STARCIN ภาคที่ 4 At School ตอนที่ 6 ลานกว้าง
"ฟื้นแล้วสินะยาโตะ" เขาลืมตาตื่นบนเตียงสีขาวนุ่มฟูมองเห็นใบหน้าของอาจารย์หนุ่มและเพื่อน ๆ ของตัวเอง
"ขอโทษค่ะ" ฟรานกล่าวเสียงดังหนักแน่นพร้อมทั้งก้มโค้งลงอย่างมีมารยาท
"ไม่เป็นอะไรครับ พอได้เห็นท่านผู้กล้าเอาจริงผมก็ดีใจ...แม้จะฝึกฝนกันมาไม่ถึงปีความสามารถก็แซงหน้าผมไปแล้ว ต้องแบบนี้สิถึงวางใจฝากชีวิตไว้ได้"
"ไม่เป็นอะไรแน่ใช่ไหมหมอ ?" อาจารย์หนุ่มหันไปคุยกับหญิงสาวชุดสีขาวที่นั่งไขว้ขาอยู่มุมห้อง
"อืม...ทั้งภายนอกและภายในไม่มีอะไรเสียหายนักจะมีก็แค่รอยช้ำ สบายใจได้เขาไม่เป็นอะไรแน่นอน" ขณะที่ปากพูดอยู่แต่มือก็เขียนจดอะไรลงในสมุดตลอดเวลา
"หมอเบลลูกศิษย์ของคุณอาเกลียสินะ" ยาโตะจ้องมองใบหน้าที่เรียบง่ายไม่มีการแต่งเติมแต่กลับเปล่งรัศมีความสวยออกมาไม่หยุดไม่เว้นแม้แต่พวกฟรานที่ต้องจ้องมองตาไม่กะพริบ
"รู้จักฉันด้วยเหรอ ? ปกติพวกเด็ก ๆ ไม่ค่อยจะสนใจหมอหรอกก็มีแค่ช่วงประลองกันเท่านั้นแหละที่จะเรียกหา" น้ำเสียงอันดุดันที่ไม่เหมือนหน้าตาแต่มันกลับทำให้รู้สึกพึ่งพาได้ภายใต้ใบหน้าที่ตึงเปรี๊ยะไม่มีรอยยิ้มเผยให้เห็นเลยสักนิด
"หน็อยทำเป็นเข้ม ทีตอนเรียนอยู่เอาแต่วิ่งตามคุณอาเกลียตลอด ตอนนั้นเธอถึงขั้นหมอบราบกับพื้นเพื่อให้อาเกลียสอนเล-" ไม่ทันพูดจบหมอเบลก็ขว้างสมุดจดเฉี่ยวใบหน้าของอาจารย์ไปนิดเดียวและมันก็พุ่งไปปักตรงผนังห้อง
"หน็อย เจ้าทรัมป์ ! แน่จริงอย่าหลบสิวะ" ท่าทางวางมาดที่ทำไว้ได้สลายหายไปทันที
"ฮ่า ๆ ๆ ต้องแบบนี้สิถึงจะเป็นเธอ" ขณะที่กำลังหัวเราะเยาะสนุกปากก็มีดวงไฟดวงเล็กลอยขึ้นไปบนหัวของอาจารย์หนุ่มเผาผมของของเขาจนต้องวิ่งหาน้ำ
"เดี๋ยวหนูช่วยค่ะอาจารย์ !" ซันนี่โยนบอลน้ำขนาดเท่าหัวใส่อาจารย์ถึงมันจะช่วยดับไฟได้แต่ก็ทำพื้นห้องเปียกไปหมด
"...ดีมากซันนี่แต่หมอเบลคงไม่ปลื้มที่ทำห้องเธอเละสักเท่าไหร่ ?" เมื่อเขาหันไปสบตากับเบลเห็นสายตาอันดุร้ายกำลังจ้องมองมา เขาไม่รอช้ารีบพาเด็ก ๆ หนีออกไปก่อนที่เธอจะโกรธมากกว่านี้
"รอดสักทีคราวหลังอย่าไปยั่วโมโหหมอเบลอีกล่ะ เธอยิ่งชอบใส่สุดไม่ยอมใคร"
ภายใต้ใบหน้าที่ตอบรับว่ารับรู้ของเด็ก ๆ ต่างก็คิดในใจว่าคนที่ไปยั่วก็คงมีแค่อาจารย์เท่านั้น
"พรุ่งนี้เจอกันนะทุกคน เราจะมาซ้อมแผนรุกรับกัน" เมื่อเดินออกมาจากตัวอาคารฟ้าก็มืดเสียแล้วโดยไม่รู้ตัว
วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกกับการฝึกซ้อมอย่างบ้าระห่ำเพื่อให้พวกเธอสามารถทำงานเป็นทีมได้ ถ้าวัดกันหนึ่งต่อหนึ่งยังไงฟรานก็ชนะอยู่แล้วแต่หากอีกฝ่ายใช้ลูกเล่น กลวิธีแบบแผนมากมายสุดจะคิดออกก็ยากที่จะชนะได้ ดังนั้นการจะเอาชนะในการแข่งขันแบบนี้ต้องมีการวางแผนและต้องทำตามแผนได้
