บทที่ 3 พฤกษาล่าเนื้อ
บทที่ 3 พฤกษาล่าเนื้อ
พิธีศพสมาชิกในกลุ่มอาร์กถูกจัดอย่างเรียบง่าย โรสยอมควักเงินส่วนตัวจ่ายค่าจัดงานทั้งหมด และจ้างคนนำเถ้าพวกเขาส่งกลับสู่บ้าน
น่าสงสารเหล่าญาติที่รอการกลับไปของพวกเขา แม้ควรทำใจยอมรับความเสี่ยงจากการทำงานนี้ตั้งแต่แรกแล้วก็ตาม
ไม่เหมือนเธอ... ซึ่งไม่เหลือใครให้ต้องห่วงใยในความรู้สึกนัก
หญิงสาวทอดถอนใจพลางขยับเท้า เธอเข้าสถานพยาบาลรักษาข้อเท้าจนบรรเทาขึ้นมาก วันนี้จึงตั้งใจว่าจะออกเดินทางตามหาเจ้าปีศาจเหยี่ยวดำอีกครั้ง
ดังนั้น โรสจึงขอทิ้งทวนหาของอร่อยกินให้อิ่มหนำสำราญ เผื่อต้องไปอดอยากระหว่างการเดินทางเสียก่อนเถอะ
ระหว่างเดินทอดน่องจากตลาดกลับที่พักโดยหอบอาหารจำพวกขนมหวานเต็มอ้อมแขน หญิงสาวสังเกตเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังยืนรุมล้อมมุงดูบางสิ่งบริเวณลานกว้างย่านที่พักเช่าอาศัย ความอยากรู้อยากเห็นเป็นตัวชักนำโรสให้เข้าไปดูบ้าง เธออ้าปากค้างเมื่อได้เห็นเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ มันมีใบหน้าและลำตัวยาวคล้ายกิ้งก่าขนาดใหญ่ กะแล้วต้องใช้ผู้ชายร่างกายกำยำราวห้าคนถึงโอบรอบ ผิวหนังขรุขระสีน้ำตาลคล้ำตลอดตัว ปีกคล้ายค้างคาวและหางยาวแหลมของมันกำลังกระพือพัดแกว่งไกวจนเกิดเป็นคลื่นลมขนาดย่อม รอยยิ้มยามแยกเขี้ยวไม่น่าประทับใจ ไม่ชวนให้เด็ก สตรีและคนชรานึกอยากจะเข้าใกล้ไปเอ็นดูเท่าใดนัก กระนั้นก็ยังมีคนจำนวนมากที่อดรนทนไม่ได้ต่อความใคร่รู้ พากันมามุงดูไม่ขาดสาย พร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงม
“ตัวอะไรเนี่ย!”
โรสเป็นหนึ่งในคนที่พ่ายแพ้ต่อความใคร่รู้ เธอแหวกฝูงชนจนได้มายืนประจันหน้าสบตากับมัน และเหมือนคำถามที่ไม่ได้เจาะจงให้ใครมาตอบจะมีผู้ต้องการสนอง ชายวัยกลางคนข้าง ๆ หันมาฉีกยิ้มให้อย่างยินดีที่จะได้บอกเล่าข่าวสารซื่งตนก็เพิ่งได้รู้ไม่ถึงครึ่งวันให้คนแปลกหน้าฟัง
“มังกรน่ะ มันเป็นพาหนะขึ้นชื่อจากทวีปทางเหนือเชียวนะ ที่นั่นเชี่ยวชาญเรื่องการเพาะพันธุ์มังกรสำหรับการใช้งานทั่วไปและในสงคราม ข้าไม่นึกเลยว่าราชาแห่งมิเนอร์เวียนจะกล้าลงทุนสั่งซื้อมันมา เพราะราคาของมังกรตัวหนึ่งเอาไปซื้อปราสาทขนาดเล็กได้เลยทีเดียว ยิ่งค่าขนส่งนี่แพงลิบ แล้วนี่มีเป็นสิบตัว!”
