บทที่ 150: มู่จวินเซิ่ง
อวี้เซิ่งไม่รู้ว่าเซียวถังอี้กำลังคิดอะไรอยู่ เพราะพอเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่นิ่งเงียบ เขาก็หยุดพูดแล้วรินชาดื่มต่อไป
ในเวลาเดียวกัน ที่ทางเข้าเมืองชิงหยาง เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่บนหลังม้าก็ค่อย ๆ ก้าวเข้ามาในเมือง
เด็กหนุ่มคนนี้มีรูปร่างแข็งแรง คิ้วรูปกระบี่ และดวงตาเป็นประกายสดใส ใบหน้าของเขางดงามมากจนดึงดูดความสนใจของผู้คนตลอดทางที่ผ่าน
เด็กหนุ่มควบม้าไปจนถึงประตูจวนตระกูลจินก่อนจะลงจากม้า
“พี่ฉิน ในที่สุดท่านก็มาถึง!” จินซือหยางที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยได้ออกมาต้อนรับและกอดผู้มาเยือนคนใหม่ “ข้าคอยนับวันรอท่านอยู่ทุกวันเพราะกลัวว่าท่านจะมาไม่ทันเวลา”
‘มู่จวินเซิ่ง’ โยนแส้ม้าออกไปแล้วยิ้มกว้างให้ชายตรงหน้า “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องมาร่วมฉลองวันเกิดท่านลุงจินให้ได้”
“ดูสิ ข้ามาทันเวลาพอดีเลยไม่ใช่หรือ?”
“เอาเถอะ ๆ” จินซือหยางพาแขกเข้าไปด้านในทันที “ท่านพ่อต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่ได้พบท่าน”
“ระหว่างที่เดินทางมาที่นี่ข้าเห็นคนในยุทธภพจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในเมืองชิงหยาง” มู่จวินเซิ่งพูดด้วยรอยยิ้ม “ช่วงนี้ท่านคงจะยุ่งมากเลยใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง” จินซือหยางถอนหายใจเมื่อพูดถึงเรื่องดังกล่าว “ทุกวันข้าจะต้องลาดตระเวนไปรอบเมือง แถมยังต้องปลอมตัวเป็นจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรมพวกนั้นอีก”
“ขาข้าเกือบหักแน่ะ”
“โชคดีที่ท่านมาถึงแล้ว พรุ่งนี้ท่านจะได้ไปช่วยข้า ข้าจะได้เบาแรงลงหน่อย”
เด็กหนุ่มรับปากทันที
ตอนที่มู่จวินเซิ่งอายุได้ 5 ขวบ เขาก็ต้องออกจากวังหลวงมาอยู่ที่ชายแดนเพื่อฝึกฝนเป็นเวลากว่า 9 ปี
ในเวลา 9 ปีนี้ เขาเติบโตขึ้นทุกวัน
ครั้งแรกที่เขาออกจากวังหลวง เขาเคยรู้สึกไม่ยินยอมที่จะจากที่นั่นไป แต่ตอนนี้เขาไม่รู้สึกอยากกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในกรงเหล็กที่ได้ชื่อว่าวังหลวงเลยสักนิด
ถึงอย่างไรที่ชายแดนเขาก็มีอิสรเสรี
นอกจากนี้เขายังบังเอิญได้พบกับจินซือหยาง
เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ระหว่างที่เขาไล่ตามคนของแคว้นหนานซวนที่มาก่อความวุ่นวายบริเวณชายแดน เขาก็ได้พบกับนักดาบหิรัณย์ที่กำลังได้รับบาดเจ็บ
แล้วเขาก็ช่วยบุคคลนั้นเอาไว้
นักดาบหิรัณย์ซาบซึ้งที่เขาช่วยชีวิตตนไว้ และนับว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณ
ต่อมาเขาก็ได้มาที่เมืองชิงหยางหลายครั้งเพื่อทำธุระบางอย่าง ในระหว่างการมาเยือนทุกครั้งเขาก็เริ่มคุ้นเคยกับนักดาบหิรัณย์มากขึ้นเรื่อย ๆ และเขาก็ได้รู้จักจินซือหยางผู้เป็นลูกชาย
จินซือหยางเป็นคนที่เป็นกันเองมาก ชายผู้นี้เป็นคนประเภทที่ควรค่าแก่การเป็นสหาย
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่เขาอยู่กับอีกฝ่าย เขาก็จะคิดถึงพี่น้องที่อยู่ในเมืองหลวงที่ห่างไกลโดยไม่รู้ตัว
“พี่ฉิน ท่านไม่รู้หรอกว่าวันนี้ข้าได้พบกับคนที่น่ารังเกียจมากขนาดไหนที่โรงเตี๊ยมในเมือง” จินซือหยางเล่าเหตุการณ์ที่เขาได้พบกับจางเหล่าชีในวันนี้ “โชคดีที่พี่น้องคู่นั้นแข็งแกร่งมากพอ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงจะติดกับดักโจรชั่วคนนั้นไปแล้ว”
“ข้าจึงตัดสินใจว่าก่อนถึงงานวันเกิดของท่านพ่อ ข้าจะจับคนผู้นั้นเพื่อขจัดภัยแทนทุกคน”
คำพูดของเขาทำให้มีรอยยิ้มฉายในดวงตาของมู่จวินเซิ่ง “เอาเถอะ ข้าจะช่วยท่านเอง”
เมื่อจินซือหยางได้ยินสิ่งที่เด็กหนุ่มพูด เขาก็หัวเราะเสียงดัง แต่ในไม่ช้าเขาก็หุบยิ้มก่อนจะลดเสียงพูดให้เบาลง “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ข้าได้ยินมาว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่ชายแดน มันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ?”
