บ้านไร่สายสมรตอนที่ 4
คืนนี้ อาจจะเป็นคืนที่ใครหลายคนอาจจะกำลังนอนหลับอย่างมีความสุข แต่ไม่ใช่กับสุรีย์ฉายแน่นอน นางนอนตะแคงมองหน้าชลิตซึ่งกำลังหลับตาพริ้ม ใบหน้าคล้ายกับมีรอยยิ้ม ถ้าสุรีย์ฉายสามารถหายเข้าไปในความฝันของชลิตได้ นางคงทำไปแล้ว
สุรีย์ฉายเค้นสมองคิดอย่างหนักหน่วงว่าจะขัดขวางไม่ให้ชลิตเดินทางไปที่อำเภอสายทองในวันรุ่งขึ้นได้อย่างไร นางผุดลุกผุดนั่งแต่ยังคิดแผนไม่ออกกว่าจะได้หลับนอนปาเข้าไปค่อนคืน ดังนั้นพอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งก็คือช่วงสายของวันใหม่
สุรีย์ฉายตาลีตาเหลือกลงมายังชั้นล่าง “พี่นิ่ม คุณชลิตล่ะ หนูไหมล่ะ”
“ไปแล้วค่ะ”
“ไปแล้ว” สุรีย์ฉายทุบอก นางไม่น่าหลับเป็นตายเลย จำได้แม่นยำว่าแผนสุดท้ายที่นางคิดออกก็คือ จะขอติดตามไปเป็นก้างขวางคอไม่ให้ชลิตได้เจอ ‘ใครบางคน’
“คุณไหมกับคุณผู้ชายไปอำเภอสายทองไงคะคุณผู้หญิง เห็นบอกว่าต้องรีบเดินทาง กลัวเจอมาร...เอ้อ หมายถึงอุปสรรคระหว่างทางน่ะค่ะ เกรงจะไม่ทันงาน”
“รู้แล้วย่ะ”
ป้านิ่มมองตามหลังสุรีย์ฉายที่สะบัดก้นกลับขึ้นไปชั้นบน “นี่แหละ มารตัวแม่เลยละ”
----------------
ชลิตเหลือบมองสีหน้าเซ็งสุดขีดของไหมตะวันแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะรู้ดีว่าหากพูดผิดหูแม้แต่นิดเดียว อาจทำให้ไหมตะวันไม่ยอมลงจากรถเลยก็เป็นได้ต่อให้ไปถึงงานแล้วก็ตาม
ชลิตขับรถด้วยตัวเอง ไม่ยอมใช้ลูกน้องที่กรม สีหน้าของอธิบดีกรมส่งเสริมฯดูเบิกบาน ดวงตาเป็นประกาย เพราะความหลังของเขาอยู่ที่อำเภอสายทอง การได้กลับมาที่นี่อีกครั้งจึงเหมือนกับการได้ย้อนเวลา
เข้าสู่เขตอำเภอสายทอง ทิวทัศน์สองข้างทางเปลี่ยนไป เห็นภูเขาเป็นฉากหลัง มองแต่ไกลเห็นคล้ายกับไร่องุ่นสุดลูกหูลูกตา ชลิตรู้ว่าที่เห็นนั้นก็คือ ส่วนหนึ่งของไร่สายสมรนั่นเอง รอยยิ้มมีความสุขผุดขึ้นประดับริมฝีปาก แล้วคนนั่งข้างๆก็หลุดปากออกมาว่า
“คุณพ่อคะ ทิวทัศน์สวยจังค่ะ เหมือนฟาร์มขนาดใหญ่”
“ใช่แล้วลูก” น้ำเสียงของชลิตอ่อนโยน เพราะหัวใจของเขายามนี้กำลังเบิกบาน “ถ้ามีเวลาว่างพ่อจะพาเข้าไป”
“คุณพ่อรู้จักด้วยหรือคะ”
“ที่เห็นน่ะไร่สายสมร” ชลิตตอบ ไหมตะวันพยักหน้าหงึกแล้วมองใบหน้าของพ่ออย่างแปลกใจ
“เป็นทั้งไร่องุ่น และฟาร์มโคนมขนาดใหญ่ พื้นที่เป็นพันไร่ได้มั้ง”
“โอ้โห” ไหมตะวันทึ่ง ไม่ใช่ทึ่งที่รู้ว่าไร่สายสมรอลังการ แต่ทึ่งที่บิดามีข้อมูลเกี่ยวกับไร่ดังกล่าวเป็นอย่างดี
“กว่าจะสร้างตัวมาเป็นไร่ได้ยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ รู้มั้ยว่ายากลำบากแค่ไหน... คนเราถ้าไม่เกี่ยงงาน หนักเอาเบาสู้ พ่อเชื่อว่า...”