จนเมื่อวันที่รอคอยมาถึงทั้งประชาชนภายในและนอกเมืองแอสต้าต่างก็หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดจนแน่นไปหมด ร้านค้าหลากหลายไม่ว่าจะอาหารการกิน เครื่องมือเครื่องใช้ อุปกรณ์เวทหรือแม้แต่สัตว์พันธสัญญาโดยเฉพาะภายในเขตโรงเรียนที่มีเหล่ารุ่นพี่ออกมาตั้งร้านค้าหรือแสดงกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเรียกผู้คนสร้างชื่อเสียงหรือแค่จะหาเงินก็มี
"เขตเกษตรมีคนคุมไม่พอไปหาทหารมาเพิ่มเดี๋ยวนี้ !" เสียงตะโกนดังสั่งการนายทหารชั้นผู้น้อย
"ครึกครื้นแบบนี้ช่างน่าคิดถึงจริง ๆ ถึงจะมีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นแต่ก็ไม่ส่งผลกับรายได้ที่กำลังไหลเข้ามา" ใบหน้าอันสดใสยิ้มอย่างมีความสุขกำลังชายตามองผู้คนมากหน้าหลายตาที่กำลังเดินเที่ยวเล่น
"นี่ออส..." โอบาเอ่ยออกมาสั้น ๆ แล้วเงียบไป
"อะไร ? ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้นล่ะ"
"ผู้เฒ่าแห่งปัญญาอย่างนายสามารถคาดการณ์อนาคตได้ไหม ?" คอออสทำหน้ามึนงงกับคำพูดแปลก ๆ ของโอบา
"ฉายาที่ตั้งให้มันก็แค่อดีตเท่านั้น หากเป็นปัจจุบันที่มีคนเก่ง ๆ เพิ่มขึ้นมากมายจนหาผู้ทรงปัญญาได้ไม่ยาก แต่ยังไงก็เถอะการคาดการณ์อนาคตไม่มีใครทำได้หรอก"
"เหรอ..." โอบากำลังคิดเรื่องอะไรสักอย่างที่เอาใบหน้าหมองไปเลย แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงประกาศดังจากลำโพงที่ติดอยู่ทั่ว
"อีกหนึ่งชั่วโมงจะมีการแข่งขันสำหรับการเปิดงานแอสต้าประจำปี สามารถเข้าชมได้ที่สนามประลองเขตเวทมนตร์โดยบัตรสำหรับเข้านั้นมีจำกัดเพียงหนึ่งหมื่นคนเท่านั้น"
หลังสิ้นเสียงประกาศก็มีเหล่านักท่องเที่ยว นักผจญภัยรวมทั้งนักเรียนของโรงเรียนหลวงเดินกรูกันไปที่สนามประลอง
"ปีนี้ดูเยอะกว่าปีก่อน ๆ นะว่าไหม ?" นายทหารยามกล่าวกับเพื่อนของเขาขณะที่กำลังตรวจคนเข้าที่นั่งท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นและแออัดจนแทบไม่มีที่หายใจ
"อย่าแทรกแถวกันนะครับ" พวกเขาเพิ่มคนคุ้มกันมากขึ้นกระจายไปทั่วเพื่อควบคุมความวุ่นวายขณะที่ภายในห้องเตรียมตัวของผู้จัดเองก็วุ่นวายไม่แพ้กัน จนเมื่อถึงเวลาที่ทุกคนเข้าที่เข้าทางนั่งกันเต็มทุกหนทุกแห่ง ผู้คนที่หลั่งไหลกันเข้ามามากจนต้องเพิ่มที่นั่งให้แต่สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือจอขนาดใหญ่ที่ติดตั้งอยู่ด้านบน
"นั้นคืออุปกรณ์เวทใหม่ที่ศูนย์วิจัยคิดใช่ไหม ? มันดูอลังการมาก ๆ เลย"
"ก่อนหน้านี้ก็มีเจ้าเครื่องกระจายเสียงที่แม้จะอยู่อีกมุมของเมืองก็ได้ยิน พวกเขาช่างน่าทึ่งเหลือเกินถ้าบอกว่าเป็นเทพมาจุติฉันก็เชื่อ"
