ตอนที่ 58 สัตว์ประหลาด! ปีศาจ!
ตอนที่ 58 สัตว์ประหลาด! ปีศาจ!
“ท่านพ่อ...ข้ากลัวว่าเขาจะ....”
“ยอดยาหยี อย่าพูดอะไร โปรดอย่าได้พูดอะไร” ฮั่วเจิ้นเทียนตาเบิกกว้างมองไปยังสนามประลองที่จมอยู่ใต้ทะเลเพลิง ชั่วขณะที่เพ่งสมาธิจ้องราวกับเขากำลังมองร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวที่มีเพียงฟองอากาศปกคลุม
สองผู้อาวุโสหลี่และหลิวเหงื่อผุดพราวดั่งหยดฝน แต่ยามเหงื่อไหลออกมาเพียงระเหยกลายเป็นไอด้วยความร้อน เสื้อผ้าของพวกเขาจึงไม่ชุ่มโชกด้วยเหงื่อแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าจะมีม่านพลัง พลังความร้อนก็ยังกระทบใบหน้า และพวกเขาก็ยังต้องเพ่งพยายามรักษาเสื้อผ้าของตนไม่ให้ถูกเผาเป็นชิ้นๆ ไม่เช่นนั้นร่างกายเปลือยเปล่าของพวกเขาก็จะเผยสู่สายตาสาธารณชน ทำให้ชื่อเสียงที่สั่งสมมาทั้งชีวิตต้องป่นปี้ลง
เพลิงผลาญขอบเขตสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใดจะกล้าสัมผัสโดยตรง นายน้อยตระกูลเย่ผู้นั้นสมควรถูกเผาไหม้เป็นเถ้าธุลี หรือไม่ก็....
เพลิงฟ้าเผาผลาญเป็นเวลานานกว่าสิบอึดใจ ในที่สุดก็เริ่มมีสัญญาณจางคลายลง พลังที่ท่วมทับค่อยๆลดระดับและสองบุรุษผู้ป้องกันต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก สิ่งที่เกิดขึ้นถัดไปนั้นทำให้สองผู้อาวุโสดวงตาแทบถลนออกจากเบ้าด้วยความตกตะลึง
เพลิงฟ้าค่อยๆวอดดับลง สองเงาร่างปรากฎขึ้นพร้อมกัน หนึ่งคือร่างของหลินเหยียนที่ทั่วร่างยังปะทุด้วยเพลิงฟ้า ส่วนอีกหนึ่งคือ...เย่หวูเฉินที่กำลังอ้าปากหาว เขาอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง แต่ร่างของเขากลับไม่มีรอยไหม้ใดๆ ทั้งสีหน้ายังไม่ปรากฎความหวาดกลัว กระทั่งยังดูเหมือนเขาต้องการให้เพลิงอยู่นานกว่านี้ ราวกับว่าเพลิงฟ้าใช้เวลาแสนสั้นจนเขาไม่มีโอกาสได้สัมผัสความเจ็บปวดใด
“เหตุใดถึงได้วอดดับเร็วเช่นนี้? เฮ้! ไม่เห็นจะสักเท่าไหร่เลย” เย่หวูเฉินบ่นเสียงต่ำ น้ำเสียงได้ยินไปถึงหูของสองผู้ปกป้องจนพวกเขาแทบจะเป็นลม
ในพริบตา สีหน้าของผู้คนต่างแตกตื่นตะลึงลาน บ้างก็อ้าปากกว้างแต่ลืมกรีดร้อง บ้างก็ขยี้ลูกตาไม่เลิกเพราะไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น บางก็บีบคอตัวเองเพื่อตรวจดูว่าตนเองไม่ได้ฝันไป
คำว่า ‘อัจฉริยะ’ ดูเหมือนจะไม่เพียงพอที่จะนิยามบุคคลผู้นี้ เวลานี้เขาสมควรถูกเรียกว่าสัตว์ประหลาด!...ปีศาจ!
