บ้านไร่สายสมรตอนที่ 5
ขุนศึก...เมื่อยามอยู่บนหลังม้า เขาดูสง่างามราวกับคาวบอยหนุ่ม ความสามารถในการควบม้าของชายหนุ่มเรียกเสียงกรี๊ดให้กับสาวๆได้ไม่น้อยเลย ทว่า...ไม่ใช่ไหมตะวันแน่ หล่อนก้าวออกไปแล้วร้องท้าทาย
“นายคนเลี้ยงม้า นายมันก็แค่นักขี่ม้าสมัครเล่น”
ขุนศึกชะงัก ชักม้าหันมาทางต้นเสียงเล็กๆ แล้วหัวใจก็เบิกบานขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเขายังแอบหวังว่าหญิงสาวผู้นี้จะยังอยู่ในงาน เขายังมีภารกิจต้องทำทั้งในฐานะนายอำเภอสายทอง และในฐานะที่รับปากกับเจ้าของไร่สายสมรว่าจะช่วยดูแลซุ้มของไร่สายสมรเป็นกรณีพิเศษ จึงปลีกตัวออกไปตามหาสาวน้อยจอมเฟี้ยวไม่ได้เลย
ชายหนุ่มเปิดหมวกแล้วค้อมศีรษะให้กับหญิงสาว รอยยิ้มของเขาดูทะเล้นเหมือนเดิม ไหมตะวันปั้นหน้าขึงตึง ดวงตาลุกวาวไม่มีความเป็นมิตรแม้แต่น้อย
“ท่าทางเหมือนจะขี่ม้าเป็นเหมือนกันหรือครับคุณ...”
หล่อนรู้ว่าเขาจงใจอยากถามชื่อ เรื่องอะไรหล่อนจะยอมบอก แค่พูดดีด้วยนี่ก็ถือว่ามากเกินไปด้วยซ้ำ
“ฉันต้องการแข่งขันอีกครั้ง”
“แข่งขันเหรอ” คราวนี้เขาลงจากหลังม้า กระทั่งการลงก็ถือว่าถูกต้องเหมือนคนคุ้นเคยกับม้าเป็นอย่างดี เรียกเสียงปรบมือดังกราวอีกครั้ง ชายหนุ่มจูงม้าเดินเข้ามาหาหล่อน
“แข่งเหรอ เดิมพันยังไงว่ามา ผมอยากหอมแก้มจะแย่อยู่แล้ว”
ไหมตะวันรู้ว่าเขาจงใจยั่วให้หล่อนโกรธ ซึ่งหล่อนจะต้องไม่หลงกลง่ายๆปล่อยให้ความโกรธครอบงำจนเสียท่า ไหมตะวันใช่ว่าไม่เคยขี่ม้า หล่อนขี่ม้าได้อย่างดีเชียวละ หล่อนมีฝีมือไม่ต่างจากฝีมือในการยิงปืน เพราะมันอยู่ในหลักสูตรการต่อสู้ที่ชลิตพยายามให้หล่อนเรียนรู้ตั้งแต่เด็ก
“เหมือนเดิม...” หล่อนตอบเสียงห้วน “แข่งขี่ม้าจับเวลา นายแพ้ต้องแก้ผ้า”
“ไม่มีปัญหา แต่ถ้าคุณแพ้ล่ะ คุณต้องเป็นฝ่ายหอมแก้มผมมั่งนะ”
ไหมตะวันนึกชังกับท่าทางยั่วโมโหกวนประสาทของชายหนุ่ม เขาคงคิดว่าหล่อนเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆที่สามารถดูหมิ่นหรือข่มเหงน้ำใจกันได้ง่ายๆ หล่อนจะพิสูจน์ให้เขาดูว่าผู้หญิงไม่ใช่เพศที่อ่อนแออย่างที่ผู้ชายส่วนใหญ่เข้าใจ
