บทที่ 234: จิบเดียวเมามาย
“ฮึ” เซียวถังอี้ตัดสินใจอุ้มมู่ไป๋ไป่ขึ้นมา แล้วเขาก็พบว่าใบหน้าขาวนวลของนางเริ่มเปลี่ยนเป็นสีอมชมพูระเรื่อเนื่องจากการร้องกระจองอแงเป็นเวลานาน
ภาพตรงหน้าทำให้เขาขมวดคิ้ว หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ยอมถอยให้หนึ่งก้าวแล้วดึงนางมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะเดินมุ่งหน้ากลับไปยังห้องส่วนตัวของเขา
มู่ไป๋ไป่ที่รู้ว่าอีกฝ่ายยอมตกลงแล้ว ดวงตาของเธอก็โค้งขึ้นเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว และเธอก็ยังใช้โอกาสนี้พูดต่อไปว่า “เสด็จอา หลังจากที่ท่านเล่าถึงสำนักมารแล้ว ท่านช่วยเล่าเกี่ยวกับหุบเขาหมอเทวดาให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
“ฝันไปเถอะ” เด็กหนุ่มตอบแบบไร้เยื่อใย
“นะ ๆ ท่านเล่าให้ข้าฟังหน่อยน้า~” มู่ไป๋ไป่คว้าแขนเสื้อของเขาในขณะที่ทำท่าทางออดอ้อนเขาเต็มที่ “พรุ่งนี้ข้าจะไปขโมยสุราให้เสด็จอาอีก แล้วทำอาหารอร่อย ๆ ให้เสด็จอาด้วยตัวเอง”
“ข้อเสนอนี้เป็นเช่นไร?”
ขณะเดียวกันอวี้เซิ่งยืนฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาสงสัยว่าเซียวถังอี้จะตอบกลับว่าอะไร
อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มเดินเร็วมากจนหายไปในพริบตาจนทำให้เขาไม่ได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย
ภายในห้อง เตาถ่านกำลังลุกไหม้เต็มที่ ขณะที่มันแผ่ขยายความอบอุ่นไปทั่วห้อง
ทันทีที่ทั้งคู่เข้ามาในห้อง มู่ไป๋ไป่ก็รีบวิ่งไปยังจุดที่เธอเคยนั่งมาหลายวัน และพบว่าที่นั่นมีของว่างรวมถึงผลไม้ที่เธอชื่นชอบจัดเตรียมเอาไว้บนโต๊ะตัวเตี้ย
แล้วเธอก็เหลือบมองคนที่กำลังถอดเสื้อคลุมตัวหนาออกพลางคิดว่าผู้ชายคนนี้ท่าเยอะมากจริง ๆ ทั้งที่เตรียมของเอาไว้รอเธออยู่แล้วแท้ ๆ
“เซียวถังอี้ ชางหลานอยู่ที่ไหนหรือ?” คนตัวเล็กไม่ได้เกรงใจสักนิด เธอหยิบขนมขึ้นมากินด้วยความหิว ตอนมื้อกลางวันเธอไม่ค่อยหิวเท่าไหร่จึงกินได้ไม่มากนัก แต่ของว่างที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นทำให้เธอหิวมากถึงขั้นสามารถกินทุกอย่างที่ขวางหน้าได้จนหมด “ในเมืองหลวงอากาศหนาวมาก ชางหลานจะปรับตัวได้หรือไม่?”
ขณะเดียวกัน เซียวถังอี้ยื่นเสื้อคลุมสีดำตัวหนาให้กับองครักษ์เงาที่รออยู่ด้านข้าง ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองเหนือนิ้วมือที่เต็มไปด้วยเศษขนม จากนั้นเขาก็หันกลับมาออกคำสั่งคนของตนเสียงเบา ก่อนจะก้าวไปอีกด้านหนึ่ง
“ชางหลานเกิดในดินแดนหิมะที่หนาวเย็นบนภูเขาสูง อากาศเช่นนี้คืออากาศที่มันชื่นชอบมากที่สุด”
“นั่นสินะ” ถัดมา มู่ไป๋ไป่หยิบของอีกชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของเธอแล้วกล่าวว่า “นี่คือของว่างที่ข้าเอามาให้ชางหลานโดยเฉพาะ เนื้อแดดเดียวตากแห้งแบบไม่ปรุงรสใด ๆ มันมีกลิ่นหอมมาก~~”
เซียวถังอี้เลิกคิ้วมองเจ้าตัวเล็กครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “เจ้าใจดีกับมันขนาดนั้นเลย?”