เสียงฮือฮาจากผู้ชมมากมายดังกระหึ่มไปทั่วสนามประลองขณะที่พวกเขากำลังจัดเตรียมการแสดงไว้
"โปรดอยู่ในความสงบด้วยนะครับทุกท่าน" เสียงจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่ห้องกระจายเสียงขณะเดียวกันที่สนามประลองก็มีชายหญิงหลายคู่เดินออกมา
"สำหรับการแสดงแรกนั้นจะเป็นการดวลดาบแบบไม่ใช้เวทมนตร์ หากใครที่มองไม่ชัดสามารถดูที่จอด้านบนได้เลย" ทันใดนั้นภาพของชายหญิงที่กำลังเดินอยู่ก็ฉายขึ้นที่จอข้างบนทำเอาผู้ชมตกตะลึงกันไปหมด
"ต่อจากนี้ยังมีการตัดริบบิ้นเพื่อเปิดใช้งานอุปกรณ์ใหม่ล่าสุดที่ทางศูนย์วิจัยพึ่งสร้างขึ้นและจะนำมาวางขายในจำนวนจำกัด ช่วงบ่ายจะมีการประลองแบบหนึ่งต่อหนึ่งโดยนักเรียนตัวแทนจากเขตเวทมนตร์"
เหล่านักเรียนที่เตรียมพร้อมมากันอย่างดีกำลังชักดาบตั้งท่าพร้อมเข้าปะทะ เมื่อเสียงนกหวีดดังคมดาบก็ได้ฟาดฟันกันไม่ยั้ง
"พวกเขาแค่เล่นละครกันสินะ" ชาญเอ่ยขึ้นเบา ๆ ขณะที่กำลังมองดูถ่วงท่าที่ดูไม่ต่อเนื่องเหมือนกับรอจังหวะโต้กันไปมามากกว่าการเอาชนะ
"ก็คงงั้นแหละยังไงมันก็แค่ความบันเทิงพวกผู้ใหญ่...ที่ชอบให้มีการแสดงโน่นนี่นั้นพอเป็นพิธี" ซันนี่ตอบกลับด้วยท่าทางเบื่อหน่ายเฉกเช่นเดียวกับเพื่อน ๆ ของเธอที่นั่งเรียงรายกันอยู่ตรงนี้
ใช้เวลามากถึงหนึ่งชั่วโมงกว่าจะจบการดวลดาบอันน่าเบื่อนี้ ทันทีที่เหล่านักเรียนเดินออกจากสนามไปก็มีหญิงสาวแต่งตัวสบาย ๆ เหมือนพึ่งออกมาจากห้องนอนเดินนำหน้าเหล่าคณาจารย์และชายหญิงชุดสีขาว
"อะอ่า สวัสดีทุกคนที่มาในวันนี้ ฉันแคลลี่ ฟาว บิยอน เป็นหัวหน้าฝ่ายวิจัยและผลิตเทคโนโลยี และวันนี้เราจะมานำเสนอเครื่องมือใหม่ ๆ" ใบหน้าอันหม่นหมองที่เหมือนไม่ได้นอนมาหลายวันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าทำท่าจะหลับได้ตลอด
"ชิ้นแรกเลยก็คือเครื่องสื่อสารระยะไกลหรือที่เรียกสั้น ๆ ว่ามือถือ" ทันทีที่เธอเปิดผ้าคลุมเผยให้เห็นโครงเหล็กแปลก ๆ วงกลมวางตั้งอยู่บนรถเข็น
"มันสามารถใช้พูดคุยกันได้ไกลถึงสิบกิโลเมตรจากเครื่องรับสัญญาณ" เธอลดไมโครโฟนลงปล่อยให้ลูกน้องสาธิตการใช้งานให้
เขาหยิบมือถือไปคนละเครื่องและเดินออกห่างจากกันโดยไม่มีสายเชื่อมทั้งสิ้นไม่เหมือนกับเครื่องสื่อสารแบบก่อน ๆ เสียงพูดทุกคำที่เปล่งใส่มือถือดังออกไปยังอีกเครื่องหนึ่ง
"โฮ ! มันไม่ต้องมีสายด้วย" เสียงจากผู้ชมได้ดังขึ้นอีกครั้งกว่าจะสงบลงได้ก็ใช้เวลาไปพักหนึ่ง
"เจ้ามือถือนี่จะเปิดขายในราคาสามเหรียญทองใหญ่" ทันทีที่ได้ยินราคาผู้ชมส่วนใหญ่ต่างก็พากันถอนหายใจหมดความหวังที่จะครอบครอง เหลือเพียงแค่พ่อค้ารายใหญ่และขุนนางเท่านั้นที่พอจะมีทุนในการซื้อมัน
