บทที่ 151: พ่อครัวแปลกหน้า
“แฮ่ก ๆ … นางตามมาทันหรือไม่?” มู่ไป๋ไป่วิ่งอยู่นานก่อนที่จะหยุดฝีเท้าลงและหอบเหนื่อยขณะถามหลัวเซียวเซียวที่อยู่ด้านข้าง
“ไม่เจ้าค่ะ!” เด็กหญิงกลั้นหัวเราะ “คุณหนูวิ่งเร็วมาก”
“จริงหรือ?” เมื่อคนตัวเล็กหันไปมองด้านหลังและเห็นว่าหญิงชราตามมาไม่ทัน เธอจึงใช้นิ้วโป้งปัดปลายจมูกตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ “ถ้าเจ้าคิดจะทำความดี แน่นอนว่าเจ้าจะต้องไปฝึกวิ่งให้เร็วขึ้นกว่านี้”
หลังจากพูดจบเธอก็หันไปหาผู้เป็นพี่ชายที่อยู่ด้านข้าง
“ท่านพี่ สิ่งที่ข้าทำถูกต้องหรือไม่?”
“ทุกสิ่งที่ไป๋ไป่ทำล้วนดีทั้งสิ้น” มู่จวินฝานตอบก่อนจะอุ้มน้องสาวตัวน้อยขึ้นมาด้วยความเอ็นดู “เจ้าวิ่งมาตลอดทาง เจ้าคงหิวแล้วใช่หรือไม่?”
“เจ้าอยากกินอะไร?”
ทันทีที่มู่ไป๋ไป่ได้ยินเกี่ยวกับอาหาร เธอก็ลืมทุกสิ่งที่เพิ่งทำไปจนสิ้นและเอ่ยชื่ออาหารจานหนึ่งออกมา
“ตกลง” มู่จวินฝานหัวเราะพลางส่ายหัวเบา ๆ “เราไปกินของที่ไป๋ไป่อยากกินกันเถอะ”
ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มได้สั่งให้คนไปสอบถามเกี่ยวกับอาหารจานเด็ดก่อนที่จะมาถึงเมืองชิงหยาง เขารู้ว่ามีอาหารดี ๆ อยู่ในเมืองนี้มากมาย ดังนั้นเขาจึงมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารพร้อมกับอุ้มมู่ไป๋ไป่ไว้ในอ้อมแขน
เวลาต่อมา เมื่อพวกเขาเดินไปถึงประตูก็เห็นว่าร้านอาหารเปิดอยู่ แต่ข้างในกลับว่างเปล่าซึ่งตรงกันข้ามกับถนนที่คึกคักด้านนอก
“ข้ารู้สึกว่านี่มันแปลก ๆ ทำไมถึงไม่มีลูกค้าอยู่ในร้านสักคนเลย?” เด็กหญิงถามขึ้นมาอย่างสงสัย “หรือว่ารสชาติอาหารที่นี่ไม่ดี?”
ขณะนั้นมีชายอ้วนกำลังนั่งแกะเมล็ดแตงโมอยู่ที่ประตู พอเขาได้ยินคำพูดของเด็กน้อย เขาก็เขม็งมองนางด้วยสายตาดุดัน “รสชาติไม่ดีบ้านเจ้าสิ บังอาจนักมาว่าร้านข้าอาหารไม่อร่อย!”
มู่ไป๋ไป่สะดุ้งโหยง “นี่ ทำไมท่านถึงดุร้ายขนาดนี้!”
เธอพูดอะไรผิดไปหรือ?!
“ข้าดุร้ายแล้วทำไม? นี่คือร้านของข้า ถ้าข้าจะดุร้ายกับเจ้า เจ้าจะทำอะไรข้าได้!” ชายร่างท้วมยกจอกสุราขึ้นมาดื่มพลางมองคนตัวเล็กด้วยสายตาโกรธเคือง
“ท่านพี่ ผู้ชายคนนี้แปลกมาก” มู่ไป๋ไป่ที่หิวจนหน้ามืดแล้วยังถูกตะคอกใส่หน้าโดยไม่มีเหตุผลอีกจึงหันไปบ่นกับมู่จวินฝานด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “เราไปกินที่อื่นกันเถอะ!”
ทางด้านเด็กหนุ่มเองก็รู้สึกว่าเถ้าแก่ร้านนี้ไร้เหตุผลมากเกินไป และแอบเสียใจที่ไม่ได้สืบมาอย่างชัดเจนว่าสถานการณ์ของร้านอาหารนี้เป็นอย่างไร เป็นผลให้พวกเขาต้องมาเสียเปล่า
“คุณชายกับคุณหนูท่านนี้อย่าไปต่อล้อต่อเถียงกับเขาเลย” ชายสูงวัยที่ขายน้ำแกงหวานด้านข้างได้ยินบทสนทนาของพวกเขาจึงรีบเข้ามาเตือน “เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะโชคร้าย”
“เมื่อไม่กี่วันก่อนมีร้านอาหารมาเปิดใหม่ในเมือง และได้เอาลูกค้าทั้งหมดของเขาไป”
“จากนั้นเขาก็อารมณ์ไม่ดีจึงดื่มหนักเช่นนี้ทุกวัน”
“การค้าขายมีทั้งช่วงที่ขายดีกับขายไม่ดี นี่มันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือเจ้าคะ?” หลัวเซียวเซียวถามด้วยความรู้สึกสับสน “ทำไมเขาถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ในตอนที่เรามาถึง?”