โรสพยักหน้าหงึกหงักรับท่าทางตื่นเต้นของคนเล่า ราวเขาเองจะได้เป็นผู้หนึ่งที่ครอบครองเจ้ามังกร หญิงสาวไม่สนใจฟังเขาจ้อต่อ แต่มองเลยไปสำรวจเจ้ามังกรทั้งหลาย บนหลังของมันผูกอานไม้ไว้ทำเป็นแท่นสำหรับคนยืนถือบังเหียน ด้านหลังมีที่นั่งเป็นตั่งเตี้ยกว้างพอสำหรับสองคน โอบล้อมด้วยกระบังกันตก นอกจากจะมองสำรวจตัวมังกรแล้วโรสยังสำรวจกลุ่มคนที่มากับมันด้วย บางคนกำลังดูแลให้อาหารมังกร บางคนยืนจับกลุ่มพูดคุยกัน หลายคนในนั้นโรสจำได้ว่าเป็นทหารจากหลาย ๆ หน่วยของมิเนอร์เวียน และหนึ่งในนั้นก็ดันมีคนที่เธอไม่อยากเจอเสียด้วย
บุรุษหนุ่มผู้มีเรือนผมสีม่วงประกายแดงสะดุดตากำลังเดินเข้ามาหา เขาส่งรอยยิ้มโปรยเสน่ห์มาให้ โรสขนลุกอย่างบอกไม่ถูก นึกอยากเอาถังน้ำดื่มของเจ้ามังกรมาครอบหัวเขาดูสักที เผื่อจะกันสายตาหวานเลี่ยนนั่นไปได้บ้าง
“สวัสดีคนสวย ไม่ได้พบกันเสียนาน รู้ไหม ข้าคิดถึงเจ้าอยู่ทุกคืนวัน ไม่ว่ายามหลับยามตื่น หัวใจของข้ามันแสนหดหู่ทรมานเมื่อไม่ได้พบเจ้า แล้วเจ้าล่ะ...คิดถึงข้าบ้างหรือไม่” ชายหนุ่มทำเสียงออดอ้อนจนโรสขนลุกชันยิ่งกว่าเดิม
“ไม่เลย เซเบียส ข้ามีความสุขและอยู่สบายดีทุกวันที่ไม่ได้เห็นหน้าเจ้า จนกระทั่งวันนี้” โรสยิ้ม เธอตอบตามความจริงที่คิดในใจ ใช่! เธอไม่เคยตอบใครได้จริงใจเท่านี้มาก่อนเลย
หญิงสาวคาดหวังว่าจะได้เห็นใบหน้าสลดหดหู่ของเขา แต่ผิดคาด
“โอ! ลูกแมวน้อยของข้า ยังปากไม่ตรงกับใจเหมือนเดิมเลยนะ หากคิดถึงข้าก็จงเอ่ยออกมาตามตรงเถิด จะต้องเหนียมอายไปไย“
โรสผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ พยายามอดทนต่อถ้อยประโยคชวนคลื่นเหียนของผู้ชายตรงหน้า หากไม่คิดว่าน่าจะสืบข่าวคราวจากมิเนอร์เวียนเอาไว้บ้างสักหน่อยจะเป็นการดี เธอคงรีบจากไปตั้งแต่เขาหันมาแล้ว
โรสปัดมือของเซเบียสก่อนที่มันจะได้แตะถูกมือเธอแล้วแกล้งยิ้มอย่างเอียงอาย รีบเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง
“นั่นคือมังกรใช่ไหม เคยได้ยินมานานแล้วเรื่องโครงการที่มิเนอร์เวียนจะสั่งซื้อมันมา โอ...ดูมันสิ! ช่างน่าทึ่งจริง ๆ ”
“เจ้าสนใจมันหรือ มาสิ ข้าจะพาเจ้าเข้าไปดูใกล้ ๆ เป็นพิเศษ”
เซเบียสพาโรสเดินเข้าไปใกล้มังกรตัวหนึ่ง มันหันมามองชายหนุ่มแล้วก้มหัวลงต่ำจนเขาลูบหัวมันเล่นได้ หญิงสาวคิดว่าเจ้ามังกรตัวนี้คงจะเป็นตัวที่อยู่ในความดูแลของเซเบียสแน่
“ที่จริงทางมิเนอร์เวียนก็สั่งซื้อไปตั้งนานแล้วล่ะ แต่ฟาร์มเลี้ยงมังกรที่เอย์โกเกรอสเพาะพันธุ์ไม่ทัน เลยใช้เวลานานไปสักหน่อยกว่าจะได้จำนวนตามที่เราสั่งไป” ชายหนุ่มอธิบาย “พวกนี้จะแข็งแรงและดุร้ายกว่าพันธุ์ทั่วไปที่ใช้ในการเดินทางธรรมดา แต่ถ้าเจ้าอยากลองสัมผัสก็จับมันได้นะ เวลาปกติมันไม่ได้ดุร้ายอย่างที่รูปกายภายนอกของมันเป็นหรอก”
เซเบียสมองโรสซึ่งกำลังสนใจแต่เจ้ามังกรด้วยสายตากรุ้มกริ่มพลางโอบแขนไปด้านหลังช่วงเอวของหญิงสาว “จะลองขี่ดูก็ได้นะ”
“เซเบียส เจ้าพาใครเข้ามาน่ะ!”