นายคนเลี้ยงม้าของไหมตะวันส่งเชือกม้าของไร่สายสมรให้ไหมตะวัน ด้วยติ๊งต่างว่าเดิมพันของการแข่งกันเป็นอย่างข้อเสนอของเขา... หากเขาแพ้แก้ผ้า หากหล่อนแพ้ หล่อนต้องเป็นฝ่ายหอมแก้มเขา ไหมตะวันรับเชือกม้าจากมือของขุนศึก แต่เจ้าม้าทำจมูกฟุดฟิตแล้วทำท่าเหมือนไม่ชอบขี้หน้าไหมตะวันในบัดดลนั้นเอง
ม้าเจ้ากรรมเริ่มพยศ เมื่อไหมตะวันพยายามจะขึ้นหลังของมัน
ทั้งๆที่หล่อนเองก็รู้ดีว่า ควรจะทำความคุ้นเคยกับสัตว์ประเภทนี้ก่อนจะขึ้นขี่หลังมัน แต่ความถือดีบวกกับความโกรธแค้นปิดบังความฉลาดของหล่อนจนหมดสิ้น หล่อนอาจจะใช้อารมณ์กับคนได้ แต่ไม่ใช่กับสัตว์ ขุนศึกแทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหวเมื่อเห็นไหมตะวันพยายามจะขึ้นหลังม้าให้ได้ เขาเห็นความถือดี ความเชื่อมั่น และความเป็นคนเจ้าอารมณ์ของหล่อน
ไหมตะวันหน้าแดง เมื่อหล่อนรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าหล่อนไม่สามารถควบคุมเจ้าอาชาพยศได้อย่างที่มาดมั่นตั้งแต่แรก ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังไม่ยอมแพ้ หล่อนคิดในใจว่าแค่สามารถปีนขึ้นหลังได้ ม้าก็คือม้า จะเก่งเหนือคนได้อย่างไร โดยเฉพาะคนอย่างหล่อนด้วยแล้ว
หญิงสาวเริ่มหูอื้อ ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ในระหว่างนั้น เจ้าม้าพยศก็แสดงความร้ายกาจด้วยการยกขาหน้าขึ้นพร้อมกับส่งเสียงร้อง
“ว้าย” ไหมตะวันตกใจ ความซวยมาเยือนหล่อนอีกครั้งหนึ่ง เมื่อหล่อนเสียหลักหน้าคะมำล้มลง ขุนศึกรีบผวาเข้ามาหา แต่รับร่างของหญิงสาวเอาไว้ไม่ทัน แค่ล้มก็ถือว่าขายหน้ามากพออยู่แล้ว อะไรบางอย่างที่เจิมเข้ากับใบหน้าสวยๆของหล่อน และเมื่อหล่อนเงยหน้าขึ้น เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นรอบๆบริเวณนั้นราวกับมหกรรมตลก
ขี้ม้า... ใบหน้าของหล่อนเจิมเข้ากับขี้ม้า...อย่างจัง ซวยอย่างไม่มีเหตุผล ซวยซ้ำซวยซ้อน ยังดีที่ขุนศึกกลั้นหัวเราะเอาไว้ได้ เขารีบเข้าไปช่วยฉุดหล่อนให้ลุกขึ้น หญิงสาวจ้องมองใบหน้าคมสันของชายหนุ่มเหมือนอยากจะฉีกเขาให้เป็นหมื่นชิ้น
“คงสะใจนายสินะ...” ไหมตะวันกระชากเสียง
“ผมว่าไปล้างเอาขี้ม้าออกก่อนเถอะครับ” ขุนศึกใจเย็น “เดี๋ยวผมพาไปเอง”
“ไม่ต้อง” หล่อนปฏิเสธเสียงห้วน “นายรออยู่นี่นะ อย่าไปไหน เพราะการแข่งขันยังไม่ได้เริ่มต้น”
“ยังจะแข่งอีกเหรอ...”
