ปาฏิหาริย์ซาตาน 10 : คืนเฝ้าระวัง (Rewrite)
วันใหม่มาถึง ทั้งห้าสาวชวนกันตื่นแต่เช้าตรู่ เพราะคุยกันไว้เมื่อคืนว่าจะพากันออกไปหารือกับเหล่าหัวหน้าจอมโจรทะเลทราย เรื่องให้พวกเธอรอพวกเขาไปด้วย เพื่อตามหาเบาะแสทางออกจากหนังสือและช่วยกันตามหาคุณปู่ของสาวๆไปพร้อมกัน ทว่าเมื่อมาถึงกระโจมของชายหนุ่มแต่ละคนแล้ว กลับไม่พบตัวเจ้าของอยู่ภายในแม้สักคนเดียว
“กระโจมของนายฮันเตอร์ก็ไม่มีใครอยู่” แวมไพร์เดินกลับออกมาจากกระโจมของหนึ่งในหัวหน้าจอมโจรพร้อมรายงานให้เพื่อนๆรู้
“พวกนั้นหายไปไหนแต่เช้า ยังไม่ได้เวลาออกปล้นเลยหนิ” ดิโมล่าเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย
“วันนี้ดูคนในค่ายยุ่งๆ พวกเขารีบออกไปทำอะไรกันหรือเปล่า” เอลลิก้าที่สังเกตความผิดปกติในค่ายได้พูดขึ้น
“รีบไปทำอะไรหรือ? ถ้าออกไปปล้น พวกนั้นมักจะเอาคนไปกันมากๆตลอด เท่าที่เห็นตอนนี้ คนในค่ายก็ไม่ได้หายไปจนผิดสังเกตนะ” อินแชนดี้ออกความเห็น
“มีอะไรกันนะพวกนั้นน่ะ อย่างน้อยน่าจะส่งคนมาบอกข่าวพวกเราบ้าง” ฟาร์เน่อดบ่นออกมาไม่ได้ พวกเธออุตส่าห์รีบมาหาห้าหนุ่มตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อจะมาคุยเรื่องสำคัญด้วยแท้ๆ แต่กลับไม่พบตัวอีกฝ่ายเสียอย่างนั้น
“นี่ๆ เจ้าน่ะ รู้ไหมว่าหัวหน้าพวกเจ้าหายไปไหนกัน”ดิโมล่าหันไปเห็นชายฉกรรจ์คนหนึ่งผ่านมาเลยเรียกไว้
“ท่านจอมโจรทั้งห้าออกไปเตรียมการรับมือกองโจรทะเลทรายเดือนแรมขอรับ” ถามมาสั้นๆ อีกฝ่ายก็ตอบสั้นๆได้ใจความกลับไปเช่นกัน
“ตอนนี้พวกนั้นอยู่ที่ไหน?”แวมไพร์ถามบ้าง
“ไม่แน่ใจขอรับ เพราะท่านทั้งห้าต้องวางแผนเตรียมการทั่วค่าย จึงไม่อาจแจ้งที่อยู่ตอนนี้ได้ชัดเจนนัก”
“พวกนั้นคงจะวุ่นวายอยู่จริงๆ อย่างนั้นพวกเรากลับไปรอกันที่กระโจมดีกว่า ดูท่าเรื่องที่พวกนั้นกำลังจัดการจะสำคัญไม่น้อย พวกเราไปคุยตอนนี้อาจไม่สะดวก อีกอย่างขืนไม่รู้พิกัดแน่นอนจะเสียเวลาคลาดกันไปคลาดกันมาเท่านั้น”อินแชนดี้ประเมินสถานการณ์
“ขอบใจเจ้ามาก พวกข้าหมดธุระแล้ว เจ้าไปทำงานต่อเถอะ”ฟาร์เน่เป็นคนหันไปตัดบทกับลูกสมุนของห้าหนุ่ม
“เฮ้ยไอ้เดวทุกอย่างเรียบร้อยหรือยังวะ?” พิราเต้ที่พึ่งเดินเข้ามาถามขึ้น
“ก็ใกล้แล้วนะ” เดโวโล่หันมาตอบก่อนจะหันกลับไปสั่งคนของตนต่อ
“มีคนมาบอกว่าก่อนหน้านี้ห้าคนนั้นมาหาพวกเรา แต่ไม่เจอ เลยพากันกลับไปแล้ว” อาสตาร์เดินเข้ามาบอก อีกสองหนุ่มตรงนั้นทราบดีว่า ห้าคนนั้น ที่เพื่อนหมายถึงคงเป็นใครไม่ได้นอกจากห้าสาว
“สงสัยจะมาถามเรื่องที่จะออกเดินทาง” พิราเต้คาดเดา