“แน่นอน” มู่ไป๋ไป่ตอบรับด้วยรอยยิ้ม พลางคิดกับตัวเองว่าถ้าเธอไม่เอาใจชางหลาน เธอจะสามารถหาเหตุผลมาที่นี่ทุกวันได้อย่างไรกัน
ทางด้านเด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เขาเดินไปรับห่อกระดาษมาวางไว้บนชั้นวางที่ทำมาจากเหล็กด้านข้าง
บนชั้นวางนั้นมีบ้านหลังเล็ก ๆ ให้ชางหลานซ่อนตัว
การที่เอาห่อกระดาษไปวางไว้ที่นั่น พอเจ้าเหยี่ยวกลับมามันก็จะรู้ว่านี่เป็นของของมัน
“เซียวถังอี้ ท่านเล่าเรื่องสำนักมารได้เพียงครึ่งเดียวเอง หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าสำนักมาร?” มู่ไป๋ไป่รีบเปลี่ยนหัวข้อพูดอย่างรวดเร็ว “เขากลับมาสังหารคนของสำนักคุณธรรมทั้งหมดที่ข่มเหงเขาหรือไม่?”
ก่อนหน้านี้เซียวถังอี้เล่าเรื่องเกี่ยวกับสำนักมารในยุทธภพให้เธอฟัง
เธอไม่รู้ว่าสำนักมารมีจริงหรือว่าเขาปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อให้เธอหวาดกลัว
แต่โดยรวมแล้ว หลังจากที่ได้ฟังเรื่องนี้ เธอก็รู้สึกวิตกกังวลมากเช่นกัน แม้ว่ามันจะผ่านไป 3 คืนแล้ว เธอก็ยังหวนคิดว่าเจ้าสำนักมารที่มีบุคลิกทั้งดีและชั่วในคนเดียวกันนั้นตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่
“ไม่” เซียวถังอี้เปิดไหสุราที่มู่ไป๋ไป่ยื่นให้เขาพร้อมกับห่อกระดาษอีกอัน ไม่นานก็มีกลิ่นหอมของดอกไม้จาง ๆ ฟุ้งไปทั่วห้อง
นี่เป็นสุราดอกท้อ สุราชั้นเลิศอย่างแน่นอน
“โอ๊ะ กลิ่นหอมมาก” เดิมทีเด็กหญิงอยากจะถามเรื่องสำนักมาร แต่ในขณะที่เธอกำลังจะอ้าปากถาม เธอก็ถูกกลิ่นหอมของสุราเบี่ยงเบนความสนใจไปเสียก่อน “ทำไมสุราชนิดนี้ถึงได้หอมมากเลย?”
“นี่คือสุราดอกท้อ” เซียวถังอี้เทสุราลงบนจอก นั่นทำให้กลิ่นของดอกท้อสดชื่นยิ่งกระจายออกมามากขึ้น
“ดอกท้อ?” มู่ไป๋ไป่ดวงตาเป็นประกายทันที “มันอร่อยหรือไม่ มันจะเผ็ดหรือไม่?”
ความจริงคนตัวเล็กไม่ได้สนใจสุรามากนัก แต่ชื่อและกลิ่นของสุรานี้ดึงดูดจนเธออดคิดที่จะอยากลิ้มลองไม่ได้
“ลองชิมดูหรือไม่ล่ะ?” เซียวถังอี้เหลือบมองมู่ไป๋ไป่แล้วเปลี่ยนใจพูดว่า “สุรานี้แรงมาก เจ้าคงดื่มไม่ได้”
สุราดอกท้อนั้นอาจจะมีชื่อที่ฟังดูนุ่มนวล แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นสุราที่มีรสร้อนแรงยิ่งกว่าสุราชนิดอื่น ๆ เสียอีก
“แรงอย่างนั้นหรือ?” เด็กหญิงทำหน้าสงสัย “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ค่อยรู้จักสุราสักเท่าไหร่ แต่สุราไหนี้ไม่มีกลิ่นสุราด้วยซ้ำ มันจะแรงขนาดนั้นได้อย่างไร ท่านอย่าได้คิดจะโกหกข้าเลย”
ตอนที่เธออยู่ที่ค่ายทหารเป่ยหลง เธอเห็นทหารบางคนดื่มสุราเข้มข้นเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น ซึ่งกลิ่นสุรานั้นแรงมาก แค่ได้กลิ่นมันก็ทำให้เธอเวียนหัวแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ลองดื่มมันสิ” พอเด็กหนุ่มเห็นว่าเจ้าตัวเล็กไม่เชื่อที่ตนพูด เขาจึงผลักไหสุราไปตรงหน้าเธอ “ดื่มแล้วก็อย่าเมาล่ะ”
มู่ไป๋ไป่เชื่อว่าเซียวถังอี้กำลังหลอกเธออยู่ ดังนั้นเธอจึงรินสุราใส่จอกให้ตัวเอง แล้วกระดกหมดจอกโดยไม่ลังเล
รสสุราที่เธอสัมผัสในปากนั้นเบามาก คล้ายกับที่เธอจินตนาการเอาไว้ มันไม่มีรสชาติของสุราเลยสักนิด ตอนนี้ภายในปากของเธอกรุ่นไปด้วยกลิ่นดอกท้ออันหอมหวาน
พอเธอกำลังจะยกดื่มอีกจอก จู่ ๆ กลิ่นสุราที่ฉุนกึกก็ตีขึ้นมาจากลำคอ
“อ๊าาา มันเผ็ด!” ความร้อนแรงทำให้เด็กน้อยหน้าเปลี่ยนสี และเธอก็แลบลิ้นออกมาเหมือนลูกหมา “โอ๊ย มันเผ็ดมาก ทำไมมันถึงเผ็ดได้ขนาดนี้?!”