เซเบียสสะดุ้งชักมือกลับเพราะเสียงแหลมกึ่งตวาดขัดจังหวะเสียก่อน เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวร่างระหงทรวดทรงกลมกลึงสมส่วนงดงาม แต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีเขียวผ่ายาวด้านข้างถึงต้นขา เส้นผมสีทองละเอียดหยิกเป็นลอนรับกับใบหน้าโค้งมน จมูกได้รูปเชิดขึ้นเล็กน้อยอย่างคนถือดี นัยน์ตาสีเขียวใสที่มองสำรวจโรสตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าฉายแววหยามหยันอยู่ในที
“นั่นใครหรือ” โรสถามเสียงแผ่วก่อนจะผงะรีบถอยห่างจากเซเบียสออกมาอีกนิดหน่อย เมื่อเห็นใบหน้าของเขาขึ้นสีระเรื่อตอนที่เธอเผลอไปกระซิบข้างหู
“นางเป็นจอมเวทชื่อ คาเมช่า เพิ่งมาทำงานที่มิเนอร์เวียนได้ไม่นาน เห็นว่ามาจากเกาะเต่า”
“เกาะเต่า ที่อยู่ทางตอนใต้ของลีโอวาเนสใช่ไหม เกาะที่ว่าบูชาเต่าเป็นเทพเจ้าน่ะ”
คราวนี้โรสเป็นฝ่ายมองคาเมช่าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าบ้าง นอกจากชุดสีเขียวขลิบเงินที่นางใส่แล้ว เครื่องประดับทั้งหมดล้วนมีสีเขียวเป็นส่วนหนึ่งด้วยทุกชิ้น
ชั่วครู่...เซเบียสรู้สึกว่ามีกระแสไฟฟ้าแล่นพล่านผ่านสายตาของหญิงสาวทั้งสองซึ่งกำลังจ้องสบประสานสายตากันกำลังลั่นเปรี๊ยะ ๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ตอบคำถามของคาเมช่า
“เอ่อ...นางชื่อโรสน่ะ เป็นสหายของข้าเอง มีอะไรอย่างนั้นหรือ”
“เปล่า ก็แค่คิดว่าทหารของมิเนอร์เวียนนี่ช่างหละหลวมต่อหน้าที่เสียจริง ยอมให้คนนอกเข้ามายุ่มย่ามในเวลาปฏิบัติภารกิจได้ โดยเฉพาะกับสาว ๆ ที่ดูเหมือนจะมีดีแค่หน้าตา”
อีกครั้ง...ที่เซเบียสรู้สึกว่ามีกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่าน คราวนี้มันผ่านหน้าเขาไปแบบเฉียด ๆ ยังผลให้เกิดอาการหน้าชาเล็กน้อย แต่สำหรับโรส... เหมือนเธอจะโดนเข้าไปเต็ม ๆ
“ทำอะไรกันอยู่”
ก่อนจะเกิดสงครามขนาดย่อม เสียงเข้มดุดันของบุรุษผู้หนึ่งก็ได้หยุดมันไว้ เขาเป็นชายร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผิวสีแทนแบบคนกรำแดด ผมสีน้ำตาลเข้มถักเป็นเปียเล็ก ๆ หกแถวรวบผมยาว ๆ ของเขาไปไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นรอยถากของแผลเป็นที่คิ้วซ้าย