ไหมตะวันปรับเบาะ หลับตาลง แต่หูยังแว่วได้ยินเสียงพูดคุยของชลิต ทว่าเป็นเรื่องใดนั้นหล่อนไม่ได้ตั้งใจฟัง จนกระทั่งแว่วได้ยินเสียงอึกทึกของเครื่องขยายเสียง ไหมตะวันสะดุ้งตื่นพร้อมกับที่ชลิตเบาเครื่องยนต์จอดสนิท
“ไหม ตามพ่อมา”
“คุณพ่อคะ...” ไหมตะวันอ้าปากได้แค่นั้น เพราะชลิตเปิดประตูก้าวออกไปแล้ว หล่อนต้องรีบออกจากรถ พอเห็นแถวเรียงรายของชายหญิง หล่อนยิ้มเจื่อนแล้วรีบก้าวตามหลังชลิตแบบไม่ยอมห่าง แต่เมื่อเข้าไปในห้องประชุมใหญ่อันเป็นสถานที่จัดงานมอบรางวัล ไหมตะวันทนนั่งฟังพิธีการได้แค่ไม่เกิน 10 นาที หล่อนก็ต้องรีบออกมานอกห้อง ไม่วายบ่นกระปอดกระแปด
พ้นห้องประชุม ไหมตะวันบิดขี้เกียจแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆงานเห็นซุ้มแสดงสินค้าการเกษตร ผู้คนละลานตา เสียงปรบมือตะโกนเรียกให้แวะเข้าไปตามซุ้มต่างๆ ดูคึกคัก ทำให้ลืมเลือนบรรยากาศอันน่าเบื่อไปชั่วขณะ
ไหมตะวันชะงักก้าวอยู่ที่หน้าซุ้มหนึ่งด้วยความสนใจ
“จะลองดูความแม่นยำหน่อยมั้ยครับ” ชายหนุ่มแต่งตัวเหมือนจิ๊กโก๋บ้านนอกทักทายหญิงสาว
หล่อนไม่ได้มองหน้าคนเฝ้าซุ้มยิงปืนด้วยซ้ำ แต่แบมือออกด้านข้าง
“ครั้งละ 20 บาทครับ”
ไหมตะวันทำหน้าเบื่อ ล้วงหยิบแบงก์ละห้าร้อยส่งให้ “พอมั้ย”
เจ้าคนเฝ้าซุ้มยิงปืนละล่ำละลักเชื้อเชิญ และยังกุลีกุจอเอาปืนยาวมาส่งให้หญิงสาวอีกด้วย ไหมตะวันไม่เคยได้จับปืนของเล่น จึงรู้สึกว่าเบามือชอบกล
หล่อนประทับปืน เล็งที่เป้าแล้วกดไก เสียงดังผัวะ นัดที่สอง นัดที่สาม นัดที่สี่.... จิ๊กโก๋อ้าปากค้าง แม่นขนาดนี้ ตุ๊กตาทั้งร้านก็คงไม่พอให้หล่อนแน่ ทว่า...ไหมตะวันกำลังสนุกมือ หล่อนยกปืนเล็งแล้วกดไกเสียงดังผัวะทุกครั้งยังไม่มีผิดพลาด ความแม่นยำทำให้เริ่มมีไทยมุงยืนมองอยู่ด้านหลังของหล่อนจนแทบไม่มีที่ยืน พลัน ร่างสูงโปร่งของขุนศึกก้าวผ่านมา ก่อนจะหยุดชะงักและหันมามองที่ซุ้มยิงปืน
