บทที่ 149: ความไม่สงบที่ชายแดน
ยามนี้มู่ไป๋ไป่ได้รู้ว่าจินต้าเสียคนนี้เป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมมาก
“ชายคนเมื่อกี้นี้ข้าติดตามเขามานานแล้ว” จินซือหยางกล่าว “ก่อนหน้านี้เขาเคยพยายามลักพาตัวลูกสาวคนเล็กของพ่อค้าท้องถิ่น”
“แต่เขาเจ้าเล่ห์มาก เขาไม่ทิ้งหลักฐานอะไรไว้เลย ข้าจึงจับไม่ได้ไล่ไม่ทันสักที”
“ตอนที่ข้าพูดเมื่อครู่ ข้าหวังว่าจะยั่วยุให้เขาหันมาต่อสู้กับข้า แล้วจะใช้โอกาสนี้จับเขาส่งทางการ”
“ข้าไม่คาดคิดจริง ๆ ว่าเขาจะกล้าก่อปัญหาให้กับพวกท่านเช่นนี้”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คนผู้นั้นน่ารำคาญมาก ข้ากับพี่ชายอยากจะสั่งสอนเขาเหมือนกัน ใช่หรือไม่ท่านพี่?” มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นพูดกับมู่จวินฝาน
“ใช่ ไป๋ไป่พูดถูก” เด็กหนุ่มลูบหัวน้องสาวอย่างเอ็นดู ก่อนที่เขาจะตอบคำถามของจินซือหยางที่ถามก่อนหน้านี้ “ข้าแซ่เซียว มีนามว่าจวินฝาน และนี่คือน้องสาวของข้า”
“พวกเรา 2 พี่น้องกำลังจะเดินทางไปเยี่ยมญาติที่ชายแดนก็เลยผ่านมาทางนี้”
“ท่านกำลังจะมุ่งหน้าไปที่ชายแดนอย่างนั้นหรือ?” สีหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง “พี่เซียว ช่วงนี้ชายแดนไม่ค่อยสงบสุข”
“มันค่อนข้างอันตรายหากท่านจะเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวที่ชายแดนในเวลานี้”
“ช่วงนี้ชายแดนไม่สงบสุขหรือ?” มู่จวินฝานเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น “ทำไมท่านถึงพูดเช่นนั้น? ตอนที่เราออกเดินทางมาจากเมืองหลวง เราแทบไม่ได้ยินข่าวอะไรเกี่ยวกับชายแดนมากนัก”
“ใช่ว่าข่าวจากชายแดนจะส่งไปถึงเมืองหลวงทั้งหมด” จินซือหยางกล่าวในขณะที่เขานั่งลงที่โต๊ะ “ชายแดนอยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายพันลี้ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น มีเพียงแม่ทัพเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสินทุกอย่าง”
“ถ้าไม่รายงานขึ้นไปให้กับเบื้องบน แล้วคนที่อยู่ในเมืองหลวงจะรู้เรื่องชายแดนของเราที่อยู่ไกลหูไกลตาของฮ่องเต้ได้อย่างไร”
ทางด้านมู่ไป๋ไป่ที่กำลังละเมียดละไมกินขนมอบก็เงี่ยหูตั้งใจฟังทุกคำพูดของอีกฝ่าย
ในไม่ช้าเธอก็เข้าใจว่าชายแดนเกิดอะไรขึ้น
ที่แท้บริเวณชายแดนระหว่าง 2 แคว้นได้เริ่มมีการต่อสู้ขึ้นอีกครั้งแล้ว แคว้นหนานซวนได้ข้ามเส้นมาหลายครั้งในเวลาเพียงเดือนเดียว แต่หลังจากก่อเรื่องเสร็จพวกเขาก็จะพากันหลบหนีไปทุกครั้ง
ในตอนแรกแม่ทัพจะคอยส่งคนไปติดตามขับไล่ตลอดเวลา แต่หลังจากจับใครไม่ได้มาหลายครั้ง ประชาชนที่อยู่บริเวณชายแดนก็เริ่มไม่พอใจ
บางคนถึงกับสงสัยว่าในแคว้นเป่ยหลงมีสายลับซุกซ่อนอยู่ ไม่เช่นนั้นทำไมคนกลุ่มนั้นถึงวิ่งหนีได้ทันเวลาที่กองทัพของแคว้นเป่ยหลงมาถึง?
