ปาฏิหาริย์ซาตาน 11 : ชีวิตต้องเดินต่อไป (Rewrite)
ขณะที่มีดแหลมคมกำลังพุ่งเข้าหาลำคอระหงอย่างรวดเร็ว จังหวะนั้นมีดยาวปริศนาก็ฟันฉับเข้าที่คอของหัวหน้าโจรทะเลทรายเดือนแรมเสียก่อน หัวนั้นตกจากบ่าลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น เลือดสีดำที่พุ่งกระฉูดออกจากร่างเหี่ยวแห้งส่งกลิ่นเหม็นไหม้ฉุนกึกลอยกระจายไปทั่วบริเวณ พวกสมุนของจอมโจรทะเลทรายเดือนแรมเริ่มรับรู้ถึงเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นกับนายเหนือหัวของมัน
อินแชนดี้ยืนตลึงกับภาพนั้นได้ไม่นาน มือปริศนาของใครคนหนึ่งก็คว้าตัวเธอขึ้นมาบนหลังม้าอย่างกะทันหัน
“นาย!” อินแชนดี้อุทานเมื่อเห็นหน้าเจ้าของมือแข็งแรงที่คว้าตัวเธอขึ้นมา
“ทุกคนคงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว” อาสตาร์บอกเสียงเรียบ แววตาของเขาฉายความวิตกอย่างชัดเจน แม้สีหน้าจะยังสงบนิ่งอยู่ก็ตาม
“ทำไมล่ะ?!”
“เพราะฉันทำกับหัวหน้าพวกมันแบบนั้น..กำลังของพวกมันตอนนี้ยังพอรับมือได้ก็จริง แต่แค่ชั่วคราว ถ้าพวกมันมีกำลังมาเพิ่ม สถานะเดียวของทุกคนก็คือตาย” เขาพูดกับอินแชนดี้โดยไม่ได้หันมามองหน้า ดวงตาสีมรกตจับจ้องอยู่เพียงเส้นทางที่ม้าวิ่งไป
“แล้วเพื่อนๆฉันล่ะ?” อินแชนดี้ถามขึ้นด้วยความกังวล
“ไม่ต้องห่วงหรอก พวกฉันไม่ปล่อยให้พวกเธอเป็นอะไรง่ายๆแน่นอน” อาสตาร์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ยัยแชนไม่น่าจะอยู่แถวนี้!” ดิโมล่าส่งเสียงคุยกับเพื่อน ระหว่างกำลังพยายามต่อสู้กับพวกโจรทะเลทรายเดือนแรมอยู่
“เรื่องนั้นช่างมันก่อน ตอนนี้หาทางจัดการไอ้โจรทะเลทรายหน้าผีพวกนี้ให้ได้ก่อนเถอะ!” แวมไพร์ขานตอบ สองมือสองเท้าทำงานประสานกันพัลวันโต้ตอบฝ่ายตรงข้ามไปอย่างคล่องแคล่ว
เอลลิก้าที่ยืนปะทะอยู่ไม่ห่างมากนัก พยายามงัดวิชามาอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้ตนเองเป็นภาระคนอื่น และเผื่อจะหาทางช่วยเพื่อนรับมือกับฝ่ายตรงข้ามได้บ้างไม่มากก็น้อย แม้ใครต่อใครมักเห็นเธอในคราบสาวเรียบร้อยไร้พิษสง แต่เพื่อนๆ ต่างรู้ดี ความจริงฝีมือการต่อสู้ของเธอไม่ได้เลวร้ายมากนัก ยิ่งรู้ว่าตนเองจะเหยาะแหยะเหมือนเวลาปกติไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งจะสู้สุดตัวทีเดียว
ขณะที่ชาวค่ายกำลังต่อสู้เพื่อปกป้องตนเองและที่ซึ่งเป็นเหมือนบ้านอยู่นั้น จู่ๆ กลิ่นเหม็นเน่าอับชื้น คล้ายซากอะไรบางอย่างถูกทับถมใต้ดินมานานก็ลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ พวกสมุนโจรทะเลทรายเดือนแรมต่างหยุดชะงักทันที ก่อนจะพากันส่งเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังระงมค่าย พร้อมกับที่ร่างแน่นิ่งและขาดสะบั้นหลายร่างซึ่งถูกจัดการไปแล้วกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่
