บทที่ 158: พลิกวิกฤต

-A A +A

บทที่ 158: พลิกวิกฤต

มู่ไป๋ไป่กำลังรอให้มีคนพูดประโยคนี้และปรบมือทันที “ทำไมจะไม่มีล่ะ? จากนี้ไปขอเพียงแค่พวกท่านเป็นลูกค้าที่มาทานอาหารที่ร้านผิงชาง พวกท่านก็จะได้เห็นเถ้าแก่พ่างของเราลองชิมอาหารให้พวกท่านด้วยตัวเอง”

“พวกท่านคิดดูสิ ถ้าอาหารมีพิษ เขาคงไม่รอดแน่นอน”

“ใช่หรือไม่?”

คำพูดของเด็กหญิงทำให้ทุกคนเงียบไป ถ้าเถ้าแก่พ่างกินได้ พวกเขาก็ไม่มีข้อโต้แย้งจริง ๆ

และเนื่องจากพวกเขาไม่สามารถมาทานอาหารที่ร้านผิงชางได้ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องไปกินที่ร้านหย่งเซวียนเท่านั้น

ร้านหย่งเซวียนก่อนหน้านี้ถือว่ารสชาติดีทีเดียว แต่ช่วงนี้อาหารต่าง ๆ เริ่มจะไม่ถูกปากมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งราคาก็แพงมากเกินไป

“ใช่! ขอเพียงทุกท่านมากินอาหารที่ร้านผิงชาง ข้าก็กล้าที่จะช่วยพวกท่านชิมอาหารต่อหน้า!” เถ้าแก่พ่างสะบัดตัวออกจากมือของลุงจางและตะโกนเสียงดังจนคอเป็นเอ็น “ข้าคนนี้กล้าทำกล้ารับ! ข้าไม่กลัวหรอก!”

“นี่… ถ้าเป็นเช่นนี้พวกเราก็รู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว เสี่ยวพ่าง เมื่อไหร่จะเริ่มเปิดขายอาหารจานนี้ล่ะ เราสั่งตอนนี้เลยได้หรือไม่?”

“ใช่ แล้วค่าอาหารล่ะเท่าไหร่ อย่าทำให้แพงเกินไปนัก ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียง ถ้ามันอร่อยเราก็จะอุดหนุนเจ้าบ่อย ๆ”

“ถูกต้อง!”

หลังจากที่มีคนเริ่มพูดเช่นนั้น คนอื่น ๆ ก็ลดทิฐิลงและเริ่มสอบถามเกี่ยวกับอาหารจานใหม่จากเถ้าแก่ร้านผิงชาง

ทางด้านเถ้าแก่พ่างที่ถูกเมินเฉยมาหลายเดือน ตอนนี้ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ

เขาค่อย ๆ ตอบคำถามลูกค้าทีละคนโดยไม่รู้สึกรำคาญ เพื่อให้ความมั่นใจว่าข้อเสนอที่มู่ไป๋ไป่มอบให้ทุกคนนั้นเป็นเรื่องจริง พร้อมทั้งแจ้งว่าจะเริ่มเปิดขายอาหารวันพรุ่งนี้

เวลาต่อมา เหล่าลูกค้าก็พากันแยกย้ายออกไปหลังจากได้รับคำตอบที่พึงพอใจเรียบร้อยแล้ว

ทำให้ร้านที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

เถ้าแก่พ่างยกมือขึ้นปาดน้ำตา ก่อนจะเดินเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้ามู่ไป๋ไป่แล้วคำนับให้นาง

“คุณหนู ข้าซาบซึ้งในบุญคุณที่ท่านช่วยข้าไว้คราวนี้”

“ข้า ข้า...”

ชายร่างใหญ่รู้สึกตื้นตันมากจนพูดไม่ออกจึงปิดหน้าร้องไห้เสียงดัง

“จริง ๆ เลย มนุษย์ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก” เจ้าส้มปรากฏตัวออกมาจากบริเวณไหนก็ไม่ทราบและไปนั่งข้างมู่ไป๋ไป่พลางบ่นว่า “แม้แต่คนตัวโตเช่นนี้ก็ยังมานั่งร้องไห้เหมือนเด็ก เขาไม่รู้สึกว่ามันน่าอายบ้างหรืออย่างไร?”