"สามเหรียญทองใหญ่เหรอ ? นั่นมันเทียบเท่าสามแสนบาทของโลกเราเลยนะ" ฟรานถึงกับตกใจตาโตเมื่อได้ยินราคามีท่าทางเหมือนกับผู้ชมส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถเอื้อมมือคว้ามันไปได้ด้วยราคาที่แพงมากจนต้องทำงานทั้งปีถึงจะซื้อได้
"เหอะ ก็แค่มือถือไร้สายที่ใช้คุยกันได้ แค่นั้นทำเป็นดีใจไปได้" พีชพึมพำเสียงเบาเหมือนกับประชดฟรานที่มีท่าทางตื่นเต้นเกินไป
"พูดถึงมือถือ ของพวกนายยังมีติดตัวอยู่ไหม ?" ชาญเอ่ยถามกับเพื่อน ๆ ทุกคนที่ได้ยิน
"ฉันยังมีอยู่นะ" ซันนี่โชว์โทรศัพท์สีทองที่สามารถพัดครึ่งได้
"ฉันก็ด้วย ถึงมันจะแบตหมดจนทำอะไรไม่ได้แล้วก็ตามแต่มันก็เป็นเหมือนแหล่งความทรงจำสำหรับโลกเดิม" ซากิเอ่ยตามทันทีแต่ก็ไม่ได้หยิบมันขึ้นมาดู
"ได้ข่าวว่ามือถือที่เขาทำก็มีต้นแบบมาจากของพวกเรา พวกเขาเคยขอเอาของฉันไปทดลองแล้วก็ถามโน่นนี่น่ารำคาญชะมัด" ชาญพูดติดตลกขำอยู่ในลำคอ
"ดูท่าพวกคนมีเงินจะแย่งกันซื้อน่าดู" ระหว่างที่กำลังคุยกันก็มีคนบางส่วนลงไปที่สนามประลองเพื่อซื้อเจ้ามือถือเครื่องนี้
"ใจเย็น ๆ นะทุกคนมือถือที่ทางเราทำมาตอนนี้มีเพียงสิบเครื่องเท่านั้น หากท่านทั้งหลายต้องการจริง ๆ สามารถแจ้งและจ่ายค่ามัดจำไว้ล่วงหน้า ทางเราจะเร่งกระบวนการผลิตและส่งให้ถึงมือทุก ๆ ท่านแน่นอน"
หลังจากที่เหล่าคนมีเงินซื้อกันเสร็จสรรพพวกเขาก็กลับไปนั่งที่เดิมโดยให้ผู้ช่วยของแคลลี่จัดเตรียมมือถือไว้ด้านนอก เมื่อเลิกงานจึงจะสามารถนำกลับไปได้
"เครื่องมือชิ้นต่อไปที่เราจะนำเสนอก็คือเวทการบิน หรือจะเรียกง่าย ๆ ว่าเครื่องร่อน ถึงมันจะไม่ได้ร่อนอย่างชื่อแต่ก็ใช้เรียกได้นั่นแหละ"
เหล่าตัวแทนได้สวมชุดหนึ่งในนั้นก็คือทริกซี่ พวกเธอขึ้นบินเหนือหัวผู้ชมโลดแล่นดังนกที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้าจนสร้างความตกตะลึงแก่ผู้ชมไม่น้อย
"เจ้านี่เป็นอุปกรณ์เวทที่ใช้เวลาคิดและสร้างหลายเดือนจนในที่สุดมันก็สำเร็จและราคาเริ่มต้นของมันอยู่ที่...สิบเหรียญทองใหญ่"
แพงกว่าอันเมื่อกี้เยอะเลย แต่ก็ดูสมเหตุสมผลอยู่ พีชจ้องมองดูเครื่องร่อนที่ตนเคยเอามาตรวจสอบดูและพยายามมองหาผู้ที่มีความสามารถเดอะไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ภายในสนามประลองหรือใครก็ตามที่เกี่ยวข้อง
"มันเหมือนชุดไอพ่นเลยแฮะ แต่เท่าที่ตรวจจับดูไม่มีพลังงานเผาไหม้เลยมีแต่ออร่ามานาพ่นออกมาแทน"
"ก็ถูกอย่างที่ฟรานพูด ชุดไอพ่นของเราเคลื่อนที่ได้จากการเผาไหม้แต่ถ้าเป็นโลกนี้คงจะมีเวทมนตร์บางอย่างมาทำหน้าที่แทนตรงนั้น..." ซันนี่ครุ่นคิดถึงบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในหัว
"เวทลมเหรอ" ฟรานพูดออกมาสั้น ๆ ตอบคำถามที่ซันนี่สงสัยแต่ก็ไม่มีความมั่นใจในคำตอบนัก