“แข่ง ฉันต้องชนะนาย คนอย่างฉันไม่มีวันแพ้”
“โอเคครับ” ชายหนุ่มค้อมศีรษะเล็กน้อย พลางนึกชื่นชมในนิสัยบางอย่างของหญิงสาว และเมื่อหล่อนออกมาจากห้องน้ำอีกครั้ง ท่ามกลางสายตาของบรรดาไทยมุงที่เริ่มตีวงล้อมเข้ามาเพื่อรอดูการแข่งขันที่มีเดิมพันประหลาด หล่อนเชิดหน้า แล้วก้าวไปที่เจ้าม้าพยศ สบตากับมัน เมื่อมีความมั่นใจเหนือกว่า เจ้าม้าพยศก็หงอ มันยอมให้หญิงสาวขึ้นไปนั่งบนหลังอย่างสง่างาม
เสียงปรบมือดังขึ้น ไหมตะวันหันไปมองหน้าขุนศึกนิดหนึ่ง เสมือนเย้ยหยันว่า อีกหน่อยเขาต้องแก้ผ้าโชว์พุงอย่างไม่ต้องสงสัย
ไหมตะวันสั่งให้เจ้าม้าพยศออกเดิน หล่อนกระตุกเชือก
ม้าเฉย
“ไปได้แล้ว”
เฉยเหมือนเดิม
ไหมตะวันชักหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบ เมื่อเหลือบไปเห็นขุนศึกยืนกอดอก รอยยิ้มที่มุมปากของเขามีอำนาจกระตุ้นต่อมเดือดของหล่อนให้พร้อมจะปรี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง
“มันไม่ไปหรอกคุณ เพราะว่าคุณไม่รู้ใจมัน”
“ม้าก็คือม้า” หล่อนตวาดกลับอย่างฉุนเฉียว “ฉันจะทำให้นายดู”
ไหมตะวันพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะให้ม้าออกเดิน มันก็ยังยืนเฉยไม่รู้สึกรู้สา จนกระทั่งหล่อนใช้ปลายเท้ากระแทกแรงๆที่ลำตัวของมัน นาทีนั้น เจ้าม้าพยศก็กระโจนแผล็วพร้อมกับเสียงร้องของไหมตะวัน
“ว้าย ช่วยด้วย...”
ขุนศึกปล่อยมือที่กอดอกอย่างตกใจพลางออกวิ่งตาม
“ช่วยด้วย”
เสียงของไหมตะวันโวยวาย แต่ยังเกาะอยู่บนหลังม้าแน่น ม้าหนุ่มทะยานไปสุดฝีเท้า พริบตาเดียวก็พ้นบริเวณงาน ขุนศึกวิ่งย้อนกลับมา เขาทะยานขึ้นบนหลังม้าอีกตัวของไร่สายสมรแล้วห้อตะบึงเพื่อติดตามม้าที่มีร่างของไหมตะวันอยู่บนนั้น
----------------
“อะไร... ใคร... อยู่บนหลังม้า...”
มุกเรียงกับธารใสหน้าตาตื่นออกมาจากห้องประชุม หลังเด็กของไร่สายสมรไปตาม ส่วนสะอิ้งกับแด๊ะแด๋มัวแต่แวะเมาท์กับคนรู้จักจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ซุ้มของไร่สายสมร
“ผู้หญิงคนหนึ่งค่ะ เจ้าสีหมอกพาหนีเตลิดออกจากงานไป นายอำเภอขุนกำลังขี่ม้าไปตามกลับมาค่ะ”
“แย่จริง” มุกเรียงหลุดปากออกมา สีหน้าดูยุ่งยาก
“คงไม่เป็นไรมั้งคะพี่มุก” ธารใสยังมองโลกในแง่ดี
“พี่รู้จักเจ้าสีหมอกดีกว่าใครนะธารใส พี่ละกลัวจริงๆ” น้ำเสียงอันเคร่งเครียดของผู้เป็นพี่สาว ทำให้ธารใสได้แค่ยิ้มแหย ไม่กล้าแสดงความเห็นใดๆเพิ่มเติม
“ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน” มุกเรียงหันไปทางลูกน้องสาวที่มาช่วยงานที่ซุ้ม
“ไม่ทราบค่ะ”
“แล้วใครอนุญาตให้ขี่เจ้าสีหมอก”
“คือว่า...” คนงานสาวหลบสายตาดุดันของมุกเรียง “นายอำเภอขุนศึกค่ะ...”