“ยังไม่มีใครบอกเรื่องโจรทะเลทรายเดือนแรมให้พวกสาวๆรู้เลยใช่ไหมวะ” เดโวโล่ถามพลางกวาดดวงตาเรียวสีฟ้ามองหน้าพิราเต้และอาสตาร์ที่เหลืออยู่ด้วยกันตอนนี้ไปมา ส่วนอีกสองหนุ่ม ฮันเตอร์ โลกูลิสอยู่คุมสมุนทำงานอีกที่หนึ่ง
“เดี๋ยวฉันไปบอกให้” อาสตาร์อาสา แล้วจึงเดินผละออกไปจากที่นั่นแทบจะทันที
เวลานี้แสงอาทิตย์หายลับไปในม่านสีดำเรียบร้อยแล้ว เหล่าสาวๆพากันกลับมาตั้งหลักที่กระโจมของตนเองตั้งแต่เช้า จนตกเย็นก็ยังไม่พบตัวห้าหนุ่มแม้แต่คนเดียว
“จนป่านนี้ละยังไม่มีใครโผล่มาส่งข่าวอีก”ดิโมล่าเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นหลังจากทุกคนเงียบกันอยู่นาน
“นั่นสิ ถ้าเป็นเรื่องสำคัญอะไรก็น่าจะส่งคนมาบอกกันบ้างนะ”ฟาร์เน่พูดขณะนอนขาแวมไพร์อยู่ ส่วนแวมไพร์ก็ทับขาดิโมล่าอีกที และเอลลิก้าก็นอนหนุนแขนฟาร์เซ่อีกต่อหนึ่ง
“งั้นฉันลองออกไปหาพวกผู้ชายดูอีกรอบแล้วกัน ค่ำแล้ว พวกนั้นน่าจะกลับมากันบ้างแล้วนะ”อินแชนดี้บอก ก่อนจะขยับลุกจากโต๊ะอ่านหนังสือเดินไปทางปากกระโจม
แต่ยังไม่ทันที่ร่างเพรียวจะเดินพ้นม่านกระโจมดี เธอก็ชนเข้ากับอะไรบางอย่างเข้าจังๆจนรู้สึกมึนไปเล็กน้อย ด้วยความไม่ได้ตั้งตัวของคนถูกชน แขนสองข้างก็ทำงานอัตโนมัติ ยกตวัดเด็กสาวเข้าอ้อมอกอย่างลืมตัว
สาวสวยมาดสุขุมที่สุดในกลุ่มกระตุกตัวเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของวงแขนแข็งแรงทันทีด้วยความอึ้ง ร่างกายแข็งทื่อไปชั่วขณะ เพราะสำเนียกอยู่ตลอดเวลาว่า ที่ที่ตนอยู่ตอนนี้ นอกจากสี่สาวที่เป็นทั้งเพื่อนรักและญาติสนิท ที่เหลือก็ไม่มีใครคุ้นเคยพอจะให้แตะต้องตัวได้มากขนาดนี้อีกแล้ว
“นาย!” อินแชนดี้หลุดปากเรียกคนตรงหน้าด้วยความตกใจ
“ขอโทษที ฉันไม่ทันระวังตัวไปหน่อย” อาสตาร์บอกเสียงเรียบสุภาพตามฉบับผู้ชายสุขุม
“เอ่อ...” เอลลิก้าเห็นเพื่อนชะงักที่ปากกระโจมจึงเดินมาดู พอเห็นอินแชนดี้กำลังถูกผู้ชายที่พวกเธอเพิ่งรู้จักได้ไม่นานกอดอยู่ ก็พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
“เอล!” อินแชนดี้หันไปมองด้วยความตกใจ ก่อนร่างกายของเธอจะถูกอาสตาร์ค่อยๆดันออกอย่างสุภาพ
“ไม่มีอะไรหรอก เป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น” เขาหันไปอธิบายให้เด็กสาวอีกคนเข้าใจ
“..ค่ะ..” เอลลิก้ารีบพยักหน้าเข้าใจตอบไปอย่างไม่รู้ว่าควรทำอะไรดี
“อะฮึ่ม” แล้วอินแชนดี้ก็กระแอมออกมาเพื่อเรียกสติตนเอง “นายมาก็ดีแล้ว พวกฉันมีอะไรจะปรึกษาสักหน่อย” เธอพยายามทำตัวให้ปกติที่สุดเพื่อกลบเกลื่อนความอายที่ถูกผู้ชายเพิ่งรู้จักกอด แถมเพื่อนก็ดันมาเห็นเข้าอีก