"เท่าที่นึกออกก็มีแค่นั้นแหละ ถ้าเป็นเธอที่ใช้เวทได้ทั้งสี่แบบจะบินไปบนท้องฟ้าได้ไหม ?"
"ฉันก็เคยลองแล้วแต่เวลาใช้เวทเพื่อดันตัวเองขึ้นมันดันกลายเป็นการระเบิดพื้นข้างล่างแทน หรืออาจจะต้องค่อย ๆ คุมมานาไปเรื่อย ๆ ไม่ให้มันรุนแรงเกินไป"
"กรี๊ด!" เสียงร้องดังลั่นจากผู้ชมชั้นล่างถัดจากฟรานเมื่อหนึ่งในนักบินหลุดจากการควบคุมและพุ่งตรงใส่คนดู ฟรานหันมองอย่างไวพร้อมกับร่ายเวทลมปกป้องคนเหล่านั้นไว้อีกทั้งยังพานักบินกลับลงพื้นได้อย่างปลอดภัย
"ท-ท่านผู้กล้า" ในช่วงวินาทีนั้นกล้องก็จับมาทางฟรานพอดีทำให้ผู้ชมมากมายร้องเรียกผู้กล้าด้วยความตื่นเต้นอย่างกับเจอดาราดังไม่มีผิด
"ฮ่าฮ่า" ฟรานยิ้มพอเป็นพิธีโบกมือขึ้นสองสามครั้งก่อนจะกลับไปนั่งที่ แม้เธอจะเป็นคนกล้าเข้าหาผู้คนแต่พอโดนจ้องมาก ๆ ก็ทำเอาเขินจนไปไม่เป็นเหมือนกัน
"ต้องขออภัยที่คนทดลองผิดพลาด โชคดีที่ท่านผู้กล้าอยู่ตรงนั้นพอดีจึงไม่มีใครบาดเจ็บ" หน่วยพยาบาลได้เข้ามาตรวจสอบนักบินที่นอนอยู่บนพื้นในสภาพไร้สติ
หลังจากที่หน่วยพยาบาลพาคนหมดสติออกไปพวกเขาก็เริ่มขายของต่อทันที แคลลี่เองก็เข็นของชิ้นใหม่มาต่อทำอย่างกับอยากกลับเต็มทนแล้ว
"สิ่งนี้คือจอฉายภาพเหมือนอย่างที่ทุกท่านเห็นอยู่ด้านบนคู่กับกล้องถ่ายภาพซึ่งเราได้สร้างสิ่งที่เรียกว่าภาพเคลื่อนไหวขึ้นมา โดยทั้งกล้องและจอต้องซื้อไปใช้ด้วยกันแต่หากอยากซื้อกล้องมากกว่าหนึ่งตัวก็ได้และราคาเริ่มต้นของจอฉายภาพและกล้องจับภาพเคลื่อนไหวก็คือสี่เหรียญทองใหญ่"
"เธอจะไปไหนน่ะพีช ?" ฟรานเหลือบไปเห็นพีชที่กำลังเดินออกจากที่นั่งไปเงียบ ๆ
"เข้าห้องน้ำ" จะมายุ่งทำไม จะไปไหนก็เรื่องของฉัน พีชได้แต่คิดในใจปั้นใบหน้าอันเป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้ตอบกลับไป
"ปล่อยเธอไปเถอะ เดิมทีพีชก็ไม่ได้สนิทกับเราอยู่แล้วเธอก็คงจะอึดอัดเวลาอยู่กับพวกเราก็ได้" ซากิเอื้อมมือมาจับแขนของฟรานเบา ๆ เมื่อได้เห็นใบหน้าที่ดูหมอง ๆ ของเธอราวกับจะให้กำลังใจ
"งั้นเหรอ..." ฟรานไม่ได้เอะใจหรือรู้สึกอะไรเกินเลยคงเพราะเธอถึงเนื้อถึงตัวกับคนอื่นเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ในสายตาของซันนี่และชาญต่างก็รู้ดีว่าซากิชอบฟรานมากแค่ไหน เมื่อตอนยังอยู่โลกเดิมพวกเขาสองคนต่างก็เป็นคู่สร้างคู่สมที่ใคร ๆ ก็เห็นพ้องต้องกัน
เมื่อสินค้าทั้งหมดขายออกแล้วก็มีประกาศพักหนึ่งชั่วโมงก่อนที่การแข่งหนึ่งต่อหนึ่งจะเริ่มซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ลุกไปไหนแต่นั่งคุยกับเพื่อน ๆ ของตนเอง
"ฉันจะไปหาอะไรกิน...พวกนายเอาไหม ?" ชาญลุกจากที่นั่งทันควันเมื่อได้ยินเสียงประกาศ
"ไม่ล่ะฉันลดน้ำหนักอยู่" ซันนี่ตอบกลับอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งส่ายหน้า