“ซวยแล้ว!” ฟาร์เน่ตาเบิกกว้างทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?!” เอลลิก้าหลุดปากออกมาด้วยความไม่เข้าใจสถานการณ์
“เป็นเพราะกลิ่นบ้าเหม็นๆ นี่หรือเปล่า” ดิโมล่าคาดเดาพลางถอยไปยืนหอบข้างๆ ฟาร์เน่
“สวัสดีครับสาวๆ ขอโทษที่ให้รอนาน!” เสียงทักทายอย่างร่าเริงดังมาจากชายหนุ่มผู้เพิ่งเข้ามาใหม่
ทั้งสี่สาวได้ยินก็รีบหันไปมองด้วยจำได้ว่าเสียงใคร แล้วค่อยใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นเดโวโล่ และอีกสองหนุ่มวิ่งเข้ามาสมทบ
“ปลอดภัยกันดีใช่ไหมครับ!” เดโวโล่ถามอย่างมีน้ำใจ แข่งกับเสียงเกรี้ยวกราดของฝ่ายตรงข้ามที่ยังไม่สงบ
“พอไหวค่ะ แต่ก็หนักเอาการอยู่เหมือนกัน” ฟาร์เน่ที่อยู่ใกล้เขาที่สุดตอบแทนเพื่อนๆ
“เมื่อกี้เห็นฝีมือคุณแล้ว ใช้ได้เลยนะ สมกับที่ผมอุตส่าห์ฝึกให้” เดโวโล่ชมฟาร์เน่พร้อมรอยยิ้มกระชากใจ
ภาพนั้นทำให้ฟาร์เน่อดเขินรุนแรงขึ้นมาไม่ได้ ทว่าจำต้องบอกตนเองให้พยายามระงับอาการไว้สุดขีด เพราะตระหนักดีว่าไม่ใช่เวลาที่ควรปล่อยสติหลุด ก่อนความวุ่นวายจะกลับมาดุเดือดอีกครั้ง หลังจากพวกโจรทะเลทรายเดือนแรมกลับฟื้นคืนชีพมาภายในเวลาไม่กี่นาที
“มาแข่งกันดีกว่า ว่าผมกับคุณใครจะจัดการพวกนั้นได้มากกว่ากัน” เดโวโล่ทิ้งท้ายให้ฟาร์เน่ ก่อนจะหันไปตั้งรับการโจมตีจากฝ่ายศัตรูที่กำลังกรูเข้ามาหา
จากนั้น ทั้งสี่สาวและอีกสามหนุ่มก็กระจายกันต่อสู้ โดยยืนเรียงหันหลังชนกันเป็นวงกลมขนาดพอประมาณ เพื่อป้องกันพวกโจรทะเลทรายเดือนแรมลอบโจมตีเข้าทางด้านหลัง ตุบ!แล้วไม่นานนัก ร่างบางของสาวหวานประจำกลุ่มก็ถูกซัดให้ไปชนกับอีกร่างหนึ่งเข้า ก่อนเจ้าตัวจะรีบหันหน้าไปมองว่าเธอชนกับใคร
“ดิม” เอลลิก้าเรียกชื่ออีกฝ่าย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เด็กสาวด้านหลังหันมามองเช่นกัน “ขอโทษนะ พอดีพวกนั้นฟาดมาแรงเกินไปหน่อย..” เธอรีบขอโทษทันที พร้อมกับหันหน้าไปเผชิญศัตรูอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร ระวังตัวดีๆล่ะ” ดิโมล่าไม่ได้ถือสาอะไร พอรู้ว่าตนเองชนกับใครก็โล่งอก แล้วรีบหันไปตั้งสมาธิกับร่างยักษ์หน้าตาน่าเกลียดสองสามตัวเบื้องหน้าแทน
“โอ๊ย!” ดิโมล่าอุทานออกมาเมื่อเป็นฝ่ายโดนซัดไปกระแทกกับร่างหนาของใครบางคนเข้าอย่างจังบ้าง ก่อนจะได้หันไปมองว่าคนด้านหลังตนเองเป็นใคร
“เป็นอะไรของเธอ” โลกูลิสเหลือบมองเด็กสาวแวบหนึ่งแล้วทักขึ้น
“โทษที ฉันต้านพลังไอ้ตัวบ้านั่นไม่ไหว” ดิโมล่าบอกพลางรีบหันหน้ากลับไปจับจ้องที่สมุนโจรทะเลทรายเดือนแรมซึ่งกำลังย่างสามขุมเข้ามาหา
“อย่างเธอน่าจะต้องใช้หัวสู้มากกว่าจะปะทะตรงๆ” เขาแนะนำโดยดี ไม่มีถ้อยคำจิกกัดเด็กสาวเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา....แต่จะเป็นแบบนี้ได้นานแค่ไหน “ยกเว้นเธอไม่มี...”