“ว้าว” ชายหนุ่มหลุดปากอุทานด้วยความทึ่ง
ไหมตะวันเพิ่งจะรู้ตัวว่าถูกไทยมุงมองดูเมื่อมีคนปรบมือนำ หล่อนเหลียวมองหลัง ชายหนุ่มผู้ที่ตบมือนำถึงกับสะดุดกึก หัวใจเต้นผิดจังหวะ และเท้าก็ก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับหญิงสาว
ไหมตะวันถอยกรูด มองชายหนุ่มร่างสูง แต่งตัวโหลมาก ถึงแม้จะมีลักษณะเหมือนคาวบอย แต่เสื้อผ้าของเขาไม่มีแบรนด์ หล่อนจึงอ่านเขาในทันทีว่า คงเป็นแค่คนเลี้ยงม้าอย่างไม่ต้องสงสัย
“ผมว่าฟลุ้กมากกว่า” เขาโพล่งออกมา
ไหมตะวันหูผึ่ง อ้าปากค้าง ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าดูหล่อนอย่างซึ่งๆหน้าแบบนี้
“เมื่อกี้นายว่าไงนะ”
ขุนศึกรับรู้ได้ถึงอารมณ์วีนของหญิงสาวตรงหน้า “ผมว่าคุณไม่ได้แม่นเมิ่นอะไรหรอก ก็แค่ฟลุ้ก...” ไม่ใช่แค่พูด แต่หันไปพยักพเยิดแล้วยักคิ้วหลิ่วตาใส่กลุ่มชาวบ้าน พวกชาวบ้านเห็นว่าเป็นนายอำเภอขุนศึกก็พยักหน้าหงึกหงัก แม้จะเห็นต่างจากเขาก็ตาม
“ใช่มั้ยพวกเรา ฟลุ้กชัดๆ”
“ใช่แล้ว ฟลุ้ก ฮ่ะๆๆ”
ไหมตะวันมีอาการเหมือนควันออกหูแล้ว ริมฝีปากของหล่อนเป็นเส้นตรง ดวงตาราวกับแม่เสือสาวที่อยากขย้ำเหยื่อ หล่อนกัดฟันตอบว่า “แสดงว่านายไม่เชื่อฝีมือของฉัน”
“ถั่วต้ม...” ขุนศึกตอบ “ถูกต้อง”
“งั้นฉันจะแสดงให้นายดู”
“แต่ผมไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะมาดูคนคุยโม้”
“อะไรนะ” ไหมตะวันอยากกระโดดเข้าไปฉีกนายคนปากเสีย “งั้นนายจะเอายังไงว่ามา”
ขุนศึกซ่อนยิ้ม ยิ่งเห็นอาการวีนของไหมตะวัน หัวใจของเขายิ่งเต้นแรง
“ถ้ามีเดิมพันกันหน่อย ผมอาจจะยอมเสียเวลา...”
“ว่ามา”
“ขอสามนัดพอ ถ้าสามนัดคุณยิงไม่พลาดเลย ผมถึงจะเชื่อ”
ไหมตะวันยิ้มเยาะ “นายจะยอมแก้ผ้าวิ่งรอบบริเวณงานมั้ยล่ะ?”
