันตะโกนแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้คิดจะหยุดรอแถมยังเดินไวขึ้นกว่าเดิม
อีกฟากหนึ่ง วิลเลี่ยมที่กำลังเดินหาตามชายป่าสุดท้ายก็เจอตัวต้นเรื่องที่กำลังนอนหลับอย่างสบายใจอยู่บนพื้น วิลเลี่ยมถอนหายใจเฮือกใหญ่ กระนั้นเขาก็ไม่ได้คิดจะรบกวนการนอนหลับของโทมัสเพราะใบหน้าเรียบนิ่งแม้ในยามหลับมันทำให้เขาเริ่มสงสัยบางอย่าง วิลเลี่ยมเอนกายลงนอนไม่ห่างจากโทมัส สัมผัสถึงไอเย็นจากผืนป่าผ่านแผ่นหลังที่ทาบอยู่บนพื้น ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมโทมัสถึงหลับได้อย่างสบายใจแบบนี้
ลืมตาขึ้นอีกครั้งพบว่าโทมัสได้หายไปแล้ว วิลเลี่ยมรีบลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ มองออกไปเห็นนักเรียนที่ยืนกระจายกันเป็นหย่อมๆ และหนึ่งในนั้นคือโทมัสที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากซาคาเรียส เห็นแบบนั้นก็ค่อยโล่งใจขึ้นมาแปลกๆ แต่พอคิดจะลุกจากที่ เขารู้สึกขนลุกและตกใจอย่างสุดขีดที่ไหล่ของเขาถูกสัมผัสด้วยมือปริศนาของใครจนเผลออุทานออกมาด้วยความตกใจ เจ้าของมือเรียวเล็กนั้นคือนักเรียนหญิงปริศนาผู้มีผมสีรวงข้าว เธอจ้องหน้าวิลเลี่ยมที่กลับมามีสีหน้าปกติอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปในป่าโดยที่ตัวของวิลเลี่ยมเองก็ลุกขึ้นเดินตามไปด้วย RUBY AND WILLIAM WENT TO TALK ABOUT IF SHE MUST BE PRESENTING IN THE SCHOOL SUPREME COUNCIL DURING THE VOTE FOR RENEWAL OF THE JUSTICE.
ช่วงเวลาวันหยุดเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากเข็มนาฬิกาบนหน้าปัด กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ลืมตาขึ้นมาแล้วพบห้องสี่เหลี่ยมของรถม้าที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว “ขอให้เช้านี้เป็นวันที่ดีอีกวันนะครับ” ซาคาเรียสควบบังเหียนรถม้าอย่างระมัดระวัง เขายังจำใบหน้าของโทมัสก่อนขึ้นรถม้าได้ดี สีหน้าของเจ้าชายเย็นชาวันนี้ดูไม่สู้ดีนักและมันทำให้เขาไม่สบายใจไปด้วย
เมื่อมาถึงที่ชั้นบนสุดของอาคารไวเวิร์น มันคือที่ตั้งของหอประชุม ลักษณะเป็นห้องโถงซึ่งมีความสูงมากกว่าปกติ กึ่งกลางคือพื้นยกระดับที่รายล้อมโดยเก้าอี้ไม้พบได้ในห้องเรียนทั่วไปนับพัน มีโต๊ะไม้ทรงโดนัทที่ถูกกัดแหว่งกับเก้าอี้ไม้สลักอย่างสวยหรู 6 ตัวและบัลลังก์ทองคำที่มีลักษณะของมังกรที่กำลังสยายปีก ทายาทแห่งกลุ่มจัสติคยืนอยู่ในโต๊ะทรงโดนัทอย่างอุดอู้ ต่างคนต่างก็มีสีหน้ากระวนกระวายใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
โทมัสมองรอบห้องอย่างสุขุมแต่ไม่วายที่สายตาจะเหลือบมองที่นักเรียนสาวที่เขาไม่รู้จัก เส้นผมสีรวงข้าวที่มัดเป็นหางม้า ใบหน้าจิ้มลิ้มและหวานราวกับดอกไม้แรกแย้มทำให้ผู้มองเหมือนถูกสะกดอยู่ใต้ทุ่งสีทองอร่ามพร้อมเก็บเกี่ยว ชั่งน่าตลกที่เขาได้ยินชื่อของเธอมาก็พักหนึ่งแต่ไม่เคยรู้เลยว่าเธอคือทายาทของผู้ก่อตั้งกลุ่มจัสติคเหมือนกันและถ้าไม่ใช่เพราะโอกาสแบบนี้เขาก็คงไม่ได้เห็นหน้าเธอได้ชัดเจนถึงขนาดนี้และดูเหมือนว่ารูบี้เองก็จะรับรู้ว่าตัวเองถูกจ้องอยู่แต่ใบหน้าของเธอกลับยังคงนิ่งดั่งน้ำแข็ง ออกจะดูเกร็งๆ เสียด้วยซ้ำ