“อะไรนะ!...นายว่าฉันไม่มีอะไรนะ!” ความโมโหพุ่งปรี๊ดขึ้นสมองเด็กสาวทันที
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรเธอกลับมา ใบหน้าสวยจึงหันไปดูหน้าเขาแวบหนึ่ง และแค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น ก็ทำใจดวงน้อยเดือดปุดๆ ได้มากทีเดียว เมื่อเห็นสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ไม่สนของคนด้านหลัง
“ถ้าไม่ติดต้องจัดการไอ้พวกโจรทะเลทรายเดือนแรมก่อน ฉันจะเอามีดงัดหมาออกมาจากปากนาย!” ดิโมล่ากัดฟันกรอด มือกำดาบของตนเองแน่น รู้ดียังไม่ใช่เวลาสั่งสอนเขาให้สำนึก
เคร้ง! เสียงของโลหะกระทบกันดังห่างจากจุดที่แวมไพร์ยืนอยู่แค่นิดเดียว ด้วยความที่เธอกำลังติดพันกับพวกปีศาจสองสามตัวด้านหน้าอยู่ จึงทำให้ไม่ทันระวังทางอื่น พอรู้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ขนาดนั้นก็รีบหันไปมอง
“ฮันเตอร์!” แวมไพร์หลุดปากเรียก เมื่อเห็นว่าเป็นเขาที่ช่วยเข้ามารับดาบฝ่ายตรงข้ามไว้ให้ “ขอบใจนะ” เธอไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่านี้
“เปลี่ยนจากคำขอบใจเป็นพยายามช่วยตัวเองให้ได้โดยที่ฉันไม่ต้องมาช่วยเธอบ่อยนักจะดีกว่า” เขาพูดออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้เยื่อใย
“ฉันไม่ได้ปวกเปียกขนาดนั้น และนี่ก็เพิ่งเป็นครั้งแรกที่นายเข้าช่วย” แวมไพร์เถียงกลับด้วยความไม่ค่อยชอบใจ ที่คนตัวสูงกว่าดูถูกฝีมือในด้านที่คนรอบตัวต่างรู้ดีว่าเธอเก่งกาจแค่ไหน
“ก็ดี...” อีกฝ่ายรับสั้นๆ ด้วยความเย็นชา
“เอลขึ้นอูฐ!!” แล้วจู่ๆ ใครคนหนึ่งก็ส่งเสียงมาแต่ไกล ก่อนอูฐตัวหนึ่งจะวิ่งมาหยุดตรงหน้าเอลลิก้า “รีบขึ้นอูฐเร็ว” คนบนหลังอูฐยื่นมือให้เธอ
“ค..ค่ะ” เด็กสาวไม่มีเวลาคิดมากนัก รับคำแล้วก็รีบจับมือชายหนุ่มให้เขาช่วยดึงขึ้นไปทันที
ระหว่างนั้น ก็มีขบวนม้าวิ่งคุ้มกันอูฐอีกสามตัวเข้ามาในพื้นที่การปะทะของเหล่าหัวหน้าจอมโจรทะเลทรายทิศใต้ทั้งสาม อูฐทุกตัวต่างวิ่งตรงไปยังเจ้านายของมัน พวกผู้ชายไม่รอให้ฝีเท้าอูฐหยุดดี ก็รีบกระโจนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว แล้วขี่มันเข้าไปหาคู่ฝึกสาวของตน
“ตามมา!!” อาสตาร์บนหลังอูฐอีกตัวเรียกทุกคน ก่อนจะเข้ามาที่นี่เขารีบไปเปลี่ยนพาหนะมา เพราะอูฐจะมีประโยชน์มากกว่าม้าหากต้องเดินทางในทะเลทรายไกลๆ ด้านหลังเขามีอินแชนดี้นั่งคู่อยู่ มือข้างหนึ่งของเธอถือคบเพลิงไว้ และอีกข้างจับบ่าชายหนุ่มเป็นหลักยึดกันตก