บุคคลทั้งสามต่างเรียกเขาอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “หัวหน้ายู!” สรรพนามที่ใช้เรียกอดีตหัวหน้าหน่วยในกองลาดตระเวนของมิเนอร์เวียน ทั้งโรสและเซเบียสเคยสังกัดอยู่ในกองของเขา
เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองทั้งสามเป็นเชิงปราม ว่าอย่าได้ก่อการวิวาทหรือส่งเสียงเอะอะเอ็ดตะโรในบริเวณความรับผิดชอบของเขา
ทว่าเมื่อคาเมช่าสบสายตากับยู หล่อนก็เดินสะบัดหน้าจากไปทันที ปล่อยให้ผู้บังคับบัญชามองตามไปด้วยแววตาที่แฝงนัยอะไรบางอย่าง โรสรับรู้ได้ในทันที ว่าทำไมผู้ชายอย่างเซเบียสถึงไม่ไปตอแยกับคนสวยขนาดนั้น
“ไม่ได้พบกันนานนะ โรส ฟลอร่า คงไม่ใช่เหตุบังเอิญที่เราได้มาพบเจ้าที่นี่” ยูยิ้มทักอย่างเป็นกันเอง เขายังคงไม่เปลี่ยนไป จากเมื่อคราวที่อยู่ร่วมสังกัดเดียวกัน
“ก็ทำนองนั้น แต่ข้าแปลกใจมากกว่า ที่เพียงแค่ข่าวลือก็ทำให้ท่านถูกมิเนอร์เวียนส่งมาแถวนี้ พร้อมเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายที่ข้าไม่เคยเห็น” โรสหรี่ตามองยูแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “หรือจะรู้อยู่ก่อนแล้ว ว่าไม่ใช่แค่เพียงข่าวลือ”
ยูยิ้มมุมปาก ดวงตาคมเข้มของเขาส่องประกายวาว
“เมื่อเดือนก่อนข้าได้มาที่นี้ บังเอิญได้พบเห็นสิ่งที่กษัตริย์ของเราเฝ้าตามหามานานในค่ำคืนหนึ่ง เพราะข้าได้เห็นด้วยตาตัวเอง ก็เลยถือโอกาสอาสามา”
“ท่านน่ะหรือ อาสามา” โรสทำสีหน้าคล้ายไม่อยากเชื่อ เพราะหัวหน้ายูที่เธอเคยรู้จัก เป็นทหารที่ต้องการเพียงปกป้องแผ่นดินเกิด เขาไม่เห็นด้วยเรื่องการรุกรานเผ่าพันธุ์ปีศาจ และไม่เคยหวังในลาภยศเงินทองที่กษัตริย์ทรงเสนอให้
“บางครั้งคนเราก็ต้องการทางลัด เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนา” ยูเอ่ยเสียงแผ่ว
โรสได้ยินไม่ถนัด จึงไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการสื่อ แต่เธอคิดว่าหากช่วยเหลืออดีตหัวหน้าผู้อารีได้สักครั้งก็ยินดี
“ถ้าอย่างนั้น หากมีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้ บอกข้านะคะ ข้าอยากช่วย”
ยูจ้องโรสด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ราวกับเคลือบแคลงหญิงสาว ว่ามีเจตนาใดในคำพูดนั้นกันแน่