"ผอมขนาดนี้แล้วยังจะลดอะไรอีก..." ชาญหยิกแก้มทั้งสองข้างของซันนี่จนแดงแต่ไม่ทันไรก็ถูกอะไรบางอย่างจิ้มเข้ามาที่ท้อง
"แม่คุณ ! อย่าเอาไม้คทามาเล่นแบบนี้สิ" ฟรานมองดูทั้งคู่เถียงกันไปมาดูมีความสุขมากกว่าโกรธกันเสียอีก
ภายใต้บรรยากาศครึกครื้นที่ทุกคนต่างก็สนุกสนานไปกับเทศกาลประจำปีโดยไม่รู้เลยว่ามีบางสิ่งกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่
เสียงจามอันเล็กแหลมของชาร์ลอทที่กำลังนั่งอยู่บนจอฉายภาพ
"พวกมนุษย์มีของใหม่ ๆ มาอีกละ ไม่แปลกเลยที่อาณาจักรเซียจะปกครองพื้นที่มากที่สุดและยังเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย"
"ดูนั้นสิ เจ้านั่นท่าทางแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ๆ เยอะเลยล่ะ ขอดูสักหน่อยสิว่านักเรียนที่ฝึกเพื่อการต่อสู้จะเก่งแค่ไหน"
ที่สนามประลองมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทางสบาย ๆ ยิ้มทักทายผู้ชมมากมายโดยไม่รู้สึกอายเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังร่ายมานาสร้างดอกไม้ไฟขนาดย่อม ๆ ยิงขึ้นเหนือหัวอย่างกับเป็นการเปิดงานให้กับตัวเขาเอง
"สวัสดีครับทุกท่าน ผม วินเลี่ยม คานที หรือที่รู้จักกันในชื่อวินฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ" ทันทีที่เสียงอันสดใสตะโกนออกไปก็มีเพียงความเงียบกริบตามมาด้วยเสียงร้องไล่ด้วยความไม่พอใจ
"ช่างเป็นเสียงตอบรับที่คุ้นเคยยิ่งนัก ให้บรรยากาศเหมือนกับปีก่อนเลย" วินยิ้มแย้มอย่างมีความสุขไม่ได้สนใจคำพูดพวกนั้น
"ไม่ต้องมาพูดเลย ! ปีก่อนแกเล่นทำสนามพังแถมยังทำขาฉันหักอีก" หนึ่งในผู้ชมตะโกนออกมาเสียงดังลั่น
"เออใช่ ! ฉันก็โดนเหมือนกัน"
"แหม่ ๆ ก็แค่พลาดนิดหน่อยเอง ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย" วินตอบกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริงไม่ได้รู้สึกสำนึกผิดหรือเศร้าแม้แต่น้อยจนคณะกรรมการต้องประกาศเริ่มดวลเพื่อให้ผู้ชมหยุดโหวกเหวกโวยวาย
"รู้ไหมว่าการดวลแบบหนึ่งต่อหนึ่งมันน่าเบื่อจะตาย กี่ปี ๆ ก็เห็นแต่แบบเดิม เอางี้นะพวกเราทุกคนก็ลงมาสนามไปเลย ใครยืนอยู่ได้เป็นคนสุดท้ายก็ชนะไป" ไม่เพียงแค่น้ำเสียงทะเล้นยิ้มหยอกล้อแถมยังมีการกวักมือพยายามจะยั่วโมโหผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ
"นักเรียนวิน ทำแบบนั้นมันขัดต่อแบบแผนที่เราวาง-" ไม่ทันที่กรรมการจะพูดจบก็ถูกวินแย่งไมค์ไปจากมือ
"ท่านผู้ชมทุกท่าน เราจะเปลี่ยนกฎการแข่งนิดหน่อย ผู้ลงแข่งทั้งหมดสิบคนจะลงมาอยู่ในสนามประลองและห้ำหั่นกันจนเหลือผู้ชนะเพียงคนเดียว"
"คิดว่าตัวเองเจ๋งมากเหรอวะเปลี่ยนกฎตามใจชอบแบบนี้ !"