“ฉันรู้แล้ว ส่วนหนึ่งที่มาที่นี่ก็จะมาคุยกับพวกเธอเรื่องนี้”
เมื่อวานตอนค่ำ อาสตาร์มาพูดคุยสองสามเรื่องกับทั้งห้าสาว เขาบอกพวกเธอว่า กำลังเตรียมสำภาระ คน และพาหนะในการเดินทางอยู่ คาดว่าอีกไม่กี่วันก็จะออกจากค่ายได้ และเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ทุกคนในค่ายตอนนี้ต้องรู้ คือ วันนี้ตั้งแต่หกโมงเย็นเป็นต้นไป ห้ามใครก็ตามที่ไม่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ทำ ออกมาเดินเพ่นพ่านนอกที่พักของตนเองเด็ดขาด เพราะหลังจากเวลาดังกล่าวไป จะมีกลุ่มทะเลทรายเดือนแรมออกมาปล้นสมบัติของโจรทะเลทรายทั่วไป ดังนั้นทุกคนจะต้องระวังตัว และปฏิบัติตามข้อบังคับอย่างเคร่งครัด
“วันก่อน วันที่ฉันบาดเจ็บกลับมานั่นแหละ ตอนอยู่กลางทะเลทราย ฉันเห็นลูกไฟหลายดวงลอยไปมาอยู่บริเวณนั้นด้วย หลังจากปะทะกับพวกโจรทะเลทรายแดนอื่นเสร็จ ฉันก็ลืมเล่าให้นายนั่นฟังไปเลย” นายนั่น ที่ดิโมล่าหมายถึง ก็คือ โลกูลิส ที่อยู่กับเธอในตอนที่เห็นลูกไฟนั่นเอง
“นั่นอาจเป็นพวกดวงจิตของพวกโจรทะเลทรายเดือนแรมที่ปรากฏออกมาเพื่อดูลาดราว” อาสต้าร์บอก
“ดวงจิต?...พวกนั้นไม่ใช่โจรทะเลทรายเหมือนพวกนายหรือ?” อินแชนดี้ตั้งข้อสงสัย
“พวกนั้นเป็นเหล่าดวงวิญญาณโจรทะเลทรายในอดีตที่โดนคำสาป ไม่มีใครรู้ว่าใครสาป หรือทำไมพวกนั้นถึงถูกสาป”
“แล้วพวกมันจะมาปล้นเมื่อไหร่?”แวมไพร์ถามบ้าง
“ทุกๆวันแรมสิบห้าค่ำ”
“แล้วคุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง คนในค่ายบอกหรือคะ?” ฟาร์เน่สงสัยขึ้นมาบ้าง
“เมื่อตอนเข้ามาอยู่ค่ายนี้ใหม่ๆ ฉันเจอสมุดบันทึกเล่มหนึ่งในหีบหนังสือในกระโจม มีคนเขียนบันทึกทิ้งไว้ ฉันไม่รู้ว่าของใคร แต่สิ่งที่อยู่ในสมุดบันทึกเล่มนั้นเป็นประโยชน์กับพวกฉันมากพอสมควร”อาสตาร์ตอบ
จนวันนี้ตอนเช้าก็เหมือนทุกคนจะเริ่มเตรียมตัวรับสถานการณ์กันใหญ่ ทั้งห้าสาวก็เช่นกัน แต่ก็ยังดำเนินชีวิตอย่างปกติ พอเริ่มตกเย็นจึงพากันไปอาบน้ำและทำธุระทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนเข้ากระโจม
“อาหารเย็นเจ้าค่ะ” แม้ประโยคที่คนพูดเปล่งออกมาจะฟังดูสุภาพและให้เกียรติ หากพวกสาวๆก็รู้สึกถึงความไร้ชีวิตชีวาในน้ำเสียงนั้นได้ชัดเจน ราวกับคนพูดหัวใจตายด้านไปนานแล้ว
พอหญิงฉกรรจ์คนนั้นมาส่งอาหารเรียบร้อย ฟาร์เน่ แวมไพร์ อินแชนดี้ เอลลิก้า และดิโมล่า ก็พากันมานั่งล้อมโต๊ะกินข้าว เมื่อรับประทานมื้อเย็นเสร็จ พวกเธอก็พากันรีบเข้านอน