มู่ไป๋ไป่ที่กำลังมีอารมณ์ร่วมกับเถ้าแก่ร้านผิงชางถูกเจ้าแมวอ้วนสาดน้ำเย็นเข้าใส่ทันที เธอจึงขยำพุงมันไปเต็มแรง

“เถ้าแก่พ่าง ท่านลุกขึ้นก่อนเถอะ แล้วเราค่อยมาพูดถึงเรื่องการตอบแทนบุญคุณกันทีหลัง สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือท่านต้องสอนข้าทำอาหาร 3 จานของท่าน” เด็กหญิงเข้าไปช่วยพยุงคนตัวใหญ่กว่าให้ลุกขึ้น “ตามสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ อาหาร 3 จานของท่านแลกกับอาหาร 3 จานของข้า”

“สอน! ข้าสอน!” เถ้าแก่พ่างยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาลวก ๆ “ขอเพียงแค่คุณหนูอยากเรียนรู้ ข้าสอนท่านได้ทั้งหมด”

มู่ไป๋ไป่เตรียมตัวที่จะเรียนทำอาหารในร้านอาหารเก่าแก่แห่งนี้อย่างเต็มกำลัง แต่ในเวลาเดียวกันนี้ มู่จวินฝานกลับประสบปัญหาบางอย่าง 

เมื่อเช้าคนของทางการได้นำกำลังคนจำนวนมากมาล้อมเขาไว้ โดยบอกว่าจะเอาตัวเขากลับไปเพื่อสอบปากคำในข้อหาฆาตกรรม

เด็กหนุ่มกำลังดื่มชานิ่ง ๆ อยู่ในห้องโถงชั้นล่างโดยมีทหารกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ข้างหลัง

“เจ้าเป็นพี่ชายของเด็กคนนั้นใช่หรือไม่?” คนของทางการไม่เคยเห็นมู่จวินฝานมาก่อน แล้วตอนนี้พวกเขาก็รู้สึกว่าตนคิดผิดเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีไม่ธรรมดาของอีกฝ่าย

พวกเขาเป็นทหารผ่านศึกที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน จึงมักจะได้พบผู้คนมากหน้าหลายตาในตอนที่ไปจัดการคดีต่าง ๆ

สำหรับคนที่มีเงิน พวกเขาไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวกับคนพวกนี้ แต่ถ้าพบเจอกับคนที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา พวกเขาย่อมต้องหลีกเลี่ยงไม่แตะต้องคนจำพวกนี้

ยกตัวอย่างเช่น จนกระทั่งตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่ได้ไปที่จวนตระกูลจินเพื่อสอบปากคำคุณชายจิน

“ถูกต้อง” มู่จวินฝานวางถ้วยชายลงและยิ้มจาง ๆ ในขณะที่ดวงตาของเขาเย็นยะเยือก “ข้าอยากจะรู้ว่าคนของทางการมีธุระอะไรกับข้า”

ทันทีที่เจ้าหน้าที่เห็นท่าทีเย็นชาของอีกฝ่าย เขาก็รีบพูดขึ้นมาว่า “เมื่อวานนี้มีชายคนหนึ่งเสียชีวิตอยู่ที่นอกเมือง เขาชื่อว่าเจ้าเจ็ด ตามรายงาน เมื่อวานเขามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับพวกเจ้าที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้”

“เจ้ายอมไปกับเราแต่โดยดีเสีย!”

“เจ้าเจ็ด?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น “มันเป็นเช่นนั้น แล้วอย่างไร ใต้เท้าต้องการอะไรจากข้า?”

“ตอนนี้ข้าสงสัยว่าเจ้าเป็นฆาตกรที่ฆ่าเจ้าเจ็ด เชิญเจ้าไปกับข้าที่ศาลาว่าการ” คนของทางการชี้ไปที่ผู้ต้องสงสัยด้วยท่าทีหยิ่งยโส ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นสายตาเย็นชาจากหางตาก่อนจะหันไปเจออวี้เซิ่งที่ทำร้ายคนของเขาเมื่อเช้านี้

ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย 

“ใต้เท้ากำลังสงสัยว่าข้าฆ่าคนเช่นนั้นหรือ? ท่านมีหลักฐานอะไรหรือไม่?” มู่จวินฝานเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก 

“หลักฐานหรือ?” คนของทางการแค่นยิ้ม “สิ่งที่ข้าเพิ่งพูดไปมันยังไม่พออีกหรือ เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว เจ้ากล้าตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ที่กำลังทำคดีได้อย่างไร?” 

“หึ...” รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กหนุ่มค่อย ๆ จางลง “ใต้เท้า เจ้าหน้าที่ที่ดีจะจัดการคดีต่าง ๆ โดยไม่ให้มีผู้อื่นตั้งคำถามกับเขาได้”

“อวี้เซิ่ง ท่านไปเรียกซุนเต๋อเซิ่งมา” 

“ขอรับ” อวี้เซิ่งคำนับรับคำสั่ง จากนั้นเขาก็กระโดดออกจากหน้าต่างไป ก่อนที่คนของทางการจะทันได้ตอบโต้ เขาก็หายไปในฝูงชนแล้ว

“ซุนเต๋อเซิ่ง...” เจ้าหน้าที่คนนั้นตกตะลึงทันที “นี่เจ้าบังอาจถึงขั้นกล้าเรียกใต้เท้าของพวกเราด้วยชื่อจริงได้อย่างไร เจ้าเป็นใครกันแน่?”