“คุณหนู ท่านไม่รู้อะไร ร้านอาหารนั้นใช้กลอุบายสกปรกขโมยลูกค้า…” ชายชราเหลือบมองชายอ้วนที่ยังคงดื่มหนักพลางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
“พ่อครัวคนนี้เปิดร้านอาหารในเมืองของเรามาเกือบ 20 ปี”
“เขามีฝีมือที่ยอดเยี่ยมและเป็นคนนิสัยดี ในยามที่เกิดเรื่องเมื่อ 2-3 ปีก่อน เขากับภรรยาก็ได้ออกมาแจกโจ๊กให้กับผู้ประสบภัย”
“เขาเป็นคนดีมากจริง ๆ”
“แต่ว่าตอนนี้…”
หลังจากที่มู่ไป๋ไป่ได้ยินสิ่งที่ชายสูงวัยพูด จู่ ๆ เธอก็รู้สึกว่าพ่อครัวคนนั้นไม่ได้น่ารังเกียจอย่างที่เธอได้พบเจอเมื่อครู่นี้
เด็กหญิงเหลือบซ้ายแลขวาก่อนจะดึงแขนเสื้อของมู่จวินฝานเข้ามาใกล้ ๆ “ท่านพี่ เรากินข้าวที่นี่ดีหรือไม่?”
“หา?” เด็กหนุ่มเหลือบมองชายอ้วนขี้เมาอย่างลังเล “เจ้าแน่ใจหรือ?”
“ข้าแน่ใจ!” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ท่านไม่รู้อะไร บางครั้งความอร่อยที่แท้จริงมักจะซ่อนอยู่ในสถานที่ที่ไม่สามารถหาได้จากร้านอาหารใหญ่ ๆ บางแห่ง ท่านปู่คนนี้พูดเองไม่ใช่หรือว่าร้านนี้เปิดมากว่า 20 ปีแล้ว ร้านอาหารที่มีประวัติยาวนานเช่นนี้ย่อมต้องมีของดี ๆ อยู่ในตัว”
มู่จวินฝานหัวเราะเบา ๆ “เจ้าเป็นแค่เด็ก 4 ขวบ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจโลกไม่น้อย”
“ในเมื่อไป๋ไป่อยากจะกินข้าวที่นี่ เช่นนั้นเราก็เข้าไปกันเถอะ”
จากนั้นเขาก็อุ้มน้องสาวเข้าไปในร้านอาหารของชายอ้วน
“ท่านปู่!” มู่ไป๋ไป่นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงหันกลับไปตะโกนบอกชายชราที่เพิ่งพูดคุยกับพวกเธอเมื่อครู่ว่า “ขอน้ำแกงหวานให้เราชามหนึ่ง!”
ทันใดนั้นชายสูงวัยก็ยิ้มกว้างแล้วตอบรับว่า “ได้เลย คุณหนูรอสักครู่”
“นี่ พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?” ชายอ้วนที่เห็นมู่จวินฝานอุ้มมู่ไป๋ไป่เดินเข้าประตูร้านมาก็ลุกขึ้นยืนโซเซ “ข้าบอกว่าจะไม่ขายให้พวกเจ้าไม่ใช่หรือ? รีบออกไปจากที่นี่ซะ!”
ในระหว่างที่พูดเขาก็ตั้งท่าจะไปลากเด็กหนุ่มออกไปจากร้านของตน
แต่ผลก็คือเขาคว้าอากาศจนทำให้ร่างของเขากระแทกเข้ากับประตูเสียงดังซึ่งดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมากบนท้องถนนให้มาหยุดยืนดู
“ฮ่า ๆ โง่เง่าเสียจริง” มู่ไป๋ไป่หัวเราะพร้อมกับปรบมือเสียงดัง “ท่านพี่ ดูสิ พวกขี้เมานี่มันซื่อบื้อจริง ๆ หลังจากนี้ท่านอย่าได้ดื่มหนักเช่นนี้นะ ไม่อย่างนั้นท่านจะทำตัวโง่เขลาต่อหน้าคนอื่นให้ต้องอับอาย”
มู่จวินฝานพยักหน้าเห็นด้วย “ตกลง พี่ฟังไป๋ไป่”
“นี่…” หลังจากชายร่างท้วมพลาดท่าเช่นนี้ เขาก็ดูเหมือนจะมีสติขึ้นมา “พวกเจ้ามาที่นี่ทำไม?”