ตายละ ชาวบ้านเงี่ยหูฟังคำตอบของนายอำเภอหนุ่มอย่างลุ้น เพราะจากฝีมือของหญิงสาวคนสวย อย่าว่าแต่สามนัดเลย เป็นร้อยนัด หล่อนก็ไม่มีทางยิงพลาด
ขุนศึกยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย
“โอเค”
ชาวบ้านอ้าปากค้าง บางพวกก็ลุ้นอยากเห็นหุ่นนายอำเภอเหมือนกัน
“งั้นนายเตรียมแก้ผ้าได้เลย”
“ผมมีซิกแพ็ก กำลังอยากอวดพอดี” เขายักไหล่ “ถ้าคุณพลาดล่ะ จะให้ผมทำอะไรกับคุณ”
หล่อนยักไหล่ เพราะคำว่าพลาดไม่เคยมีอยู่ในพจนานุกรมของหล่อนอยู่แล้ว
“แล้วแต่นาย”
“งั้น...” เขาทำท่าคิด ทั้งๆที่มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว “ถ้ายิงพลาด ผมหอมแก้ม ขอสองข้างเลย”
ไหมตะวันกัดฟันกรอด ฝันไปเถอะไอ้คนเลี้ยงม้า อย่างแกไม่มีทางได้เห็นขาอ่อนของฉันหรอกย่ะ
เจ้าจิ๊กโก๋คุมซุ้มยิงปืนขยับเข้ามากระซิบกับขุนศึก
“ลูกพี่แน่ใจนะว่ามีซิกแพ็ก”
คิ้วเข้มของขุนศึกขมวดเข้าหากัน “แล้วไง”
“ลูกพี่แพ้แหงๆ” จิ๊กโก๋ฟันธง
ขุนศึกแยกเขี้ยวใส่ “ก็ไม่แน่หรอก”
คำพูดของชายหนุ่มผู้ที่หล่อนทึกทักเอาเองว่าเขาเหมือนคนเลี้ยงม้าทำให้ไหมตะวันแทบไม่สามารถบังคับมือให้อยู่นิ่งได้ ในเมื่อใจเสียสมาธิรวนไปแล้ว แต่หล่อนยังคงเชื่อมั่นว่าฝีมือเชิงปืนของหล่อนไม่เคยพลาด หล่อนอยู่ในสนามยิงปืนตั้งแต่เด็ก กะอีแค่ปืนของเด็กเล่นและเป้านิ่งในระยะห่างไม่กี่คืบ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่มั่นใจแม้แต่นิดเดียว
ไหมตะวันสูดลม แล้วยกปืนเล็ง ก่อนจะลั่นไก หูก็แว่วได้ยินเสียงพูดของนายคนเลี้ยงม้า
“ฟลุ้ก ยังไงก็คือฟลุ้ก”
มือของหล่อนสั่นเล็กน้อย แต่...เมื่อเหนี่ยวไก เป้าก็กระเด็นผาง
เสียงปรบมือดังกราว ไหมตะวันหันมาทางนายคนเลี้ยงม้า “ฉันว่านายเตรียมแก้ผ้าได้เลย”
ขุนศึกยักไหล่ “ยังเหลืออีกตั้งสองนัด”
ไหมตะวันเริ่มยิงนัดที่สอง ท่ามกลางความกดดันจากเสียงของนายคนเลี้ยงม้า
“คนน่ารัก ยิงปืนไม่แม่นหรอก เชื่อฉันซี่”
ไม่เสียแรงที่อยู่กับปืนมาตั้งแต่เล็ก แม้กดดันเพราะอารมณ์ฉุนเฉียวแค่ไหนก็ตาม หล่อนยังไม่พลาดนัดที่สอง ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังกว่าเดิม
หล่อนหันมายิ้มเยาะให้กับนายคนเลี้ยงม้าที่หน้าเสียจนต้องกลืนน้ำลาย แต่ปากยังดี
“อย่าเพิ่งดีใจไป ยังเหลืออีกตั้ง...หนึ่งนัด”
ไหมตะวันไม่ตอบโต้ เริ่มต้นยิงนัดสุดท้าย
“ผู้หญิงเรียบเป็นหน้ากระดาน ยิงปืนไม่แม่นหรอก ฉันมั่นใจ”
เขามั่นใจ แต่สมาธิของหล่อนกระเจิงเพราะ...กระดานแบนเรียบที่เขาว่านั่นเอง
นัดสุดท้ายจึง...พลาด
เงียบกริบ
มีเสียงของนายอำเภอขุนศึกหัวเราะลั่นเพียงลำพัง ในขณะที่ไหมตะวันทั้งรู้สึกเสียหน้าและหวาดผวาตามมา ในเมื่อเดิมพันคราวนี้ก็คือ หอมแก้ม
นายคนเลี้ยงม้าก็ดูจะจริงจังกับเดิมพันเหลือเกิน หล่อนนึกสยอง แค่คิดว่าจะถูกหอมแก้มจากผู้ชายแต่งตัวไร้รสนิยม สกปรก หล่อนยากจะทำใจได้
“ว่าไงคร้าบ แพ้แล้วต้องทำตามสัญญา จริงมั้ยครับ” ชายหนุ่มหันไปทางชาวบ้านแล้วขยิบตาเพื่อขอเสียง
“จริงค้า จริงครับ” เสียงตอบกลับมาราวนัดหมาย หลังจากนั้นจึงเป็นเสียงเชียร์เพื่อให้ชายหนุ่มได้เดิมพัน หล่อนขึงริมฝีปาก ใจแทบจะไหม้ด้วยเลือดแค้นระอุ หล่อนไม่มีวันยกโทษให้ไอ้คนบังอาจ...