สีหน้าของมู่จวินเซิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำถามนั้น ในขณะที่เขากล่าวว่า “ท่านไปได้ยินเรื่องไร้สาระเช่นนี้มาจากที่ไหน แม่ทัพจ้าวกำลังเฝ้าดูแลชายแดนเป็นอย่างดี มันจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้ล่ะ?”
“แต่…” จินซือหยางอยากจะบอกข่าวลือที่ตนได้ยินในช่วงมีกี่วันที่ผ่านมา แต่จากสีหน้าของเด็กหนุ่มก็ทำให้เขากลืนคำพูดทั้งหมดลงไป
ท่านพ่อเคยบอกว่าฝีมือของพี่ฉินนั้นไม่ธรรมดา และเจ้าตัวก็น่าจะเกี่ยวข้องกับแม่ทัพจ้าวด้วย
เนื่องจากเด็กหนุ่มใกล้ชิดกับแม่ทัพจ้าว มันจึงเป็นการดีกว่าที่เขาจะไม่พูดบางสิ่งเพื่อไม่ให้เป็นการทำร้ายความรู้สึกของพี่ฉิน
ในเวลานี้ จวนตระกูลจินได้ต้อนรับแขกมากมายทำให้ภายในครึกครื้นมาก
…
ขณะเดียวกัน ตลาดในเมืองชิงหยางก็ครึกครื้นไม่แพ้กัน
มู่ไป๋ไป่กินอาหารเลื่องชื่อทั้งหมดที่มู่จวินฝานแนะนำเธอด้วยความพึงพอใจ จนตอนนี้พุงของเธอป่องจนดูเหมือนตุ๊กตาล้มลุก
“คุณหนู ท่านควรหยุดกินก่อนจะดีกว่านะเจ้าคะ” หลัวเซียวเซียวมองดูท้องของอีกฝ่ายพลางกระซิบอย่างเป็นกังวล “ถ้าท่านกินต่อไปอีก คืนนี้ท่านปวดท้องขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
คนตัวเล็กลูบท้องกลม ๆ ของตัวเองและรู้สึกว่าตนกินมากเกินไปหน่อย เธอจึงพยักหน้าแล้ววางของว่างในมือลง “เอาเถอะ เจ้าช่วยข้าห่อของพวกนี้กลับไปได้หรือไม่ ข้าอยากจะกินมันหลังอาหารพรุ่งนี้เช้า”
นับตั้งแต่ที่เดินทางออกจากเมืองหลวง ดูเหมือนว่าเธอจะติดทานของหวานหลังมื้ออาหารไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มีคนบอกว่าผู้หญิงมี 2 กระเพาะไม่ใช่หรือ?
อันหนึ่งเอาไว้กินของคาว ส่วนอีกอันเอาไว้กินของหวาน
และ 2 กระเพาะนี้ก็ไม่ได้เชื่อมโยงกันด้วย ถึงจะอิ่มของคาวแล้ว แต่ก็ยังกินของหวานต่อได้อีก!
“คุณ…” หลัวเซียวเซียวถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ แต่พอเห็นว่ามู่ไป๋ไป่ดูมีความสุขมากเพียงใด นางจึงตัดสินใจห่อทุกอย่างให้อีกคนเก็บไว้กินพรุ่งนี้เช้า เพื่อให้วันนี้คุณหนูของนางกินของหวานน้อยลงสักหน่อย
“ท่านพี่ เราจะไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของนักดาบหิรัณย์จริง ๆ หรือเจ้าคะ?” มู่ไป๋ไป่ที่ไม่มีอะไรกินก็รู้สึกเบื่อจึงเริ่มหาเรื่องพูดคุยแทน “แล้วเราจะอยู่ที่เมืองชิงหยางนี้นานแค่ไหน?”