“อย่างที่เจ้าเห็น ที่นี่ไม่รับแขก หากพวกเจ้าจะมาก่อกวนก็รีบไปให้พ้นซะ”
“อย่ามาสร้างปัญหาให้ข้า!”
“ใครบอกว่าเรามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา” ยามนี้มู่ไป๋ไป่จัดหาที่นั่งให้ตัวเองเรียบร้อย “ข้าบอกแล้วว่าเราจะกินข้าวที่นี่”
ชายอ้วนคนนี้แปลกมาก ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่เชื่อที่พวกเธอพูด?
“กินข้าวอย่างนั้นหรือ?” ชายอ้วนหัวเราะเยาะ “มีใครในเมืองนี้ไม่รู้บ้างว่าร้านอาหารของข้ามีคนกินเข้าไปแล้วตาย ใครจะไปกล้ากินอาหารฝีมือข้าอีก”
“หรือว่าพวกเจ้าไม่ใช่คนที่นี่?”
มีคนเคยกินอาหารของเขาแล้วตายด้วยเหรอ?
มู่ไป๋ไป่เบิกตากว้าง ดูเหมือนว่าเรื่องจะแตกต่างไปจากที่เธอคิดมาก
ทางด้านมู่จวินฝานก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
ตอนนั้นท่านปู่ได้นำน้ำแกงหวานเข้ามาพอดีกับที่ได้ยินสิ่งที่ชายตัวใหญ่พูด เขารีบวางถ้วยน้ำแกงหวานลงแล้วอธิบายให้ลูกค้าฟังว่า “คุณหนูคุณชายทั้งหลาย อย่าไปฟังที่เขาพูดเลย ที่เขาพูดเช่นนั้นก็เพราะความคับแค้นใจ”
“ก่อนหน้านี้มีเรื่องเกิดขึ้นกับร้านอาหารของเขา แต่ข้ารับรองได้เลยว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่อาหารอย่างแน่นอน”
“เขาเป็นคนดี เขาเปิดร้านอาหารแห่งนี้ด้วยใจรักจริง”
“ร้านอาหารที่เปิดใหม่นั่นคงจะใส่ร้ายเขา—”
“ลุงจาง ท่านก็หยุดพูดได้แล้ว!” ชายอ้วนตะคอกอย่างไม่พอใจ “ทำไมท่านถึงได้พูดมากเช่นนี้? ไปขายน้ำแกงหวานของท่านเถอะ”
“นอกจากนี้ ข้าแนะนำให้ท่านรีบย้ายแผงของท่านออกไปโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นอีกไม่ช้าก็เร็วท่านจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย และก็จะไม่มีใครมาซื้อน้ำแกงหวานของท่านอีก”
ชายสูงวัยที่ถูกเรียกว่า ‘ลุงจาง’ จ้องชายร่างใหญ่ด้วยท่าทางโมโหแต่ก็ไม่ได้จริงจังมากนัก “พูดจาไร้สาระ น้ำแกงหวานของข้าอร่อยจะตาย ไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ไหนก็มีลูกค้ามาซื้อไม่ขาดสาย”
“ถ้าเจ้ามีเวลามากังวลเรื่องนี้ ทำไมไม่ดูแลแขกพวกนี้ให้ดีล่ะ?”
ชายอ้วนไม่ได้ตอบกลับลุงจาง เขาแค่เดินโซเซเข้าไปหาพวกมู่ไป๋ไป่ก่อนจะพูดขึ้นว่า “พวกเจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่ ข้าไม่ได้โกหก คนที่กินอาหารที่ร้านของข้าตายไปแล้วจริง ๆ”
“ถ้าพวกเจ้าไม่กลัวตายก็นั่งรออยู่ตรงนี้”
ยามนี้มู่ไป๋ไป่เข้าใจคร่าว ๆ แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับร้านอาหารแห่งนี้ นั่นทำให้เธอขี้เกียจโต้เถียงกับเจ้าของร้านและหันไปถามลุงจางว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ปรากฏว่าเมื่อปีที่แล้ว มีร้านอาหารขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า ‘หย่งเซวียน’ มาเปิดในเมือง ร้านอาหารแห่งนี้มีการตกแต่งที่หรูหราและมีอาหารให้เลือกหลากหลาย
ในช่วงแรก ๆ ร้านหย่งเซวียนก็สามารถดึงดูดให้ผู้คนเข้าไปรับประทานอาหารได้เป็นจำนวนมาก
แต่พอมีคนไปกินมากเข้า ๆ พวกเขาก็ได้รู้ว่าอาหารในร้านไม่ได้มีความพิเศษอะไรเลย แม้ว่าร้านจะได้รับการตกแต่งให้ดูดี แต่จริง ๆ แล้วรสชาติกลับไม่ได้ดีตามที่เห็นภายนอก
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 35
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น