หากมันเป็นเรื่องบังเอิญเพียงไม่กี่ครั้งคงจะไม่มีใครสงสัย แต่นี่มันไม่ใช่
ส่วนการคาดเดาของชาวบ้านนั้น นอกจากเหล่าแม่ทัพจะไม่ออกมาอธิบายแล้ว เขายังสั่งห้ามไม่ให้ทุกคนในเมืองพูดถึงเรื่องนี้อีก มิฉะนั้นผู้ฝ่าฝืนจะถูกจัดการตามกฎทหาร
“ทุกวันนี้ประชาชนตกอยู่ในอันตราย และหลาย ๆ คนเริ่มจะหมดหวังแล้ว” จินซือหยางพูดพลางถอนหายใจ “พี่เซียว ท่านรั้งอยู่ในเมืองชิงหยางสัก 2-3 วันเพื่อติดต่อญาติของท่านก่อนเถอะ บางทีเขาอาจจะกำลังมุ่งหน้ามาที่เมืองชิงหยางแล้ว”
มู่จวินฝานกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายและตอบตกลงที่จะไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของจินต้าเสียที่จะจัดขึ้นในอีก 2 วันข้างหน้า
ก่อนที่จินซือหยางจะร่ำลาไป เขาก็ไม่ลืมถามจื่อเฟิงว่าอยากจะร่ำเรียนวรยุทธหรือไม่ แต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“จริงสิ ข้ายังไม่เคยได้ยินข่าวอะไรด้วยซ้ำ ทำไมตระกูลจินถึงได้รู้ข่าวพวกนี้ล่ะ?” เสียงเกียจคร้านของอวี้เซิ่งดังมาจากประตู
“ท่านหนีไปดื่มที่ไหนมาอีกแล้ว?” มู่ไป๋ไป่เกือบจะเป็นลมเพราะกลิ่นเหล้าที่ฟุ้งไปทั่วตัวของเขา “อวี้เซิ่ง นี่ท่านชักจะดื่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ตั้งแต่เราออกจากเมืองหลวง ท่านก็ดื่มทุกวัน”
“คราวที่แล้วถ้าข้าไม่นึกขึ้นได้ ท่านคงจะเมาตายอยู่ที่ร้านอาหารไปแล้ว!”
เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายคนนี้ ตอนอยู่ในเมืองหลวงเขาก็ยังปกติดี แต่ทันทีที่ก้าวออกจากเมืองหลวง เขาก็เปลี่ยนกลายเป็นคนขี้เมาไปเสีย
“ฮ่า ๆ สิ่งที่คุณหนูพูดถูกต้องแล้ว ข้าจะจดจำไว้” อวี้เซิ่งเรอเสียงดัง “ถ้าไม่มีเรื่องอะไร ข้าจะขึ้นไปพักผ่อนที่ชั้นบน”
“นี่ท่าน!” มู่ไป๋ไป่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องขอความช่วยเหลือจากพี่ชาย “ท่านพี่ ดูเขาสิ!”
มู่จวินฝานเหลือบมองแผ่นหลังของนักฆ่าหนุ่ม แล้วส่ายหัวเบา ๆ ให้น้องสาวเพื่อปลอบโยนนางให้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้
อวี้เซิ่งเป็นคนที่ลึกลับซับซ้อนมาโดยตลอด แม้ว่าเขาจะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการในราชสำนัก แต่ก็ไม่มีใครในวังหลวงกล้าเรียกใช้งานเขานอกจากเสด็จพ่อ
คราวนี้เสด็จพ่อสั่งให้อวี้เซิ่งเดินทางมาที่ชายแดนกับเขา ตราบใดที่อีกฝ่ายยังอยู่กับพวกเขา เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปต่อว่าชายผู้นี้ได้
พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่ามู่จวินฝานไม่สนใจเรื่องนี้ เธอก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องสนใจอีก ดังนั้นเธอจึงเลิกเก็บเรื่องนี้มาคิดและไปเดินเล่นที่ตลาดกับพี่ชายเพื่อลิ้มรสอาหารมื้ออร่อย
ในเวลาเดียวกัน อวี้เซิ่งเดินขึ้นไปบนชั้น 2 แล้วก็ต้องชะงักไปชั่วครู่เมื่อเขาเดินผ่านห้องห้องหนึ่ง ทันใดนั้นท่าทางเสเพลของชายขี้เมาก็ถูกสลัดทิ้งไป ก่อนที่เขาจะผลักเปิดประตูออก
“คุณชายเซียว ท่านใจร้ายยิ่งนัก ตอนที่ท่านออกไปทำไมไม่เรียกข้าด้วยล่ะ ข้าเกือบจะถูกทิ้งให้หลับอยู่ที่ร้านอาหารแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวพลางเอนตัวกอดอกพิงประตู เพราะตอนนี้เขายังรู้สึกมึนหัวอยู่
นับตั้งแต่ที่เขาก้าวออกจากเมืองหลวง เขาก็พบว่าเซียวถังอี้กำลังติดตามพวกเขามา
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ ตอนแรกเขารู้สึกไม่ค่อยดีที่ต้องเดินทางไปชายแดน ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ การเดินทางก็จะยิ่งราบรื่นมากขึ้นเท่านั้น
นอกจากนี้คุณชายเซียวยังมีสถานะพิเศษ ในช่วงเวลาวิกฤตอีกฝ่ายอาจจะมีบทบาทขึ้นมาก็ได้
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็ทำเป็นเมินเฉยไปตลอดทาง จนกระทั่งไม่นานมานี้เขาเริ่มเหิมเกริมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยการปลีกตัวออกไปดื่มกับเด็กหนุ่ม
“ข้าคิดว่าท่านแค่อยากจะนอนหลับพักผ่อนอยู่ที่นั่นนาน ๆ หน่อย” เซียวถังอี้กำลังดื่มชาอยู่ที่โต๊ะ พอได้ยินคำพูดของอวี้เซิ่ง เขาก็เหลือบตามองอีกฝ่ายชั่วครู่ “นอกจากนี้ แม้ว่าข้าจะไม่เรียกท่าน ท่านก็ตามมาทันไม่ใช่หรือ?”