“ขอบใจที่คิดอยากช่วย แต่เจ้าไม่ใช่คนในสังกัดของข้าแล้ว ตอนนี้ก็คือคนนอก ไม่ได้มีความเกี่ยวพันหรือมีธุระอันใดต่อกันอีก ออกไปจากบริเวณนี้เสียเถอะ นี่ไม่ใช่สถานที่คนนอกอย่างเจ้าสมควรจะเข้ามา เซเบียสช่วยพานางออกไปจากบริเวณนี้ด้วย”
ยูสั่งเซเบียสแล้วเดินจากไป ทิ้งให้โรสยืนงง มองหน้าชายหนุ่มด้านข้างตาปริบ ๆ ต่อท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของอดีตหัวหน้า ดวงตาของเขาที่มองเธอเมื่อครู่นั้นมันเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงระแวดระวัง เธอมีอะไรที่เขาสมควรต้องระวังอย่างนั้นหรือ
“ถ้ายังไงไปกินข้าวกับข้าก่อนไหม” เซเบียสเอ่ยชวนหญิงสาวระหว่างที่พาเธอมาส่งด้านนอก
“ขอบใจที่ชวนนะ แต่เอาไว้คราวหน้าดีกว่า พอดีข้ามีธุระ แล้วเจอกันใหม่คราวหน้านะ” โรสยิ้มหวานให้เซเบียส โดยซ่อนความยินดีที่จะได้ออกห่างจากผู้ชายคนนี้ไว้อย่างมิดชิด
อยู่ใกล้นาน ๆ แล้วกลัวจะอดใจจนกระทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ดีออกไปไม่ได้จริง ๆ
*/*/*/*/*
ดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้นทุกที ขณะโรสเดินย่ำเข้าป่า เส้นทางเดียวกับที่ตามซาการ์ทมาเมื่อวันก่อน หลังจากข้ามลำธารบริเวณที่เกิดการต่อสู้กันไปได้ไม่ไกล หญิงสาวก็หยุดยืนมองป้ายศิลากำกับทางที่นอนนิ่งในพงหญ้า มันเก่าและผุพังจนแทบจะดูไม่ออกแล้วว่าเคยเป็นอะไรมาก่อน
อีกไม่ไกลจะเข้าเขตป่าต้องห้าม คงไม่มีใครคิดจะเดินทางมาถึงที่นี่เพื่อซ่อมแซมสิ่งนี้สินะ
ลึกเข้าไปในป่าทึบเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่อายุหลายร้อยปีแตกกิ่งก้านสานใบหนาซ้อนทับกันจนแสงแดดแทบส่องลงไปไม่ถึงพื้น ทั่วบริเวณจึงมืดครึ้ม บรรยากาศเงียบสงัด ไม่มีแม้แมลงหรือสัตว์สักตัวจะส่งเสียง ทำให้ป่าดูวังเวง น่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก
มีข่าวลือ ว่าชาวบ้านหลายคนหลงเข้ามาในเขตป่าแห่งนี้ แล้วไม่ได้กลับออกไป จึงไม่แปลก หากจะทำให้ใครจินตนาการไปได้ ว่าสถานที่แห่งนี้มีสิ่งลี้ลับสถิตอยู่จนไม่มีใครอยากเข้ามา กระทั่งถูกขนานนามว่า ‘ป่าต้องห้าม’ สถานที่มนุษย์ไม่ควรเหยียบย่าง
ทว่าโรสสงสัย ถ้าไม่มีคนได้กลับออกไป แล้วใครเป็นคนเล่า?