“ไอ้แชน!” ฟาร์เน่ร้องขึ้นด้วยความยินดี เมื่อเห็นเพื่อนที่พวกเธอตามหายังคงปลอดภัย
“ฉันปลอดภัยดี!” อินแชนดี้ขานตอบเพื่อนให้คลายห่วง ก่อนอาสตาร์จะขี่อูฐนำทุกคนออกมา หลังจากเห็นเพื่อนของตนและอีกสี่สาวขึ้นอูฐแต่ละตัวเรียบร้อย
พอทุกคนออกมานอกค่าย ก็เจอกับกลุ่มอูฐอารักขาจำนวนหนึ่งดักรออยู่ เมื่อเห็นพวกหัวหน้าของตนเองออกมาแล้ว ก็รีบบังคับอูฐวิ่งเข้าไปหา จากนั้นวางวงป้องกันไว้รอบด้านทันที โดยมีกลุ่มม้าอารักขากลุ่มแรกคอยล้อมเป็นวงอยู่ด้านนอกอีกชั้นหนึ่ง
อูฐราวสามสิบตัวและม้าอารักขาอีกจำนวนหนึ่งวิ่งมุ่งตรงสู่ทะเลทรายเวิ้งว้างเบื้องหน้าด้วยความเร็ว ทิ้งลูกค่ายหลายร้อยชีวิตถ่วงเวลาพวกโจรทะเลทรายเดือนแรมไว้ไม่ให้สามารถตามพวกเขาทัน
คนเจ็ดสิบกว่าชีวิตเร่งเดินทางตลอดหลายชั่วโมงไม่หยุดหย่อน เพื่อให้อยู่ห่างค่ายที่จากมามากที่สุด อย่างน้อยการเดินทางฆ่าเวลารอจนกว่าแสงวันใหม่จะมาก็คงไม่ทำให้เสียเวลาเปล่า
“พวกเราจะพักกันที่นี่ จะเดินทางอีกทีหลังกินมื้อเย็นเสร็จ” อาสตาร์บอกกับลูกสมุนทั้งหกสิบคนของเขา ก่อนทุกคนจะแบ่งหน้าที่กันจัดสถานที่ และทำอาหาร
“อากาศร้อนจริง เหงื่อไครไหลเหนียวตัวไปหมด ต่อให้อยู่นานเป็นอาทิตย์ๆ แล้วก็ไม่ชินสักที” ดิโมล่าบ่นกับเพื่อนๆ ระหว่างถอดชุดคลุมสีครีมด้านนอกออก เผยให้เห็นเสื้อผ้าฝ้ายแขนกุดสีซีด ขณะนี้เด็กสาวอยู่รวมกันกับเพื่อนในกระโจมหลังใหญ่ จึงไม่นึกห่วงเรื่องถูกแดดเผาผิวมากนัก
“แผลที่ไหล่แกหายดีแล้วนี่ เหลือแค่รอยบางๆ เท่านั้น” อินแชนดี้ทักขึ้นเมื่อหันไปเห็นไหล่นวลเนียนของเพื่อนที่ก่อนหน้าเคยถูกฟันมา
ดิโมล่าเหลือบมองต้นแขนตนเองนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ย
“ถึงอีตาบ้านั่นจะปากเสียมากไปหน่อย แต่ก็ต้องขอบคุณเขานั่นแหละ ที่ช่วยพยาบาลให้ เห็นใช้สมุนไพรอะไรสักอย่าง ก็นึกว่าแค่ช่วยห้ามเลือด ไม่รู้ว่าเพราะคาถาที่อีตานั่นสวดขมุบขมิบใส่ด้วยหรือเปล่านะ”
“แพทย์ไสยขาวหรือ?” เอลลิก้าถามด้วยความสนใจ การรักษาด้วยพืชสมุนไพร หรือพืชโบราณพร้อมท่องคาถากำกับ เธอไม่ค่อยเห็นศาสตร์ไหนทำมากนักนอกจากสายดังกล่าว
“ไม่รู้เหมือนกัน ทำไม แกรู้จักวิธีรักษาแบบนี้หรือ” ดิโมล่าสงสัย นึกสนใจศาสตร์แบบนี้ขึ้นมาบ้าง การที่ต้องอยู่ในโลกที่ไม่รู้จัก และไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไร หากได้วิชารักษาตัวดีๆ มาบ้างนับว่าเป็นเรื่องวิเศษ
“เคยเห็นแต่ศาสตร์ไสยสายขาวเขาทำกัน แต่เอลทำไม่เป็นหรอก ถ้าอยากรู้ก็คงต้องถามคุณโลกูลิสแล้วล่ะ”
เพี้ย!