เริ่มค่ำ ทุกอย่างด้านนอกเงียบสงัด มีเพียงพวกผู้ชายเท่านั้นที่ออกมาเดินดูลาดราวเพื่อระวังความปลอดภัยให้คนในค่าย
สายลมรัตติกาลพัดเปิดม่านกระโจมเข้ามาข้างใน ความเย็นกระจายไปทั่วกระโจม อินแชนดี้ที่สัมผัสความผิดปกตินั้นได้ก่อนใครก็ค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้น
“ทำไมมันหนาวขนาดนี้?” อินแชนดี้บ่นพลางขยับตัวเปลี่ยนท่านอน เธอนอนต่อไปอีกสักครู่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าอากาศรอบตัวเย็นมากกว่าปกติ จึงตัดสินใจลืมตาขึ้นมองไปทั่วด้วยความแปลกใจ
ที่ปากกระโจม บัดนี้เปิดอ้าปล่อยให้กระแสความเย็นเยือกจากด้านนอกลอยเข้ามาไม่ขาดสาย เห็นอย่างนั้นอินแชนดี้ก็แจ้งใจ ดันตัวลุกขึ้นเดินไปหมายจะดึงม่านกระโจมลง
“ที่แท้ก็ลมพัดม่านกระโจมเปิด..แต่ปกติมันจะไม่ถูกลมเปิดง่ายขนาดนี้หนิ?” เด็กสาวตั้งข้อสงสัยกับตนเอง ก่อนยื่นมือเรียวออกไปคว้าผ้าม่าน ขณะนั้นสายตาเธอก็เหลือบไปเห็นเด็กชายตัวเล็กราวสามขวบคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดีจึงชะงักดู
“คืนนี้มีข้อห้ามไม่ให้ใครออกจากกระโจมนี่ ทำไมเด็กคนนี้ถึงมาเดินเตร่แถวนี้ได้ล่ะ?” เธออดแปลกใจไม่ได้ มองตามเด็กชายไปด้วยความสงสัย
“น้องจะไปไหน ทำไมยังไม่เข้ากระโจม...น้อง จะไปไหน..เดี๋ยวน้อง!” อินแชนดี้พยายามเรียกตามหลังด้วยเสียงดังพอประมาณ
แต่เหมือนเด็กคนนั้นจะไม่ได้สนใจคำทักท้วงแม้สักนิด ขาเล็กๆเอาแต่ก้าวมุ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆเพียงอย่างเดียว จนคนมองอยู่นึกเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ คืนนี้ไม่ใช่คืนธรรมดาเหมือนวันทั่วๆไป ไม่ควรมีใครปล่อยให้ลูกหลานออกมาเดินคนเดียวไปทั่วค่ายแบบนี้
“เอาไงดีล่ะ พวกนั้นห้ามไม่ให้ใครออกจากกระโจมหลังหกโมงเย็น?...แต่จะไม่ออกไปตามก็เป็นห่วงอีก...เอาเถอะ เป็นผู้ใหญ่ก็ต้องดูแลเด็กสิ ฉันไม่ได้เป็นคนใจดำสักหน่อย” ตกลงกับตนเองได้แล้ว ร่างบางก็กลับเข้าไปหยิบอาวุธประจำตัวออกมา ก่อนจะรีบวิ่งไปทางที่เห็นเด็กสามขวบคนนั้นเดินไป
ทั่วบริเวณที่อินแชนดี้เดินอยู่เวลานี้ไม่มีใครออกมาเพ่นพ่านด้านนอกแม้แต่คนเดียว เด็กสาวเห็นแล้วก็อดหวั่นหวาดไม่ได้ ทว่าก็ทำได้แค่แข็งใจเดินตามหาเด็กชายตัวน้อย ที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหน เพียงลำพังไปเรื่อยๆเท่านั้น
“หายไปไหนแล้ว?” เธอพูดออกมาด้วยความร้อนใจ ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าม้าวิ่งกันขวักไขว่นอกค่าย “แย่แล้ว! พวกโจรทะเลทรายเดือนแรมมากันแล้วหรือ ไม่ได้กาลล่ะ ต้องรีบตามหาเด็กคนนั้นให้เจอแล้ว!”