“พี่ขุนนะเหรอ”
“ค่ะ มีการท้าพนันกันน่ะค่ะ...” คนงานสาวเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้หญิงสาวฟังอย่างละเอียด มุกเรียงนิ่วหน้า รู้สึกด้วยสัญชาตญาณหญิงว่า ทะแม่งๆอย่างไรชอบกล และชักอยากเห็นหน้าผู้หญิงคนที่ว่าขึ้นมาเดี๋ยวนั้น
ก่อนมุกเรียงจะทันได้ซักอะไรต่อ สะอิ้งเดินนำหน้าอธิบดีมาที่ซุ้มโดยมีแด๊ะแด๋รั้งท้าย
“ได้ยินเสียงเอะอะ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“เจ้าสีหมอกพาผู้หญิงคนหนึ่งหนีไปค่ะน้าสะอิ้ง” มุกเรียงตอบ แต่สายตาหยุดชะงักอยู่ที่ใบหน้าของอธิบดี
ชลิตได้เห็นใบหน้าของมุกเรียงเต็มสองสายตา ความรู้สึกของเขาเวลานี้เต็มตื้น มันคือความปีติยินดีระคนด้วยความทุกข์คละเคล้าความเศร้า ชลิตมองมุกเรียงแล้วหันไปมองธารใส สองสาวมีหน้าตาถอดแบบปราณี แต่มุกเรียงดูจะเด็ดเดี่ยวกว่าผู้เป็นน้อง สะอิ้งกระแอม ราวกับอ่านความคิดของชลิตออก หลังจากนั้นจึงซักสองสาวจนได้รายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น
ชลิตชักเอะใจ เพราะฟังจากที่เล่ามา หญิงสาวเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด แถมไม่ยอมคนอย่างนั้น ถ้าพูดว่าเป็นไหมตะวันก็ไม่ผิดเลยทีเดียว จนกระทั่งมีคนนำมือถือมาส่งให้กับมุกเรียง เป็นคลิปวิดิโอ ถ่ายเอาไว้ได้ขณะไหมตะวันกำลังพยายามทำให้เจ้าสีหมอกออกเดิน สะอิ้งขอมือถือมาดู สีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อเห็นคนในคลิป ในที่สุดจึงตัดสินใจยื่นให้กับชลิต
“นี่มัน...ไหมตะวัน ลูกสาวผมนี่” ชลิตหลุดปากเสียงเครียด
ทุกคนหน้าเสีย โดยเฉพาะมุกเรียงกับธารใส เพราะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว ถ้าหากลูกสาวของอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรฯเป็นอะไรไป อาจทำลายชื่อเสียงของไร่สายสมรได้ภายในพริบตา สองสาวมองหน้ากันอย่างกังวล
“รออีกหน่อยเถอะค่ะ มีคนขี่ม้าตามไปแล้ว”
“ใครขี่ม้าตามไปฮึยัยมุก” สะอิ้งถามคาดคั้นวางอำนาจ
“เอ้อ ได้ยินว่าเป็นพี่ขุนค่ะ”
“นายอำเภอขุนศึกนะเหรอ”
“ค่ะ ใช่ค่ะ”
บรรยากาศยามนี้จึงกลายเป็นความเคร่งเครียดขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง ในระหว่างการรอคอย จู่ๆก็มีแขกเซอร์ไพรส์เข้ามาหาชลิตที่ซุ้มไร่สายสมร
สุรีย์ฉายกับป้านิ่ม
ชลิตถึงกับเกิดอาการน้ำลายเหนียวคอขึ้นมาอย่างฉับพลัน ในขณะที่สุรีย์ฉายหันไปมองสะอิ้งด้วยสายตาชนิดหนึ่ง ก่อนจะกวาดสายตาไปทางมุกเรียงและธารใส... สุรีย์ฉายจำได้ แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหนก็ตาม เด็กสาวสองคนนี่ก็คือ ลูกสาวแท้ๆของชลิต...