มองอยู่พักหนึ่งจึงเบนสายตาไปที่บานประตูไม้ที่ยังคงไร้วี่แววของผู้ที่จะเปิดประตูเข้ามาและเมื่อกำลังจะละสายตาจากบานประตู มันกลับถูกเปิดออกอย่างน่าขนลุกพร้อมปรากฏนักเรียนชายและหญิงที่กำลังเดินเข้ามาและจับจองที่นั่งอย่างเป็นระเบียบ ไร้ซึ่งเสียงสนทนา มีเพียงเสียงเลื่อนเก้าอี้ที่ดังเป็นระยะ ใช้เวลาไม่นานก่อนที่เก้าอี้ว่างทั้งหมดจะถูกเติมเต็มจนเหลือเพียงเก้าอี้ 4 ตัวที่อยู่แถวหน้าสุดซึ่งยังไม่มีใครจับจอง
เวลาเดินผ่านไปอย่างช้าๆ สร้างความกดดันให้สมาชิกกลุ่มจัสติคเป็นอย่างมากและในที่สุดนักเรียนผู้สวมผ้าคลุมที่มีลายถักรูปสัตว์แตกต่างกันออกไป 4 ชนิด ลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าแข็งทื่อ ดวงตามองตรงไปที่เวทียกระดับด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร ทำเอาหัวใจของผู้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายตาเหล่านั้นเต้นแรงไม่เป็นจังหวะแต่ก็ยังไม่เท่ากับเสียงหัวใจของโทมัสที่เต้นเร็วขึ้นในขณะที่มองเห็นกลุ่มนักเรียนเดินผ่านบานประตูเข้ามา 1 ในนั้นแสยะยิ้มให้พวกเขาในขณะที่เดินเข้าใกล้กับเวทีและเขาคือแฟรงก์ลิน
เมื่อนักเรียนกลุ่มสุดท้ายนั่งลงประจำที่เรียบร้อยแล้ว นักเรียนที่ยืนอยู่ก่อนหน้าจึงพากันนั่งลงอย่างพร้อมเพรียงอีกครั้งพร้อมกับบรรยากาศเงียบงันที่เข้าครอบงำห้องประชุมอีกครั้ง ‘อึดอัดเป็นบ้าเลยแฮะ’ วิลเลี่ยมเชื่อว่าไม่ได้มีแค่เขาที่รู้สึกเพราะสีหน้าของเพื่อนที่เหลือก็ไม่ได้แตกต่างมากแต่เพียงชั่วอึดใจก็ได้เกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติขึ้นต่อหน้าพวกเขาที่ยืนอยู่ในวงล้อมของโต๊ะ “เฮ้ย/ว๊าย!!” ซาคาเรียสและรูบี้อุทานเสียงหลงที่เห็นเก้าอี้ทั้ง 6 ตัว กำลังลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีแดง แม้โทมัสจะไม่ได้อุทานออกมาเป็นคำพูด ใบหน้าของเขาเสียความสุขุมไปชั่วขณะ มีสิ่งหนึ่งที่เขาสังเกตได้นั่นคือความผิดปกติของนักเรียนด้านล่างผู้มีใบหน้าเรียบนิ่งกับเหตุการณ์ประหลาดที่กำลังเกิดขึ้น
โทมัสพยายามควบคุมสติและยื่นมือไปจับแขนของซาคาเรียสและรูบี้ จะว่าไปดูจะมีแค่วิลเลี่ยมที่คุมสติได้ดีมากอย่างกับว่าเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้อยู่บ่อยๆ ไฟที่กำลังลุกไหม้เริ่มปรากฏเรือนร่างโปร่งใสของมนุษย์ในท่าที่กำลังนั่งพิงเก้าอี้ มันชัดเจนขึ้นจนกระทั่งเห็นเป็นรูปร่างของมนุษย์ผู้มีเนื้อหนังและไม่ได้กำลังถูกเผาผลาญโดยอำนาจแห่งไฟ ยิ่งภาพชัดเจนมากเท่าไหร่ เปลวไฟก็ยิ่งอ่อนกำลังลงเท่านั้นและเมื่อพวกมันดับลง พวกเขามองเห็นอย่างชัดเจนร่างของบุรุษทั้ง 6 ผู้หนึ่งในนั้นเรียกความสนใจของโทมัสได้เป็นอย่างดี ร่างของชายวัยกลางคนผู้นั่งตัวตรง มือกอดอกแน่น ใบหน้าเข้มขรึมนั้นกำลังมองมาที่เขาอย่างน่าสงสัย
‘อาจารย์เดเมียน?’
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 345
แสดงความคิดเห็น