“นี่…” นักฆ่าหนุ่มนั่งลงตรงข้ามอีกฝ่ายก่อนจะรินชาให้ตัวเองโดยไม่คิดถึงมารยาทใด ๆ “ท่านได้ยินสิ่งที่ชายสกุลจินเพิ่งพูดที่ชั้นล่างหรือไม่?”
“ท่านมีความคิดว่าอย่างไร?”
“ข้าคิดว่า…” เซียวถังอี้ยกถ้วยชาในมือขึ้นมาจรดที่ริมฝีปาก “ท่านแก่กว่าคนอื่นมาก แต่ท่านกลับมาขอความเห็นเด็กเหลือขออย่างข้า ท่านรู้สึกละอายบ้างหรือไม่?”
คำพูดนั้นทำให้มุมปากของอวี้เซิ่งกระตุก “ท่านเลิกเล่นก่อนได้หรือไม่ ข้ากำลังคุยเรื่องสำคัญกับท่านอยู่ อย่าได้มากเกินไปนัก”
“ข้าไม่รู้” เด็กหนุ่มกลั้นยิ้มมุมปาก
“มีวันที่ท่านไม่รู้ด้วยอย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วถาม
“หืม แล้วคนอย่างข้าควรรู้อะไรบ้าง?” เซียวถังอี้ยิ้มประชด “แม่ทัพที่เฝ้าชายแดนได้ช่วยปกป้องแคว้นเป่ยหลงมานับครั้งไม่ถ้วนและเอาชนะแคว้นหนานซวนมาหลายสิบครั้ง”
“คราวที่แล้วถ้าเขาไม่ช่วยข้าไว้ เรื่องคงไม่จบง่ายขนาดนี้”
“ถ้าจะบอกว่าคนผู้นี้ร่วมมือกับศัตรูขายชาติแล้วล่ะก็ ข้าไม่มีวันเชื่อ”
อวี้เซิ่งวางถ้วยชาลง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเด็กหนุ่มตรงหน้า “อย่าว่าแต่ท่านไม่เชื่อ ข้าเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน”
“แม่ทัพจ้าวเป็นชายชาติทหาร… ใครก็ตามที่ได้รู้จักนิสัยของเขาคงไม่มีวันเชื่อว่าเขาจะร่วมมือกับศัตรูทรยศแว่นแคว้นแน่นอน”
“แต่ถ้าข่าวลือที่เกิดขึ้นที่ชายแดนนั้นเป็นเรื่องจริง เราจะทำเช่นไร?”
เซียวถังอี้วางถ้วยชาลงบนโต๊ะและจ้องมองไปยังถนนที่พลุกพล่านด้านนอกหน้าต่างเงียบ ๆ ไม่นานเขาก็ตอบว่า “ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่รู้”
จากนั้นภายในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งมีเสียงอวี้เซิ่งรินน้ำชา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่จู่ ๆ เซียวถังอี้ก็พูดขึ้นมาว่า “มู่จวินฝานพามู่ไป๋ไป่ไปที่ไหน เอาแต่กินดื่มอยู่เช่นนี้ หน้าของเจ้าตัวเล็กกลมหมดแล้ว”
“นั่นสินะ” ชายหนุ่มพูดพลางอมยิ้ม
ทางด้านเด็กหนุ่มขมวดคิ้วสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 32
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น