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพราะเหตุใดชลิตถึงต้องมาที่อำเภอสายทองด้วยตัวเอง ไม่ต้องอธิบายก็เข้าใจเจตนาซ่อนเร้นได้เป็นอย่างดี
“คุณฉายมาได้ยังไงครับ” ชลิตหลุดปากถามภรรยาเสียงพร่า
สุรีย์ฉายยิ้มเยาะ “ก็ขับรถมา ฉันอยากมาเห็นกับตาตัวเองว่าคุณกำลังจะหักหลังฉัน”
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังหมายถึงอะไร...”
“คุณชลิต...”
ชลิตรู้ว่าเวลาสุรีย์ฉายวีนนั้นเป็นอย่างไร เขาไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น แต่ท่าทางจะยากเสียแล้วเมื่อสุรีย์ฉายถามหาไหมตะวัน แล้วคนที่รีบบอกว่าไหมตะวันถูกม้าสีหมอกของไร่สายสมรพาหนีเตลิดไปนั้นก็คือ สะอิ้ง
ท่าทางของสะอิ้งเหมือนต้องการให้เกิดเรื่อง แทนที่จะช่วยกันปกป้องชื่อเสียงของไร่เอาไว้อย่างที่ควรจะเป็น ฉับพลันนั้น สุรีย์ฉายก็ร้องกรี๊ด
“เจ้าของไร่สายสมรอยู่ที่ไหน ฉันต้องการความรับผิดชอบ”
มุกเรียงตั้งสติได้ รีบออกหน้า “ขอโทษด้วยนะคะ คือ...”
“แกเป็นเจ้าของไร่สายสมรเหรอ”
“เปล่าค่ะ คือหนู...”
“งั้นก็ไม่ต้องมาเสนอหน้า เพราะฉันจะคุยกับเจ้าของไร่เพียงคนเดียวเท่านั้น”
คนที่ควรออกหน้าที่สุดอย่างสะอิ้ง กลับถอยฉาก ปล่อยให้มุกเรียงเผชิญหน้ากับอารมณ์ของสุรีย์ฉายเพียงลำพัง ส่วนธารใสหลีกออกห่างเพื่อโทร.หามารดา
ไม่เกินครึ่งชั่วโมงต่อมา...
คนที่ชลิตอยากเจอที่สุดก็ปรากฏตัว... ปราณี เจ้าของไร่สายสมร
ภาพแห่งความหลังฉายขึ้นในความทรงจำของชลิตราวกับเพิ่งเกิดขึ้น เช่นเดียวกับความทรงจำของสุรีย์ฉาย มาวันนี้ปราณียังคงเค้าสวยและดูแกร่งมีบารมี ไม่เหมือนสุรีย์ฉาย ความรู้สึกนึกคิดเมื่อ 20 ปีก่อนเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น ชลิตอยากเข้าไปทักทายกับปราณีสักครั้ง แต่เขาไม่เหลือกระทั่งความกล้าหาญ ถ้อยคำที่อยากพูดกับนางมีมากเสียจนตื้อตันอยู่แค่ในลำคอ
รัก... เสียใจ... เจ็บปวด...