เมื่อดวงอาทิตย์คล้อยต่ำใกล้ลับขอบฟ้า ผืนนภาถูกย้อมด้วยแสงสีแดงส้ม เป็นเวลาที่โรสเดินมาถึงชายป่าอีกด้าน ข้างหน้าคือทุ่งหญ้าขนาดย่อมกั้นชายป่าอีกแห่งออกจากผืนป่าหนาทึบ เลยไปจะเห็นภูผาสูงชัน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองสิ่งก่อสร้างบนยอดผานั้นด้วยดวงตาวาววาม
“นั่นคือ...ปราสาทของพวกปีศาจเหยี่ยวดำ”
ใกล้ค่ำแล้ว แต่ลองเข้าไปดูลาดเลาสักหน่อยน่าจะดี
หญิงสาววางแผนในใจระหว่างหยุดพักเติมพลังให้กับท้องที่ว่างเปล่าก่อนจะก้าวเท้ามุ่งสู่ทางข้างหน้า
ครั้นเหยียบย่างเข้าสู่ผืนป่าใกล้เชิงผา กลิ่นหอมของอะไรบางอย่างก็ลอยมาต้องจมูกโรส แต่แทนที่มันจะให้ความรู้สึกสดชื่น กลับเป็นกลิ่นที่ชวนให้วิงเวียนเสียมากกว่า
“กลิ่นอะไรกันนะ”
โรสใช้ผ้าปิดจมูก รีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทว่ายิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าไร กลิ่นหอมประหลาดนั้นกลับยิ่งรุนแรงขึ้นจนทำให้เธอเริ่มเวียนหัว ครั้นรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติที่สังเกตมาตลอดทาง มือจึงเลื่อนไปกุมด้ามอาวุธคู่กายเตรียมพร้อมจะชักมันออกมาใช้ได้ตลอดเวลา สายตาสอดส่ายเพื่อระแวดระวังภัย
แซ่ก...แซ่ก...
เสียงบางสิ่งกำลังเลื้อยเรี่ยมาตามพื้น โรสหันกลับไปมองยังด้านหลัง หากมันก็ว่างเปล่าไร้สิ่งผิดปกติใด แต่พอจะหันหลังกลับไป สายตาพลันสบพบบางสิ่ง มันกำลังเคลื่อนไหวอย่างเงียบงันภายใต้เงาไม้ที่มีเพียงแสงสลัว เธอพยายามเพ่งมองจนเห็นเถาวัลย์เล็ก ๆ หลายเส้นกำลังเลื้อยมาตามพื้น ราวอสรพิษก็ไม่ปาน
โรสหยัดเท้าตั้งหลัก พร้อมจะกระชากอาวุธออกมา ทว่ากลับถูกกระชากข้อเท้าจากด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัวจนล้มลงหัวกระแทก แล้วเจ้าเถาวัลย์เหล่านั้นก็ยกตัวเธอลอยขึ้นจากพื้น
หากไม่ได้รู้สึกเจ็บบริเวณที่ถูกกระแทก โรสก็คงจะคิดว่าตัวเองกำลังฝัน
สาบานได้! เธอเห็นดอกไม้ยักษ์อ้ากลีบสีแดงของมันพะงาบ ๆ เตรียมพร้อมจะเขมือบเธอได้ทุกเมื่อ ซี่ฟันแหลมคมวนเป็นวงอยู่ใกล้โพรงคล้ายปาก คงสามารถบดขยี้เธอให้แหลกเละในเวลาเพียงเสี้ยวได้อย่างไม่ต้องสงสัย โรสพะอืดพะอมจนอยากสำรอก เมื่อมันเลื้อยเถาใหญ่ ๆ ใกล้เข้ามา กลิ่นหอมเอียนชวนเวียนศีรษะมาจากเจ้านี่เอง
กลิ่นนี้คงเป็นตัวล่อให้สัตว์อื่นเข้ามาใกล้ และมอมเมาจนไม่อาจหนีอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่ในไพรป่าอันเงียบสงบแห่งนี้ได้สินะ