เมืองชิงหยางอยู่ใกล้กับชายแดนมาก หากควบม้าเร็วโดยไม่หยุดพัก พวกเธอก็จะสามารถไปถึงที่นั่นภายใน 3 วัน
“ไม่ต้องรีบร้อน” มู่จวินฝานหยุดแวะแผงขายของประดิษฐ์ชิ้นเล็ก ๆ ก่อนจะหันมาพูดกับน้องสาวว่า “ไป๋ไป่ ลองดูสิว่ามีอะไรที่เจ้าชอบบ้างหรือไม่?”
ระหว่างทาง เด็กหนุ่มเองก็เพิ่งค้นพบงานอดิเรกหลัก 2 ประการของมู่ไป๋ไป่อีกด้วย ซึ่งก็คือการกินไม่บันยะบันยังกับการซื้อของแบบหน้ามืดตามัว
ดังนั้นทุกครั้งที่เขาเข้าไปในเมืองใหม่ ๆ เขาก็จะรู้ล่วงหน้าว่ามีอาหารอะไรอร่อย ๆ บ้าง แล้วเขาก็มีหน้าที่พาน้องสาวคนนี้ไปกิน
หลังจากที่ได้รับประทานของอร่อยแล้ว ก็ถึงเวลาของการเดินย่อยอาหารโดยการเดินซื้อของ
มันเป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้ ยามนี้ดวงตาของเจ้าตัวเล็กเป็นประกายเมื่อเห็นของชิ้นเล็ก ๆ ที่อยู่บนแผงขายของ “ท่านพี่ ท่านรีบพาข้าลงไปดูหน่อยเร็ว”
“คุณหนู ของพวกนี้ข้าทำขึ้นมาเองทั้งหมด” เถ้าแก่ร้านเป็นหญิงชราคนหนึ่ง เมื่อเห็นท่าทางน่ารักของเด็กหญิงตัวน้อย นางก็ยิ้มพร้อมกับยื่นหน้ากากให้ “คุณหนูชอบสิ่งนี้หรือ? นี่คือหน้ากาก 7 นางสวรรค์ ผู้หญิงทุกคนในเมืองชิงหยางชอบมันมาก”
มู่ไป๋ไป่เหลือบมองหน้ากากหลากสีสันและรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ อย่างไรก็ตาม หญิงชราคนนี้กลับใจดีมากจนทำให้เธอนึกถึงไทเฮาที่ยังคงอยู่ที่วัดฮู่กั๋ว เธอจึงไม่อาจปฏิเสธขณะเอื้อมมือออกไปรับมันมา
“คุณหนู ท่านสวยมาก สวรรค์ย่อมประทานพรให้ท่าน” เถ้าแก่เนี้ยมองเด็กหญิงด้วยรอยยิ้มพลางพูดเบา ๆ “คุณหนู ลองดูสิว่ามีอย่างอื่นที่ท่านชอบหรือไม่ หากมี หญิงชราผู้นี้จะมอบมันให้ท่าน”
“ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ!” มู่ไป๋ไป่ก็รีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ข้าอยากได้อันนี้ แต่ท่านจะต้องเก็บเงินข้า ของพวกนี้ท่านทำมันขึ้นมาด้วยมือของตัวเอง ท่านจะให้ข้าเปล่า ๆ ได้อย่างไรกัน?”
ขณะที่พูดเธอก็ไม่รอให้มู่จวินฝานจ่ายเงิน เธอหยิบตั๋วเงินออกมาจากกระเป๋าแล้วยัดมันใส่มือของอีกฝ่าย “นี่ท่านยาย ท่านเก็บเอาไว้เถอะไม่ต้องทอน”
“ข้าอยากจะซื้อทุกอย่างที่อยู่บนแผงของท่าน”
แม้ว่าหญิงชราคนนี้จะมีสายตาฝ้าฟาง แต่นางก็ยังคุ้นเคยกับตั๋วแลกเงินมูลค่า 100 ตำลึง ตามปกติแล้วเงิน 10 ตำลึงก็เพียงพอที่จะให้ครอบครัวปกติ 3 คนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองชิงหยางเป็นเวลา 1 ปี
สำหรับเงิน 100 ตำลึงนี้เป็นเงินที่ก้อนใหญ่มากสำหรับนาง แล้วนางจะกล้ายอมรับมันได้อย่างไร?
แต่มู่ไป๋ไป่ไม่สนใจ เธอยัดตั๋วแลกเงินใส่มืออีกคน แล้วเลือกของจากบนแผงแบบลวก ๆ ขึ้นมา 2-3 ชิ้นแล้ววิ่งหนีไปพร้อมกับมู่จวินฝานและหลัวเซียวเซียว
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: พี่ชายอีกคนของไป๋ไป่มาแล้ววว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 27
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น