“ว่าไงครับ อย่าบอกนะครับว่าจะเบี้ยว”
เขาขยับก้าวเข้ามาหา หล่อนเพิ่งสังเกตว่า อันที่จริงหน้าตาของเขาดูดีคนหนึ่ง แต่ก็นั่นแหละ ปากมอม แต่งตัวไร้รสนิยม ผู้ชายแบบนี้หล่อนไม่มีวันญาติดีด้วยเด็ดขาด หล่อนจะหลุดพ้นจากเดิมพันนรกที่หล่อนพลั้งปากรับคำ ทำอย่างไรดี...
ไหมตะวันใช้ความคิดอย่างหนัก ทันใดนั้นเอง หล่อนก็คิดออก หล่อนแสร้งมองข้ามหัวไหล่ของชายหนุ่มแล้วร้องว่า
“คุณพ่อคะ รอด้วยค่ะคุณพ่อ”
เขาเผลอเหลียวมองตาม หล่อนถือจังหวะนั้นกะจะชิ่ง แต่แล้วเรียวแขนสะดุดกึกเมื่อถูกเขาคว้าเอาไว้ได้ เขาดึงร่างของหล่อนกลับเข้ามาหาจนเสียหลัก
เซถลาเข้าไปหาอิงแผงอกของเขาในบัดดลนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มอาศัยลูกติดพันจมูกคมของเขาสำเร็จโทษที่แก้มทั้งซ้ายและขวาของหล่อนอย่างรวดเร็ว
จ๊วบ...จ๊วบ...
ไหมตะวันตะลึงอยู่ชั่วเสียววินาที ก่อนจะเรียกสติกลับคืนมาแล้วผลักอกเขาออกอย่างแรง และก้าวฉับๆจากไปด้วยอารมณ์คับแค้นอย่างที่สุด
คนที่ยืนนิ่งงัน อารมณ์เหมือนตกภวังค์รักเข้าอย่างจังก็คือ...นายอำเภอขุนศึก
----------------
“ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ค่ะคุณผู้หญิง” ป้านิ่มชักหวาดเสียวกับความเร็วของรถยนต์ที่สุรีย์ฉายเร่งเครื่องตั้งแต่ออกมาจากกรุงเทพฯ
“พี่ก็รู้นี่ว่าทำไมฉันถึงต้องรีบร้อน” สุรีย์ฉายตอบ สายตาไม่ละจากเลนถนน “ฉันไม่เคยไว้ใจคุณชลิตเลย ถ้าเจอนังปราณีเมียเก่า อาจจะมีการระลึกถึงความหลังกันก็ได้”
“คุณไหมอยู่ด้วยนะคะอย่าลืม”
“คุณชลิตไม่ได้โง่ถึงขนาดจะทำอะไรให้ลูกเห็นหรอกน่า แต่ว่า...อีกเรื่องหนึ่งที่ฉันยังไม่วางใจ ถ้าไหมตะวันมีโอกาสเจอกับนังปราณี พี่ลองคิดดูซี่... ฉันยังจะไว้ใจได้เหรอ”
ป้านิ่มนิ่งงัน ด้วยนึกเห็นใจว่า ถ้านางเป็นสุรีย์ฉาย ก็คงร้อนใจจนไม่อาจอยู่ติดบ้านได้เหมือนกัน ป้านิ่มเหลือบมองที่เข็มไมล์แล้วต้องกลืนน้ำลายและแอบอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่าที่นึกได้เพื่อให้ช่วยคุ้มครอง...