“นี่ไอ้ฟาร์ เพิ่งกินข้าวเสร็จก็เลื้อยเลยนะ!” เสียงเอ็ดของแวมไพร์ดังขึ้นมาจากทางหนึ่ง ก่อนสามสาวที่นั่งคุยกันอยู่จะหันไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น
“ไอ้ไพร์ ฉันไม่ได้หนังด้านหนาทนถึกเหมือนแกนะ ตีลงมาได้” ฟาร์เน่บ่นขณะเอนตัวนอนหลับตาอยู่ พลางยกมือข้างหนึ่งมาถูแขนบริเวณที่เพิ่งถูกฝ่ามือของเพื่อนตีลงไปอย่างแรง
ปึ๋งๆๆ !แล้วเสียงเคาะผ้าปากกระโจมก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงที่สาวๆ ทุกคนคุ้นเคยกันดี
“ฉันเอายาทาแก้เคล็ดขัดยอกกับยาถอนพิษสัตว์มาให้”
ตอนนี้เอลลิก้าเป็นคนที่นั่งใกล้ปากกระโจมมากที่สุดจึงเอื้อมมือออกไปผลักผ้าปากกระโจมให้เปิดออกเพื่อต้อนรับชายหนุ่ม
“อะนี่ ขวดจุกสีน้ำเงินเอาไว้แก้ปวดเมื่อยหรือคลายเส้น ส่วนจุกสีแดงสำหรับแก้พิษสัตว์จำพวกงู แมงมุม และแมงป่อง วิธีใช้เหมือนยาหม่องบ้านเรานั่นแหละ แบ่งมาให้พวกเธอเก็บไว้ใช้บ้าง เผื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด” พิราเต้ยื่นขวดแก้วเล็กๆ สี่ห้าใบให้เอลลิก้าพร้อมอธิบายเสร็จสับ
“และขอเตือนว่า อย่าให้อาวุธอยู่ห่างตัว เพราะต่อจากนี้อันตรายจะถึงตัวเมื่อไหร่ก็ได้” เขาสัมทับทิ้งท้าย จากนั้นเมื่อหมดธุระแล้วชายหนุ่มก็เดินกลับไปยังกระโจมของตนเองกับเพื่อนๆ เพื่อนอนเอาแรงบ้าง
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เหล่าผู้เดินทางกลางทะเลทรายทั้งหกสิบกว่าชีวิตก็พากันแยกย้ายเข้ากระโจมของใครของมันไปพักผ่อน ทิ้งม้าและอูฐเป็นยามเฝ้าระวังอยู่ด้านนอกโดยปราศจากคนดู พวกเขาเชื่อว่า พาหนะทั้งหลายที่นำมาด้วยได้รับการฝึกมาดีแล้ว ทั้งยังฉลาดเฉลียว หากมีอันตรายประเภทสัตว์ร้ายเข้ามาใกล้ พวกมันย่อมจะส่งสัญญาณให้ทุกคนรู้อย่างแน่นอน
เวลาเคลื่อนคล้อยไปจนจวบเย็น หลายกระโจมเริ่มมีการเคลื่อนไหว สมุนโจรทะเลทรายทิศใต้จำนวนหนึ่งพากันออกมาก่อไฟทำอาหาร และบ้างก็ช่วยกันเก็บสำภาระขึ้นอูฐ เพื่อเตรียมออกเดินทางต่อในอีกไม่นานนี้
ช่วงเวลาที่ทุกคนพักผ่อน บริเวณรอบที่ตั้งแค้มป์ไม่มีอันตรายใดกล้ำกราย ทุกอย่างราบเรียบเป็นปกติดี ทำให้เกือบทุกคนหลับเต็มตื่น ฟื้นคืนแรงเต็มที่ ทว่าในจำนวนไม่กี่คน แม้ร่างกายจะหลับสนิทดี แต่จิตใต้สำนึกของพวกเขาก็ต้องปั่นป่วนไปกับฝันประหลาด
“ฮ้าววววว กี่โมงแล้วเนี่ย?” แวมไพร์บิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะออกแรงดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ป้าบ “เฮ้ย!ตีนใครวะ ฟาดลงมาซะเต็มท้องฉันเลย แล้วทำไมหัวของทุกคนมันอยู่ที่ปลายเท้าฉันล่ะ!” เธอตกใจกับสภาพที่เห็นสุดๆ จากนั้นจึงกวาดสายตามองไปทั่วกระโจม