ก่อนที่โรสจะถูกส่งเข้าปากเป็นอาหารเลี้ยงต้นไม้ เธอก็ชักดาบฟาดออกไปที่กลีบและฟันแหลม ๆ ของมันจนขาดกระจุย น้ำเหนียว ๆ สีเขียวจากบาดแผลของมันสาดกระจายไปทั่ว ส่งกลิ่นเอียนฉุนหนักขึ้นไปอีก
หากตอนนี้หญิงสาวไม่มีเวลาไปกังวลกับเรื่องกลิ่นที่ทำให้เวียนหัว เพราะถูกรยางค์เถาวัลย์ที่พันข้อเท้าอยู่เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาน่าเวียนหัวยิ่งกว่า เธอจับอาวุธแน่น พยายามเล็งแล้วรีบตัดหนวดที่พันข้อเท้าก่อนจะร่วงตุบลงบนพื้น
เมื่อยืนขึ้นได้ หญิงสาวคิดว่าควรรีบจรลีหนีไปให้ไกลจากตรงนั้นโดยเร็วที่สุดจะเป็นการดี เพราะตอนนี้เธอเห็นเจ้าต้นไม้ที่คล้ายกับต้นเมื่อครู่หลายต้นเริ่มโผล่มาแล้ว พวกมันคล้ายจะเล็งเธอเป็นอาหาร เธอเห็นน้ำเหนียวหนืดยืดยาดจากเขี้ยวคมกลางกลีบดอกของมันแล้วยิ่งสยอง
โรสออกวิ่ง พลางตวัดดาบฟาดฟันเจ้าดอกไม้กินคนที่คืบคลานอย่างรวดเร็วจนตามมาทัน เธอวิ่งติดต่อกันเป็นระยะทางไกล แต่เจ้าดอกไม้พวกนี้ก็ยังโผล่ออกมาได้เรื่อย ๆ เดาแล้วผืนป่าแห่งนี้อาจเป็นสถานที่ของพวกมัน
เจ้าไม้ดอกน่าสยองพวกนี้ไม่มีตา หญิงสาวจึงคาดว่ามันคงตามกลิ่นหรือเสียงได้ เธอจะไม่มีทางรอดจนกว่าจะออกจากป่านี้หรือไปถึงเนินเขาอันเป็นที่ตั้งปราสาทเหยี่ยวดำได้เป็นอันขาด
โรสวิ่งจนเหนื่อยหอบ เพราะตลอดทางต้องคอยฟาดฟันเจ้าพรรณไม้จอมเขมือบนั่นด้วย ครั้งหนึ่งที่เธอสะดุดล้ม ดอกใหญ่ ๆ น่าเกลียดของมันพุ่งเข้ามาทันที หญิงสาวเลยสวนด้วยเวทมนตร์เสกลูกไฟใส่ลูกหนึ่ง แรงระเบิดทำให้โรสกระเด็นไปชนกับโขดหินจนนอนกลิ้งร้องโอดโอย แต่แล้วต้องดีดตัวลุกอย่างรวดเร็ว ลืมความเจ็บปวดไปชั่วครู่ เมื่ออีกดอกอ้ากลีบกว้างพร้อมเขมือบจู่โจมเข้ามา
หญิงสาววิ่งไปจนถึงเชิงผา เธอเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่สลัวลงเรื่อย ๆ แล้วก็กระทืบเท้าใส่หินผาอย่างเคืองใจ เมื่อพบว่าตนดันวิ่งมาผิดทาง เนินเขาอีกด้านต่างหากที่ต้องไป ในเมื่อทางขึ้นเขามันอยู่ตรงนั้น
ทว่าเมื่อเท้ากระแทกลงบนโขดหิน มันกลับหลุบตัวเข้าไปในโพรงใหญ่ ทำให้โรสเสียหลักกลิ้งโค่โล่เข้าไปในนั้นด้วย
หญิงสาวนอนหงายตกตะลึงตาค้าง แต่ไม่ทันไรก็ต้องรีบพลิกตัวหนีเข้าไปด้านใน ก่อนที่เจ้าดอกไม้ยักษ์จะพุ่งเข้ามาเขมือบเธออีกครั้ง
โรสหยิบดินปืนจากกระเป๋าแล้วยัดเข้าไปในโพรงปากเจ้าพฤกษาจอมเขมือบ ร่ายเวทสร้างลูกไฟจุดชนวนดินปืนจนระเบิดกลีบดอกแหลกกระจาย ครั้นเห็นพรรณไม้สยองต้นที่เหลือกระถดถอยไป หญิงสาวไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า รีบดันหินปิดปากโพรงก่อนที่เจ้าพวกนั้นจะตามเข้ามาอีกทันที