----------------
พิธีการมอบรางวัลภายในห้องประชุมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...
ชลิตยืนรอมอบรางวัล เขายังแอบหวังว่างานนี้จะได้เห็นปราณี แต่ก็ผิดหวัง เพราะคนที่มารับรางวัลแทนปราณี เจ้าของไร่สายสมรก็คือ สะอิ้ง
เสียงปรบมือดังกราวใหญ่ เมื่อพิธีกรประกาศชื่อเจ้าของรางวัลเกษตรกรดีเด่นประเภทบุคคลประจำอำเภอสายทอง สะอิ้งในชุดไทยสุดสวยนวยนาดขึ้นเวทีมารับรางวัลจากมือของชลิต
“ยินดีด้วยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ สบายดีนะคะ”
สะอิ้งตอบได้แค่นั้น ก็ต้องรีบก้าวออกไป ชลิตรู้สึกหมดกำลังใจที่ไม่ได้เห็นปราณีอย่างที่แอบหวังเอาไว้ สายตามองตามสะอิ้ง จึงได้เห็นว่ามีหญิงสาว 2 คนเข้าไปจับไม้จับมือกับสะอิ้ง ถึงแม้จะอยู่ค่อนข้างไกล แต่หัวใจของชลิตก็เต้นรัวด้วยความตื่นเต้นยินดี
‘ลูกพ่อ’
ชลิตอยากลงจากเวทีเสียเดี๋ยวนั้น แต่เป็นไปไม่ได้ เขาต้องทนยืนฝืนยิ้มเพื่อมอบรางวัลให้กับเกษตรกรรายอื่นๆจนครบและจบพิธีการภายในห้องประชุมในอีกกว่าชั่วโมงต่อมา
----------------
ที่ห้องน้ำหญิงมุมหนึ่งของงาน
ไหมตะวันพยายามจะล้างใบหน้าของตัวเอง แต่ล้างเท่าไรก็ล้างไม่ออก หล่อนสามารถจดจำสัมผัสจากจมูกคมสันของนายคนเลี้ยงม้าได้อย่างแม่นยำ ยิ่งล้าง รอยจูบนั้นยิ่งเด่นชัดขึ้น โดยที่หล่อนไม่รู้หรอกว่า จูบของเขาได้ประทับลงกลางหัวใจของหล่อนเรียบร้อยแล้วนั่นเอง
“ฉันจะไม่ยอมจบง่ายๆหรอก ไอ้นายคนเลี้ยงม้า”
ไหมตะวันพูดกับกระจกเงา มองเห็นใบหน้าทะเล้นของนายคนเลี้ยงผ้าผุดขึ้น เสียงหัวเราะเยาะหยัน คำพูดถากถางชวนโมโหของเขาดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หญิงสาวสูดลม แล้วผลุนผลันออกจากห้องน้ำ ใจของหล่อนเดือดดาลด้วยไฟแค้น
“นายอยู่ไหน แน่จริงนายอย่าหนีเสียก่อนล่ะ” หล่อนแค่นเสียงเล็ดลอดไรฟัน พลางเดินกวาดสายตามองหาเขาคนนั้น ไหมตะวันชะงักเท้าที่มุมหนึ่ง ภาพที่หล่อนเห็นก็คือ นายคนเลี้ยงม้ากำลังโชว์การควบม้าท่ามกลางเสียงปรบมืออย่างชื่นชม และตรงนั้นคือซุ้มพื้นที่ค่อนข้างกว้างของไร่สายสมร...
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 770
แสดงความคิดเห็น