เท้าคู่กรณีที่ฟาดลงบนท้องของเธอเต็มๆ ไม่ใช่ของใครที่ไหน แต่เป็นของฟาร์เน่เพื่อนรัก และดิโมล่ายังทับช่วงล่างของเธอไว้อีก ทำเอาแทบขยับขาไม่ได้ แถมอินแชนดี้เองก็เอาขาทั้งขาพาดไหล่เธอไว้ ยังดีที่ไม่มีเอลลิก้ามาสมทบ เพราะรายนั้นนอนสงบเรียบร้อยอยู่ริมกระโจมเพียงคนเดียว
“พวกมันคิดว่าตัวเองเบาเป็นปุยนุ่นหรือไงเนี่ย แล้วความเป็นกุลสตรีไม่เคยมียังไงก็ยังไม่มีเหมือนเดิม จะดีใจดีไหมวะ ที่เพื่อนรักทุกคนยังเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยเปลี่ยน” แวมไพร์บ่นไปก็เหนื่อยใจไป เธอควรชินได้ตั้งนานแล้ว แต่ยังไงก็ชินไม่เคยได้สักที
จนแล้วจนรอด เด็กสาวก็พาตนเองหนีออกมาจากกระโจมพิศวงได้ในที่สุด
“ตื่นพอดี”
พอย่างพ้นปากกระโจมมาได้ ใครคนหนึ่งก็ทักขึ้นทันที ใบหน้าสวยหล่อจึงหันไปมองตามเสียง ก่อนพบโลกูลิสยืนอยู่ออกไปไม่ห่างมากนัก
“ตอนนี้มีแค่ฉันแหละที่ตื่น” แวมไพร์ตอบ
“ฉันจะมาบอกให้เตรียมตัวกันได้แล้ว หลังกินข้าวเสร็จพวกเราจะออกเดินทาง”
ระหว่างที่หนึ่งหญิงหนึ่งชายกำลังยืนคุยกันอยู่หน้ากระโจมนั่นเอง เสียงจากภายในกระโจมดังกล่าวก็แว่วออกมาให้ได้ยิน
“นี่พวกแก!เอาแขนขาและตัวของพวกแกออกไปจากตัวฉันเดี๋ยวนี้นะ” ดิโมล่าโวยวายขึ้นเมื่อมองเห็นสภาพที่ตนเองกำลังถูกกระทำ
“โวยวายอะไรแต่เช้าฮะดิม” อินแชนดี้เอ่ยขึ้นด้วยความงัวเงีย พลางขยับตัวหนีไปอีกทาง
“ตื่นกันได้แล้ว!เอาอวัยวะพวกแกไปไกลๆ เลย”
“โอ๊ยดิม เสียงดัง คนจะนอนนะ” ฟาร์เน่บ่นขึ้นบ้างก่อนจะกลิ้งหนีไปอีกคน
“พวกแก ตื่นได้แล้ว!” แล้วแวมไพร์ก็เปิดกระโจมเข้ามา เบื้องหลังเธอ มีโลกูลิสยืนขมวดคิ้วมุ่นอยู่
หลังจากจัดการธุระส่วนตัวกันเรียบร้อย ทั้งห้าสาวก็พากันมารวมตัวรับประทานอาหารเย็นกับพวกหนุ่มๆ ....ขณะกินๆ อยู่ หนึ่งในห้าจอมโจรทะเลทรายทิศใต้ก็เอ่ยขึ้นกลางวง
“ก่อนหน้านี้ ตอนที่พวกเธอหลับ มีใครฝันอะไรแปลกๆ กันหรือเปล่า?” อาสตาร์มองหน้าสาวๆ พวกเธอได้ยินคำถามนั้นก็ชะงักไปนิดหนึ่ง
“ฝันประหลาด เกี่ยวกับถ้ำหยั่งรู้..พวกนายก็ฝันเหมือนกันหรือ?” อินแชนดี้ถามกลับ ความจริงเรื่องนี้วนเวียนอยู่ในหัวเธอได้สักพักแล้ว
“จริงด้วย!นี่แกก็ฝันหรือไอ้แชน?” ฟาร์เน่เพิ่งนึกขึ้นได้ แล้วหันไปถามเพื่อน เพราะฝ่ายนั้นพูดชื่อถ้ำที่เธอฝันถึงได้ถูกต้อง
ถึงตรงนี้ฟาร์เน่และอินแชนดี้ก็หันมองหน้าเพื่อนรักที่เหลือ ก่อนจะหันไปทางห้าหนุ่มบ้าง เพื่อรอฟังคำอธิบายเพิ่มเติม
“พวกฉันคุยกันแล้ว ทุกคนฝันเหมือนกันหมด” อาสตาร์ตอบ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 513
แสดงความคิดเห็น