ชลิตไม่สามารถโทษใครได้ต่อชะตากรรมที่ผ่านมา อยากบอกกับปราณีดังๆว่า ขอโทษ ขอโทษอย่างสุดซึ้ง
สายตาของปราณี แทบไม่ได้เหลือบมองไปทางชลิตด้วยซ้ำ
“ขอโทษนะคะที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน” ปราณีเริ่มต้นด้วยถ้อยคำสุภาพอ่อนโยน แต่ภายใต้ความอ่อนโยนนั้นแฝงเอาไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว เด็ดขาด
“แค่ขอโทษก็จบเหรอ” สุรีย์ฉายตวาดแหว “ลูกสาวฉันทั้งคน แกจะรับผิดชอบไหวเหรอ”
ทุกคนที่รู้จักปราณีต่างกลั้นใจ เพราะคนอย่างปราณี ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถข่มเอาได้ตามอำเภอใจ เว้นแต่นางเลือกที่จะถอยออกมา
ปราณียิ้ม ดวงตาของนางมีประกายของผู้หญิงเด็ดขาด ไม่กลัวใคร
“ฉันขอโทษและแสดงความเสียใจค่ะที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น”
“แล้วแกจะรับผิดชอบยังไง” สุรีย์ฉายถาม นางมีเชื้อและนามสกุลผู้ดี แต่กลับไม่เหลือคุณสมบัติของลูกผู้ดีแม้แต่นิดเดียว
“ฉันจะส่งคนออกตามหาจนเจอค่ะ”
“แล้วถ้าเป็นอะไรไปล่ะ”
“ท่าทางคุณเหมือนอยากให้ลูกเป็นอะไรไปจริงๆงั้นหรือคะ” ปราณีย้อนนิ่มๆ “ที่นี่มันถิ่นของฉัน ต่อให้เป็นศพฉันยืนยันว่าจะต้องหาจนเจอ”
“แกแช่งลูกสาวฉันใช่มั้ย”
“ไม่เอาน่าคุณฉาย” ชลิตแตะมือภรรยาแล้วออกหน้าเพื่อจะพูดกับปราณีสักประโยค แต่...
“ฉันขอตัวนะคะ ฉันจะเกณฑ์คนงานให้ช่วยกันออกตามหา”
ปราณีตัดบทแล้วหมุนร่างก้าวออกไปจากบริเวณนั้นทันที...
นี่แหละคือความเด็ดขาดของปราณี ชลิตแอบถอนใจ พยายามระบายความเจ็บปวดในอดีตทิ้งไปด้วยลมหายใจ ไม่อยากจะโทษว่าเป็นเพราะโชคชะตาฟ้าลิขิต ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ล้วนเกิดจากการตัดสินใจของตัวเอง ไม่เกี่ยวกับใคร
สุรีย์ฉายเห็นสีหน้าของชลิตแล้วไม่กล้าแผลงฤทธิ์มากกว่านั้น อีกอย่างที่นี่ก็ไม่ใช่ถิ่นของตัวเองด้วย แค่การแสดงออกว่า ผู้ชายคนนี้คือผู้ชายที่นางเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ นางก็พึงพอใจแล้ว
“ตามผมไปที่รถ เรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อย” ชลิตเอ่ยเสียงเครียด
สุรีย์ฉายมองหน้าสามีอย่างเยาะหยัน
“ค่ะ ฉายก็มีเรื่องสำคัญจะถามคุณอยู่เหมือนกัน”
ป้านิ่มรีบก้าวตามเจ้านายไปอย่างลนลาน
มุกเรียงหันไปมองสะอิ้ง เห็นรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนริมฝีปากของผู้เป็นน้าสาว ก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“น้าสะอิ้งรู้จักท่านชลิตมาก่อนหรือคะ”
สะอิ้งมองหลานสาวนิดหนึ่ง “เรื่องบางเรื่อง เด็กเมื่อวานซืนอย่างแกไม่ควรจะรู้หรอกนะ”
“ถามดีๆนะคะน้า”
มุกเรียงชักสีหน้า หล่อนรู้ว่าระหว่างหล่อนกับน้าสาวเหมือนมีกำแพงขนาดใหญ่ขวางกั้นอยู่ ท่าทีของสะอิ้งไม่เคยเป็นมิตร เว้นแต่เมื่ออยู่ต่อหน้ามารดาของหล่อน มุกเรียงพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนอย่างสะอิ้งถึงไม่เคยมีผู้ชายมารักอย่างจริงๆจังๆเลย
สะอิ้งไม่ตอบ สะบัดหน้าพรืดเดินหายเข้าไปในซุ้ม โดยมีแด๊ะแด๋ ลูกน้องเพศทางเลือกก้าวตามประกบหลังกระชั้นชิด
มุกเรียงระบายลมออกจากปาก ก่อนจะเหลียวหาน้องสาว
“ธารใสหายไปไหนอีกคนแล้วเนี่ย”
----------------
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 755
แสดงความคิดเห็น