คิดได้อย่างนั้น ขาเรียวก็รีบก้าวไวๆสอดส่ายสายตามองหาเป้าหมายทันทีด้วยความกังวล
เสียงฝีเท้าม้าจากข้างนอกยังดังข่มขวัญไม่หยุดหย่อน ไม่นานนัก ความเย็นเยียบของบรรยากาศรอบตัวก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า เมื่อเสียงร้องแหลมบาดหูดังมาจากหน้าค่าย เป็นเสียงที่คนฟังแล้วเย็นจับขั้วหัวใจมากทีเดียว แต่ก่อนจะทันได้ขนลุกไปทั้งตัว เสียงโห่ป่าวร้องจากพวกโจรทะเลทรายเดือนแรม ที่ไม่สามารถคาดจำนวนได้ ก็ดังกึกก้องขึ้นมาสมทบให้หวาดผวาหนักเข้าไปอีก
“เกิดอะไรขึ้น?!....นั่นไงเด็ก!” เธอถามตนเองด้วยความพิศวง ก่อนจะเหลือบไปเห็นคนที่ตามหาอยู่บริเวณประตูค่าย และอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เด็กสาวก็แทบช็อก เมื่อเห็นร่างเล็กเดินพรวดพราดออกไปนอกค่ายอย่างกะทันหัน
“เดี๋ยว!!!” อินแชนดี้แทบตะโกนออกไปสุดเสียงด้วยความตกใจ ขาเรียวที่ผ่านการฝึกฝนมาดีพอสมควรรีบวิ่งเข้าไปคว้าเจ้าตัวน้อยไว้
ทว่าพอมือสวยแตะถูกร่างกายที่เห็น กลับต้องพบว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตา
เด็กสาวอึ้งค้างไปชั่วอึดใจ ก่อนจะรู้สึกเหมือนมีอะไรเข้าใกล้ตัว แสงคบเพลิงนับร้อยที่ส่องสว่างอยู่รอบค่าย ทำให้ดวงตาสามารถมองเห็นต้นขาและลำตัวของม้าสีดำทะมึนจำนวนมากเรียงรายอยู่เบื้องหน้า และอาจจะรายล้อมตัวเธอไว้ทุกทิศทางหมดแล้ว
ใบหน้าสวยค่อยๆเงยขึ้นมองด้วยใจเต้นระรัว เธอเกือบช็อกเป็นลมอีกครั้งเมื่อเห็นร่างผอมเกร็ง ผิวเหี่ยวแห้งหยาบกร้าน ผมสีเทายาวพะรุงพะรัง ตากลวงแดงจ้านั่งควบม้าอยู่ตรงหน้า
“ผี!!!” อินแชนดี้อุทานเสียงดัง รีบหมุนตัวจะวิ่งกลับเข้าไปในค่าย ทว่าด้านหลังก็มีร่างใหญ่นับร้อย สภาพไม่ต่างจากร่างแรกนักนั่งอยู่บนหลังม้า จ้องเขม็งตรงมาที่เธอเป็นตาเดียว
“ฏฑฎณฺฮณฏ๋” เสียงแหลมเล็กบาดหูพูดเป็นภาษาประหลาดสั่งการกับสมุนของมันด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด
อินแชนดี้พยายามคิดหาทางหลุดจากกลุ่มพวกโจรทะเลทรายเดือนแรมเหล่านี้ไปให้ได้ ทว่าหันมองทางไหน ก็เห็นแต่เจ้าของดวงตาสีแดงจ้าจำนวนมากล้อมรอบปิดทางหนีของเธอเสียหมด