"เป็นแค่ไอ้เด็กนอกคอก ! ริอาจทำตัวไร้กาลเทศะ รีบ ๆ ออกไปได้แล้ว"
เสียงตอบรับช่างน่าอดสูเหลือเกินเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ แต่เขากลับยังยิ้มให้กับทุกคนแม้จะด่าทอยังไงก็ตาม
"ประธานเขตเวทมนตร์...วิน ทำไมเขาถึงโดนเกลียดขนาดนี้ล่ะ ?" ฟรานจ้องมองกิริยาท่าทางของเขาจนมองเห็นถึงความรู้สึกในใจที่ไม่อยากจะให้ใครรู้
"ไม่รู้สิแต่ถ้าเอาตามคำบอกเล่า เขาจะเป็นคนที่บ้า ๆ นิดหนึ่งทำอะไรไม่เห็นหัวอาจารย์อยู่บ่อย ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือตัวสร้างปัญหานั่นแหละ" ซันนี่ตอบฟรานด้วยท่าทางที่ไม่มั่นใจเช่นเดียวกัน
"เหรอ...เขาเหมือนพยายามเรียกร้องความสนใจอยู่เลย มีเป้าหมายอะไรอยู่หรือเปล่า ?" ซากิพูดต่อทันทีชักสีหน้าไม่ชอบใจจนเห็นได้ชัด
"มา ๆ เริ่มกันเลย-" วินพูดไม่ทันจบก็มีบอลไฟพุ่งตรงเข้ามาเผาเสื้อผ้าของเขาไปส่วนหนึ่ง
"ฮ่า ๆ ๆ ต้องอย่างงี้สิถึงจะสนุก" วินเอามือสะบัดควันออกโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร อีกทั้งยังหัวเราะเยาะชอบใจ
"หน็อย ! อย่าได้ใจนักนะ" ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่พุ่งตรงเข้ามาพร้อมกับหอกยาว
"เฮ้ย ๆ หอกน่ะต้องรักษาระยะเพื่อความได้เปรียบ ไม่ใช่สู้ในระยะประชิด" วินหลบแล้วเอาซอกแขนหนีบหอกไว้ก่อนจะบิดตัวหักหอกนั่นในทีเดียว
"อ-อะไรกัน" ไม่ทันที่ศัตรูได้ตั้งตัวก็ถูกลูกเตะกลับหลังเข้าที่ท้องกระเด็นออกไปหลายเมตร
"ดูท่าการสู้แบบตะลุมบอนคงไม่ได้เรื่อง...งั้นเอาเป็นพวกแกทุกคนมาสู้กับฉันละกัน หนึ่งต่อเก้าน่าสนุกขึ้นมาเยอะเลยเนอะ"
"ก็เอาดิวะ !" ชายหญิงมากมายที่กำลังรายล้อมวินอยู่ต่างก็ร่ายคทาโจมตีพร้อม ๆ กัน
"ร่ายเวทช้ากันเกินไปแล้ว" ขณะที่เหล่าผู้ประลองกำลังตั้งสมาธิกับเวทมนตร์ของตนเมื่อได้ยินเสียงของวินที่กำลังหัวเราะอย่างมีเลศนัยจีงเหลือบตามองหน้าของเขา
"แกพูดพล่ามอะไรวะ ?" พวกเขาที่กำลังของขึ้นเพราะคำยั่วยุเพียงไม่กี่คำจนไม่ได้สังเกตพื้นที่ยืนอยู่เลยแม้แต่น้อย
"อ๊าก !" วงเวทที่วินร่ายไว้ปล่อยกระแสลมแรงพัดร่างของผู้ประลองคนอื่น ๆ ลอยขึ้นสูงหลายเมตรทำให้เสียจังหวะการใช้เวทมนตร์ ทั้งบอลไฟ เวทน้ำแรงดัน และยังมีใบมีดลม เวทเหล่านั้นถูกขัดเสียก่อนจะร่ายออกไปทำให้มันพุ่งไปทั่วทุกสารทิศโชคดีที่มีบาเรียป้องกันผู้ชมไว้ไม่ให้โดนลูกหลง