ขณะเดียวกัน ในดวงตาของเซียวถังอี้ก็มีประกายบางอย่าง จากนั้นเขาก็ยกจอกสุราขึ้นลิ้มรสด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์
แล้วตอนนั้นเองมู่ไป๋ไป่ก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายค่อย ๆ จิบทีละน้อย ไม่ใช่กระดกหมดจอกเหมือนเธอ
“เจ้ายังอยากดื่มอยู่หรือไม่?” เด็กหนุ่มที่เห็นเจ้าตัวเล็กวิ่งพล่านไปทั่วห้องรู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากล้อเลียนนางว่า “ลองอีกสักจอกดีหรือไม่?”
“ไม่!” มู่ไป๋ไป่เทน้ำชาดื่มรวดเดียว 3 ถ้วยใหญ่ ถึงกระนั้นมันก็ไม่อาจชะล้างรสเผ็ดในปากของเธอไปได้ “สุรานี้ทำไมถึงแปลกเช่นนี้? ทั้งที่กลิ่นมันไม่เหมือนสุราเลย แต่พอดื่มเข้าไปอึกใหญ่ทำไมมันถึงได้เข้มข้นนักล่ะ”
เซียวถังอี้ยิ้มเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร
เขากำลังรู้สึกสบายอารมณ์จึงไม่คิดอยากจะบอกเด็กน้อยว่าสุรานี้เป็นตำรับลับที่เขาจิ่วเซียนคิดค้นขึ้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สุรานี้ได้ชื่อว่าเป็นสุราที่ไร้กลิ่นแต่รสสุรากลับรุนแรงยิ่งกว่าสุราใดในใต้หล้า
แต่สุรานี้ดีมากสำหรับผู้ที่ฝึกฝนวรยุทธ
“ไม่เห็นจะอร่อยเลย ไม่อร่อยสักนิด” มู่ไป๋ไป่เบะปาก เธอไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองหรือไม่ ตอนนี้เธอรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมพวกผู้ใหญ่ถึงชอบดื่มสุรานัก”
“ท่านก็ชอบ อวี้เซิ่งเองก็เช่นกัน วัน ๆ หนึ่งมือของเขาไม่เคยห่างจากไหสุราเลยสักอึดใจ”
“หืม อวี้เซิ่งเลิกนิสัยนี้แล้ว” เซียวถังอี้กล่าวขึ้น
“ในอนาคต ถ้าภรรยาของเขาไม่อนุญาตให้เขาดื่ม เขาคงจะเลิกดื่ม”
“งืม ๆ” เด็กหญิงตอบรับในลำคอเสียงงึมงำ
“มู่ไป๋ไป่” เด็กหนุ่มวางจอกสุราลงแล้วมองคนที่กำลังยิ้มกว้างอยู่ตรงข้าม “เจ้าเมาแล้ว”
“หา?” เด็กน้อยกะพริบตาปริบ ๆ “เมา?”
เธอรู้สึกแค่ว่าตนเองกำลังเวียนหัวจนคิดอะไรไม่ออก ดังนั้นเธอจึงนั่งอยู่เงียบ ๆ แล้วภาพตรงหน้ามันก็เริ่มขยับแบบแปลก ๆ
“ชิงหาน” เซียวถังอี้ขี้เกียจสนใจคนตัวเล็กอีก เขาจึงหันไปออกคำสั่ง “ส่งองค์หญิงหกกลับตำหนักอิ๋งชุน และขอโทษหว่านผินแทนข้าด้วย”
“ขอรับ!” ชายในชุดดำเดินเข้ามาจากด้านนอกประตู ซึ่งผู้ชายคนนี้สวมหน้ากากเหมือนกับเด็กหนุ่ม
“ม่ายกาบ! ท่านยางเล่าเรื่องนั้นให้ข้าฟังยางม่ายโจบ!” มู่ไป๋ไป่ผลัก ‘ชิงหาน’ ออกไป แล้วเดินโซเซไปทิ้งตัวในอ้อมแขนของเซียวถังอี้ “เกิดอารายขึ้นกับเจ้าสำนักมาร? เขาเองก็ม่ายด้ายอยากเป็นมันม่ายช่ายหรือ แล้วเขาก็ม่ายด้ายทามอารายม่ายดี เขาแค่อยากมีชีวิตอยู่อย่างอิสระ แล้วทามมายทุกคนต้องบีบบังคับเขาถึงขั้นน้านโด้ย”
เด็กหนุ่มหรี่ตาลงขณะถามอีกคนกลับไปว่า “มู่ไป๋ไป่ ทำไมเจ้าถึงยึดติดกับเรื่องนี้นัก?”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 87
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น