ทันใดนั้นเอง พวกกลุ่มทะเลทรายเดือนแรมด้านหลังก็ส่งเสียงเอะอะโวยวายขึ้น เมื่ออินแชนดี้หันไปดู ก็เห็นพวกนั้นกำลังร่วงตกลงมาจากหลังม้ากันทีละคนสองคนพร้อมกับเสียงโหยหวน
“เธอออกมานอกค่ายทำไม!” เสียงชายหนุ่มที่กำลังจัดการกับพวกโจรทะเลทรายเดือนแรมด้านหลัง ตะโกนถามมาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ก่อนพวกคนในค่ายจะกรูกันเข้ามาเสริม
“ฉัน...” เด็กสาวอยากจะอธิบายให้เขาฟัง แต่ก็ไม่รู้จะเล่าอย่างไรดี เพราะเรื่องมันค่อนข้างยาวและซับซ้อนเกินกว่าจะตอบออกไปไม่กี่คำให้เข้าใจได้
“ธ็ษ็โฏ๋ษธฺฮฉ๋ฏ็ฬธ๊ฉ” เสียงแหลมเกรี้ยวกราดพูดขึ้นเหมือนสั่งการอะไรบางอย่าง แล้วพวกสมุนของมันก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งต้านฝ่ายคนในค่ายไว้ อีกกลุ่มหนึ่งพากันฝ่าเข้าไปในค่าย
ตอนนี้สีหน้าของพิราเต้เครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดไม่ต่างจากอินแชนดี้ ที่นอกจากจะเป็นห่วงเพื่อนๆและชาวค่ายแล้ว ก็ยังรู้สึกผิดที่เธอเป็นต้นเหตุให้ทุกอย่างต้องเข้าขั้นวิกฤตเร็วเกินไปโดยไม่จำเป็นแบบนี้
“ฆ่าล้างบางพวกมันให้สิ้นซาก อย่าให้รอดแม้แต่คนเดียว!” เมื่อสถานการณ์กลับตาลปัตร พิราเต้ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากให้สมุนทุกคนยกระดับการสู้ของตนเองให้เป็นขั้นสูงสุดเท่านั้น
พอสิ้นคำพูดของหนึ่งในหัวหน้าจอมโจรทะเลทรายทิศใต้ การต่อสู้ของชาวค่ายก็รุนแรงขึ้นหลายเท่าตัว เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายใหญ่โตไปหมด ผู้ที่เป็นเดือดเป็นร้อนที่สุดเห็นจะเป็นร่างที่อินแชนดี้ได้ประจันหน้าด้วยในตอนแรก
มันโกรธมาก ที่เห็นลูกสมุนของตนถูกฆ่าอย่างไร้ความปรานี แม้ว่า จำนวนบาดเจ็บล้มตายของฝ่ายมันจะไม่ได้มากมายอะไรขนาดนั้นก็ตาม
“ฏธ๋จฑ๊ณฺจ ฮ็ฌฎขฌธฐ” ปากที่ไม่เห็นอะไรนอกจากหนังติดกระดูกคำรามลั่น มือเหี่ยวย่นน่ารังเกียจของมันคว้าหมับที่หัวของเด็กสาวกลางวงล้อมกระชากเข้าหาตัว ดวงตาโบ๋สีแดงน่าพิศวงเจิดจ้ามากขึ้นกว่าเดิม จ้องเธออย่างจะกินเลือดกินเนื้อ มืออีกข้างยกมีดยาวขึ้น หมายจะปริดชีวิตอีกฝ่ายลงภายในเซี่ยววินาที
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 533
แสดงความคิดเห็น