โรสทรุดตัวนั่งพักเหนื่อยอย่างโล่งอก ครู่หนึ่งจึงค่อยสังเกตภายในโพรงนั้น มันน่าจะเรียกเป็นถ้ำเสียมากกว่า ในนี้ไม่มืดสนิทเสียทีเดียว แสงที่ลอดเข้ามาจากรูเล็ก ๆ ตามผนังหินช่วยให้สามารถมองเห็นภายในได้ลาง ๆ มันเป็นช่องที่ทำให้อากาศถ่ายเทได้พอควรเสียด้วย
ถ้ำนี้ไม่ได้เกิดตามธรรมชาติแน่
โรสหยิบไต้ไฟขึ้นมาจุด ก่อนเดินไปตามทางภายในถ้ำ เธอพบคบไฟระหว่างทาง จึงเปลี่ยนไปใช้มันแทนไต้
ถ้ำนี้คงเป็นทางลับ นำไปสู่ปราสาทข้างบนนั่น
โรสคิด เมื่อพบบันไดวนเป็นทางขึ้นสู่เบื้องบน
นาน... พอจะทำให้ขาทั้งสองข้างของโรสเมื่อยล้า กว่าจะเดินขึ้นมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย แต่อย่างน้อยก็ทำให้ได้รู้ว่าถ้ำนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เส้นทาง
โรสได้พบโถงถ้ำระหว่างชั้นขั้นบันได เหมือนมันจะถูกทำไว้สำหรับเป็นที่หลบภัย การที่มิเนอร์เวียนเคยส่งคนมาค้นปราสาทเหยี่ยวดำแล้วไม่พบใคร อาจเพราะมีสถานที่แห่งนี้ก็เป็นได้
ความหวังริบหรี่ของโรสพลันลุกโชน แม้จะไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยเท่าก่อนหน้านี้
โรสรีบส่องคบไฟและไล้มือไปตามผนังหินในโถงถ้ำชั้นบนสุดของบันไดวน เพื่อหากลไกสำหรับเปิดประตู ทว่าค้นอย่างไรก็ไม่พบ เธอแทบจะแซะผนังและพื้นออกมาเพื่อหากลไกอีกชั้น กระทั่งลองตะกายขึ้นไปถึงมุมหนึ่งของขอบเพดานจึงพบสลักเปิดประตู
เกือบลืมไป เจ้าพวกนี้เป็นสัตว์ปีกนี่นา!
ด้านนอกของประตูอยู่ใกล้กับระเบียงที่หันหน้าไปทางริมผา โรสหันซ้ายขวาสำรวจรอบบริเวณครู่หนึ่งแล้วจึงเลือกเดินไปทางห้องโถงใหญ่ที่อยู่ใกล้ ๆ อีกด้าน ภายในนั้นตกแต่งอย่างงดงามน่าอาศัย ถ้าเพียงแต่จะไม่มีร่องรอยของการถูกเผาทำลายมาก่อน
หญิงสาวเดินสำรวจไปตามทางและห้องต่าง ๆ อยู่นาน สถานที่แห่งนี้ทั้งมืดและเงียบสนิทสมเป็นปราสาทร้าง สิ่งที่กำลังส่งเสียงดังกลับเป็นหัวใจอันเต้นระรัวของโรสเสียเอง
นัยน์ตาสีเขียวกวาดมองทุกสิ่งรอบตัวด้วยความรู้สึกประหลาด
“ทั้งที่เพิ่งเคยมาปราสาทแห่งนี้เป็นครั้งแรก แล้วทำไมจึงได้รู้สึกคุ้นเคยนัก ความรู้สึกโหยหานี้มันคืออะไรกัน...”
“กลิ่นมนุษย์!”
โรสแทบสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแหบพร่า จับไม่ได้ว่าดังมาจากไหน เธอกวาดสายตามองไปทั่วเพื่อหาเจ้าของเสียง
มือเลื่อนไปกำอาวุธคู่กาย เมื่อเห็นแสงไฟจากตะเกียงที่มีใครบางคนถือมา เจ้าของตะเกียงนั้นกำลังยิ้มแสยะจนเห็นฟันขาว
“ข้าไม่ได้เห็นมนุษย์คนอื่นมานานแค่ไหนแล้วนะ กลิ่นของหญิงสาวเยาว์วัย...น่ากินเหลือเกิน”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 306
แสดงความคิดเห็น