"โอ๊ย ๆ ก้นฉัน" หลังจากเวทลมของวินหมดลงมันก็ปล่อยพวกเขาร่วงลงกระแทกกับพื้น
"อ้าว ทำไมนั่งพื้นแล้วล่ะหรือว่าเหนื่อยแล้ว" น้ำเสียงที่กำลังเยาะเย้ยของวินแม้จะไม่ได้หัวเราะเสียงดังแต่แค่ท่าทางพวกนั้นก็ทำให้นักเรียนลูกคุณหนูทั้งหลายหัวเสียไปตาม ๆ กัน
"อ้อ ๆ แกก็เป็นหนึ่งในแก๊งไดเลนสินะ อืม ๆ อ่อนเหมือนกันหมดเลย" วินเดินเข้ามาจ้องมองชายหนุ่มตัวโตใกล้ ๆ ด้วยความโมโหเขาจึงคว้าขาของวินไว้
"โอะโอ นั่นมันดาบของนายไม่ใช่เหรอ ?" ชายหนุ่มตัวโตเหลือบมองมือที่คิดว่าคว้าขาของวินไว้แต่มันกลับเป็นดาบสองคมที่กำลังเฉือนมือของตัวเองอยู่
"ฮ่า ๆ ๆ ดูทำหน้าเข้าสิเป็นคนทำตัวเองแท้ ๆ" ทันใดนั้นก็มีคมดาบตวัดเล็งมาที่คอของวินกะจะฆ่าให้ตายในดาบเดียวแต่เขาก็ก้มหลบได้ทันควัน
"เข้าหลังเหรอ ? แบบนี้ก็สวยสิ" วินทิ้งตัวลงต่ำพร้อมกับหลบคมดาบที่กำลังกระหน่ำฟันแล้วเตะเข้าไปที่ระหว่างขาโดนจุดสำคัญจนนอนร้องโอดครวญไปเลย
"อย่าพึ่งตกใจเข้าไปพร้อมกันเลย" พวกเขาที่กำลังคุมสติตัวเองไม่อยู่หยิบอาวุธของตัวฟาดฟันกับวินโดยที่เขาเอาแต่หลบไม่มีการตอบโต้กลับเลย
"อย่าใจร้อนกันนักสิ" วินยิ้มอย่างมีเลศนัยออกมาขณะที่กำลังล่อพวกเขาไปยังวงเวทที่วางไว้ ทันทีที่เหยียบโดนก็มีแรงดันลมที่รุนแรงพอ ๆ กับกำปั้นของวินพุ่งกระแทกระหว่างขาของทุกคนจนไม่เหลือใครที่ยืนบนสนามประลองได้อีก
"แกนะแก !" เสียงที่เหมือนกำลังจะตายอยู่รำไรพยายามสาปแช่งชายผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่นักเรียน ชายที่สามารถยิ้มได้ท่ามกลางผู้คนที่นอนร้องเจ็บปวดทรมานโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร
"รออะไรอยู่ล่ะประกาศชื่อผู้ชนะเลยสิ"
"เอ่อ...ผู้ชนะ ว-วินเลี่ยม คานที" แม้เขาจะดูไม่เต็มใจแต่ก็ต้องทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไขเพราะสภาพที่เห็นก็คือเหล่านักเรียนที่กำลังนอนกองอยู่กับพื้นโดยมีเพียงวินเท่านั้นที่ยังยืนอยู่
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 415
แสดงความคิดเห็น