เมื่อไฟวอดดับสนิทลง พวกเขาต่างเป็นประจักษ์พยานกับภาพน่าตะลึงของฉากต่อมา พื้นเวทีที่สูงหนึ่งเมตรตอนนี้ได้หายไป... ไม่เพียงแค่เวทีหายไปเท่านั้น กระทั่งพื้นที่ยังยุบตัวลง พัดหยกและกระบี่บนพื้นต่างหายไปไร้ร่องรอยไว้เบื้องหลัง...พวกมันถูกเผาเป็นเถ้าธุลีโดยสมบูรณ์
หลังจากเผชิญหน้าเพลิงฟ้าที่น่าสะพรึง เขากลับยังคงปลอดภัยไร้รอยแผดเผาเพียงเล็กน้อยแม้กระทั่งเสื้อผ้า
เย่เว่ยแทบกระโดดด้วยความตื่นเต้น เขาตบหลังภรรยาเบาๆ ทำหน้าติติงแล้วกล่าว “เห็นมั้ย ข้าบอกเจ้าแล้วว่าพวกเราต้องเชื่อในตัวเฉินเอ๋อร์ ตอนนี้พวกเราสบายใจได้ เฉินเอ๋อร์ของพวกเราไม่ใช่เฉินเอ๋อร์คนเก่าอีกต่อไป เขาได้เทพกระบี่เป็นอาจารย์ บางทีตัวเขาเองอาจเป็นเทพน้อยก็เป็นได้”
หวังเวิ่นชูทำแค่เพียงผงกศีรษะ พูดไม่ออกด้วยความแปลกใจอันแสนสุข
เย่หนู่หันขวับไปแล้วตบบ่าหลินขวงอย่างมั่นเหมาะ ทั้งยังตบแถมให้อีกหลายครั้ง จากนั้นกล่าวพร้อมหัวเราะ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผู้อาวุโสหลิน ผู้คนตระกูลหลินอย่างพวกท่านช่างไม่ธรรมดาจริงๆ เพลิงลูกใหญ่ขนาดนั้นยังเผาเส้นผมสักเส้นของหลานข้ายังไม่ได้เลย นับถือ นับถือ! ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
สีหน้าของหลินขวงซีดลง เขาไม่ปกปิดสีหน้าจากความตกตะลึง
“ท่านพ่อ คิดไม่ถึงว่าเขา...”
“เยี่ยมมาก! สหายน้อย! ไม่เคยมีใครที่ข้านับถือมากขนาดนี้มาก่อน... วันนี้ข้าเสียท่าเป็นครั้งแรกให้กับสหายผู้นี้ ในเมื่อเขาไม่สามารถกลายเป็นลูกเขยของข้าได้ เช่นนั้นอย่างน้อยพวกเราก็มาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน!” ฮั่วเจิ้นเทียนขัดจังหวะลูกสาวของตนอีกครั้ง พูดพล่ามไม่หยุด
ฮั่วฉุ่ยโหรวสะดุ้งตกใจ นางกล่าวอย่างรีบร้อน “จะเป็นไปได้อย่างไร เขายังหนุ่มอยู่มาก เขาจะเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับท่านพ่อได้เช่นไร”
“ใครบอกว่าคนหนุ่มไม่สามารถเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับบิดาของเจ้า แม้ว่าพวกตาแก่เหล่านั้นจะมาคุกเข่าต่อหน้าข้าเพื่อขอเป็นพี่น้องร่วมสาบาน ข้าก็ไม่มีทางยอมรับ”
ฮั่วฉุ่ยโหรวที่น่ารักไม่กล่าวคำใดอีก นางรู้ว่าบิดาของนางนั้นหัวรั้น ต่อให้เอาวัวร้อยตัวมาฉุดก็ไม่อาจรั้งให้เขาเปลี่ยนใจ
ผู้ปกป้องทั้งสองดึงพลังกลับ พวกเขาแทบหมดสิ้นเรี่ยวแรง ในที่สุดเพลิงฟ้าบนตัวของหลินเหยียนก็มอดดับลง แต่ดวงตาทั้งสองของเขากลับดูไร้วิญญาณ ร่างของเขาสั่นสะท้าน ไม่เพียงเขาจะใช้พลังเวทย์ทั้งหมดไป แต่ยังต้องประสบความตกตะลึงที่ไม่อาจทำใจ
“เป็นไปไม่ได้...นี่มันเป็นไปไม่ได้....” เขาพึมพำเสียงเบา ราวกับว่ากำลังฝันไปขณะที่มองไปยังเย่หวูเฉินที่ปราศจากอาการบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อย
หลงหยินยืนขึ้นแล้วกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด “ประมุขหลิน เพียงท่านมีโทสะท่านกลับใช้ทักษะเพลิงผลาญแปดแดนร้าง ท่านกระทั่งไม่คำนึงถึงชีวิตของประชาชนและตัวของข้า!”
