5 เทคนิคกู้ปลูกบ้านอย่างไรให้ปัง พร้อมแนะนำวิธีเลือกธนาคารเพื่อกู้เงินให้ผ่าน

         สำหรับบทความนี้จะมาแนะนำเทคนิค กู้ปลูกบ้าน อย่างไรให้ปัง พร้อมแนะนำวิธีการเลือกธนาคารเพื่อกู้เงินจะมีเทคนิคใดที่น่าสนใจไปดูกันเลย

1.    ปิดหนี้ที่มีทั้งหมดก่อนขอ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
    เนื่องจากทางธนาคารจะพิจารณาถึงความสามารถในการผ่อนชำระค่างวด หากคุณมีภาระในการผ่อนชำระอยู่อาจส่งผลให้การอนุมัติเป็นไปได้ยาก 

2.    เตรียมบัญชีเดินเงินให้สวยพร้อมโชว์
    หนึ่งในเอกสารที่จะทำให้ธนาคารพิจารณาถึงการอนุมัติวงเงินได้แก่ บัญชีเดินเงินที่มีรายรับเข้ามาอย่างสม่ำเสมอในทุก ๆ เดือนและมีอัตราการถอนเงินน้อยกว่าการฝากเข้า โดยปกติแล้วทางธนาคารจะขอข้อมูลตรงส่วนนี้ย้อนหลัง 6 เดือน สำหรับพนักงานประจำหรือ สินเชื่อบ้านข้าราชการ ที่มีการทำงานเป็นหลักแหล่ง แต่สำหรับอาชีพอิสระ พ่อค้า แม่ค้า อาจจะต้องขอข้อมูลย้อนหลัง 1 ปีก็ได้
 
3.    โฉนดที่ดิน
    หากกู้เงินเพื่อปลูกบ้านเองสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การอนุมัติวงเงินผ่านฉลุยนั่นคือการมีสินทรัพย์ค้ำประกัน ในที่นี้คือโฉนดที่ดินที่ใช้สร้างบ้าน สามารถนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการกู้เงินเพื่อสมัครสินเชื่อได้

4.    เงินเก็บต้องมีบ้าง
    ในการขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย  ผู้กู้จะต้องคำนวณค่างวดบ้านให้ดี รวมถึงการมีเงินสำรองอย่างน้อย 30-50% ของมูลค่าเงินที่จะกู้ เนื่องจากการสร้างบ้านด้วยตนเองจะต้องสำรองเงินในช่วงแรกไปก่อนอย่างน้อย 10-30% เพราะทางธนาคารจะไม่อนุมัติวงเงินให้ในทันที แต่จะรอจนกระทั้งโครงการมีการตั้งเสาเข็ม เทปูนเสียก่อนจึงจะอนุมิตวงเงินให้และวงเงินที่ได้ก็จะไม่เต็ม 100% แต่จะได้เพียง 70-80% ของมูลค่าสินเชื่อที่ขอไปเท่านั้น ดังนั้นจึงควรมีเงินเก็บไว้สำรองจ่ายในการก่อสร้างช่วงแรกนี้

5.    หนังสือสัญญาและผู้รับเหมา
    ทำไมต้องมีหนังสือสัญญาและผู้รับเหมา เพราะว่าทางธนาคารจะได้พิจารณาว่าเงินที่กู้ไปนั้น ผู้กู้จะต้องนำไปใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์จริง โดยจะมีการประเมินผู้รับเหมาสร้างบ้านว่ามีตัวตนจริง พร้อมสัญญาผูกมัดเพื่อป้องกันการก่อสร้างที่ไม่ถูกต้องตามสัญญา ซึ่งทางธนาคารจะจ่ายเงินให้เป็นงวด ๆ ตามปริมาณงานที่แล้วเสร็จในหนังสือสัญญา จะไม่จ่ายออกมาเป็นก้อนเดียว

       สำหรับการเลือกธนาคารเพื่อขอสินเชื่อบ้านในลำดับแรกให้ผู้กู้ทำการสำรวจอัตราดอกเบี้ยของทุกธนาคาร จากนั้นนำมาเปรียบเทียบ วิธี คิด ดอกเบี้ย บ้าน โดยคัดเอาเฉพาะอัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรกเท่านั้น เพราะผู้กู้จะสามารถรีไฟแนนซ์ได้ จากนั้นนำดอกเบี้ยทั้ง 3 ปี มาเฉลี่ยให้เท่า ๆ กัน ธนาคารใดให้อัตราเฉลี่ยที่น้อยที่สุดให้เลือกธนาคารนั้น แต่ถ้าทั้งหมดมีค่าเฉลี่ยเท่ากัน ให้ดูเงื่อนไขของอัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 ธนาคารใดให้อัตราดอกเบี้ยปีแรกต่ำที่สุดให้เลือกใช้บริการได้เลย เพราะยิ่งดอกเบี้ยต่ำมากเท่าไร การผ่อนบ้านก็จะหมดไวขึ้น