มู่จวินฝานไม่สนใจอีกฝ่ายและหันไปจิบชาต่อไป

เจ้าหน้าที่คนนี้ไม่ใช่คนโง่ หลังจากสงบสติอารมณ์คิดสักพัก เขาก็เริ่มสงสัยในตัวตนของคนตรงหน้า 

เด็กหนุ่มคนนี้มีอายุไม่มาก แต่เขาสามารถเรียกคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าด้วยชื่อได้ แถมยังมาพร้อมกับปรมาจารย์หลายคน บุคคลนี้น่าจะมาจากเมืองหลวง!

เมื่อคิดถึงคำพูดหยาบคายที่เขาเพิ่งใช้กับมู่จวินฝาน เจ้าหน้าที่ทางการคนนั้นก็ตกใจมากจนเหงื่อซึมและขาของเขาก็เริ่มอ่อนแรง

หากไม่มีลูกน้องคอยเฝ้าดูอยู่ข้างหลัง เขาคงจะลงไปคุกเข่าต่อหน้าเด็กหนุ่มแล้ว

ไม่นานอวี้เซิ่งก็กลับมาโดยอุ้มชายชราร่างผอมที่มีเคราแพะเข้ามาด้วย

“โอย ท่านจอมยุทธ์ ได้โปรดเบามือด้วย กระดูกกระเดี้ยวของคนแก่อย่างข้าไม่สามารถทนรับการกระทำของเจ้าได้” ชายชราที่ถูกนักฆ่าหนุ่มโยนเข้าไปในประตูได้กลิ้งไปอยู่แทบเท้าของมู่จวินฝาน

“ใต้เท้าซุน” เด็กหนุ่มโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อมองดูชายสูงวัยที่กำลังมึนงงอยู่บนพื้นด้วยรอยยิ้ม “ไม่เจอกันนานเลย ข้าหวังว่าท่านจะสบายดี!”

พอซุนเต๋อเซิ่งได้ยินน้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคย เขาก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาสับสน ก่อนที่เขาจะเห็นฝ่าบาทปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา แต่คนผู้นี้อายุน้อยกว่าฝ่าบาทในปัจจุบันมาก

แต่เท่านี้ก็เพียงพอที่ทำให้เขาตกใจจนแทบสิ้นสติ

“ท่าน! ท่าน! ท่าน...” ชายชราตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่เรียกสติกลับมาได้แล้ว เขาก็รีบคุกเข่าลงแล้วพูดว่า “ไม่ได้เจอกันนาน พระองค์สบายดี—”

“ใต้เท้าซุน” อวี้เซิ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างสกัดจุดปิดเสียงของซุนเต๋อเซิ่งได้ทันเวลาก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรออกไปมากกว่านี้ “ครั้งนี้คุณชายของพวกเราออกจากบ้านมาเงียบ ๆ เราไม่ต้องการให้มีใครรู้ตัวตนของเขามากเกินไป”

ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางของชายสูงวัยเบิกกว้าง แล้วเขาก็รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อบอกว่าตนเข้าใจแล้ว

จากนั้นอวี้เซิ่งก็เปิดจุดฝังเข็มบนร่างกายของซุนเต๋อเซิ่งเพื่อให้เขาพูดคุยได้ “ข้าน้อยคารวะคุณชาย”

“ลุกขึ้นเถอะ” มู่จวินฝานยกมือขึ้นอย่างใจเย็น

เมื่อชายชราได้รับอนุญาต เขาก็ลุกขึ้นยืนตัวสั่น

ขณะเดียวกัน หลังจากคนของทางการได้เห็นท่าทีของเจ้านาย เขาก็รู้ว่าข้อสันนิษฐานของเขาก่อนหน้านี้ถูกต้อง และตัวตนของบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นสูงส่งยิ่งกว่าที่เขาคาดเอาไว้มาก

“องค์— ทำไมคุณชายถึงเดินทางมาที่เมืองชิงหยางโดยไม่แจ้งข้าน้อยก่อน?” ซุนเต๋อเซิ่งประสานมือไว้ที่ด้านหน้าในขณะที่ดวงตาขุ่นมัวตามวัยเป็นประกาย “ข้าน้อยจะได้ออกไปต้อนรับคุณชายที่นอกเมืองด้วยตัวเอง”

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Right Reserved.