สายตาโกรธเคืองนับพันมองไปที่หลินเหยียน นึกถึงความร้อนที่น่าสะพรึงกลัว ความหวาดหวั่นยังคงหลงเหลืออยู่ในใจของพวกเขา
“ฝ่าบาทโปรดระงับความโกรธ เขาได้กดยั้งพลังของเพลิงผลาญแปดแดนร้างให้อยู่ในขอบเขตที่แคบที่สุดแล้ว ไม่เช่นนั้นบริเวณโดยรอบคงต้องตกอยู่ใต้ทะเลเพลิงแล้ว แม้กระทั่งพวกเราทั้งสองคนก็ไม่อาจพาฝ่าบาทออกไปได้ ประมุขหลินลดพลังของเพลิงผลาญแปดแดนร้างลงเล็กน้อยเพราะเขาทราบดีว่ามีพวกเราคอยคุ้มกันอยู่ที่นี่ เขาไม่ได้มีเจตนาทำร้ายฝ่าบาทแม้แต่น้อย” ผู้คุ้มกันหลี่เงยศีรษะขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าว แม้ว่าเขาไม่ได้คิดให้อภัยการกระทำของหลินเหยียน แต่หากปล่อยให้หลงหยินมีโทสะไปมากกว่านี้ หลินเหยียนคงถูกลงโทษเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
หลงหยินแค่นเสียงเย็นชาแล้วนั่งลง จากนั้นกล่าวเสียงต่ำ “เช่นนั้นเรื่องนี้เป็นอันยุติ!”
หลงหยินย่อมไม่ใช่คนที่โอนอ่อนผ่อนตาม เขาเองอยากฉีกเจ้างั่งหลินเหยียนออกเป็นชิ้นๆ หลินเหยียนนั้นมักโอ้อวดและมีอารมณ์รุนแรง มักเหยียดหยามผู้คน ในครั้งนี้โทสะของเขาถูกกระตุ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ภายใต้ความเดือดดาลเขาคล้ายคนคลั่งไร้สติ หากแต่ยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์นั้นสามารถให้อภัย การปล่อยให้เลยตามเลยย่อมดีกว่าไปกระตุ้นโทสะของพวกเขา เพราะหากพวกเขาโกรธ พลังยอดยุทธชั้นสวรรค์นั้นสามารถนำพาหายนะมาได้โดยง่าย ที่หลินเหยียนเดือดดาลได้เป็นเพราะเขามีจุดเดือดต่ำ อีกทั้งยังมีตระกูลหลินหนุนหลังทั้งตระกูล
หลินเหยียนเวลานี้ไม่ได้ยินสิ่งใดที่หลงหยินกล่าว เขายังคงยืนจ้องอย่างโง่งมที่เย่หวูเฉิน เขาไม่อาจเชื่อสายตาตัวเองได้ลง เย่หวูเฉินค่อนข้างพอใจกับสีหน้าของหลินเหยียนในเวลานี้ เขายิ้มและชูสามนิ้วขึ้น “ประมุขหลิน จากที่พวกเราเดิมพันกัน ท่านต้องเรียกข้าว่า ‘ท่านปู่’ สามครั้ง ฝ่าบาทและผู้คนที่อยู่ที่นี่ต่างเป็นพยานให้แล้ว เอาละเด็กดี เรียกข้าว่าท่านปู่สิ”
รูม่านตาของหลินเหยียนเบิกโพลง ดวงตาเขาเบิกกว้าง มือที่สั่นสะท้านยกขึ้นช้าๆ ชี้นิ้วไปที่เย่หวูเฉิน แต่หัวใจที่ถูกเหยียดหยามและความโกรธทำให้เขารู้สึกราวอวัยวะภายในกำลังจะไหม้เป็นเถ้าธุลี
เย่หวูเฉินแค่นเสียงใส่เขา ใช้พลังเวทย์ทั้งหมดไปในโจมตีอย่างกราดเกรี้ยว สูญเสียเกียรติยศทั้งหมดไป รวมทั้งยังถูกองค์จักรพรรดิตวาดใส่....
เย่หวูเฉินพับนิ้วทั้งสามที่ยื่นออกไปทีละนิ้วพร้อมกับกล่าวช้าๆ “สาม....สอง....หนึ่ง....”
หลังจากเอ่ยคำว่า “หนึ่ง” หลินเหยียนก็ตาขาวเหลือก ราวกับโลกหมุนอยู่เบื้องหน้า เขาล้มฟุบหมดสติลงกับพื้น
น้องชายของผู้นำตระกูลหลิน ผู้มีสถานะไม่ต้อยต่ำไปกว่าหลินขวง ผู้เป็นประมุขของราชวิทยาลัยเทียนหลง ผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักเวทย์ไฟอันดับหนึ่ง กลับเป็นลมล้มพับอยู่เบื้องหน้านายน้อยตระกูลเย่
หลินเสี่ยวพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ต่อเย่หวูเฉิน มาเวลานี้หลินเหยียนกลับยิ่งพ่ายแพ้อย่างน่าเอน็จอนาถยิ่งกว่าเขา หลังจากวันนี้ไป ข่าวเหตุการณ์นี้ย่อมแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมือง และตระกูลหลินจะไม่อาจเงยศีรษะขึ้นยามอยู่เบื้องหน้าตระกูลเย่ได้อีกต่อไป
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 298
แสดงความคิดเห็น