ความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยคงที่และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง
ในโลกของการกู้ยืมเงิน อัตราดอกเบี้ย มีบทบาทสำคัญในการคำนวณค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการกู้เงิน ไม่ว่าจะเป็นการกู้เพื่อซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือเพื่อการบริโภคอื่นๆ สองประเภทหลักของอัตราดอกเบี้ยที่มักพบเจอคือ อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) และ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate) ทั้งสองประเภทนี้มีลักษณะและวิธีการคำนวณที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้กู้ได้อย่างมาก
อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate)
นิยามและวิธีการคำนวณ
อัตราดอกเบี้ยคงที่เป็นวิธีการคำนวณดอกเบี้ยที่ง่ายและตรงไปตรงมา ดอกเบี้ยจะถูกคำนวณบนยอดเงินกู้รวมตลอดระยะเวลาการกู้ โดยไม่สนใจการลดลงของยอดหนี้ตามการชำระคืน ตัวอย่างเช่น หากคุณกู้เงิน 100,000 บาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ 5% เป็นเวลา 1 ปี คุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ย 5,000 บาท โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยหรือยอดเงินกู้ที่เหลืออยู่
ข้อดีของอัตราดอกเบี้ยคงที่
- ความเข้าใจง่าย: เนื่องจากการคำนวณเป็นไปตามยอดเงินกู้รวม ทำให้ผู้กู้สามารถคาดการณ์ค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น
- ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในยอดชำระ: ยอดเงินที่ต้องชำระในแต่ละงวดจะคงที่ตลอดระยะเวลาการกู้
ข้อเสียของอัตราดอกเบี้ยคงที่
- ดอกเบี้ยรวมสูงกว่า: เนื่องจากดอกเบี้ยถูกคำนวณจากยอดเงินกู้รวมตั้งแต่ต้น การชำระคืนก่อนกำหนดจะไม่มีผลต่อยอดดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
- ไม่สะท้อนความเป็นจริง: ไม่สอดคล้องกับยอดหนี้ที่ลดลงตามการชำระคืน ทำให้ไม่เหมาะสมสำหรับการกู้ยืมระยะยาว
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate)
นิยามและวิธีการคำนวณ
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง หรือที่เรียกว่า อัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอก (เพิ่มเติม: https://www.krungsri.com/th/krungsri-the-coach/loan/borrowing/difference-between-flat-rate-effective-rate) เป็นการคำนวณดอกเบี้ยที่สะท้อนถึงยอดหนี้ที่ลดลงตามการชำระคืนในแต่ละงวด ดอกเบี้ยจะถูกคำนวณบนยอดเงินกู้คงเหลือ ทำให้ยอดดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายลดลงเรื่อยๆ ตามการชำระคืน ตัวอย่างเช่น หากคุณกู้เงิน 100,000 บาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5% เป็นเวลา 1 ปี และชำระเงินคืนในแต่ละงวด ยอดดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจะลดลงตามยอดเงินกู้คงเหลือ
ข้อดีของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง
- ดอกเบี้ยรวมต่ำกว่า: เนื่องจากดอกเบี้ยถูกคำนวณจากยอดเงินกู้คงเหลือ ทำให้ดอกเบี้ยรวมที่ต้องจ่ายน้อยกว่าการใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่
- สะท้อนความเป็นจริง: ยอดดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายลดลงตามการชำระคืน เหมาะสำหรับการกู้ยืมระยะยาว
ข้อเสียของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง
- การคำนวณซับซ้อนกว่า: การคำนวณดอกเบี้ยตามยอดเงินกู้คงเหลือทำให้การคาดการณ์ยอดชำระในแต่ละงวดซับซ้อนขึ้น
- ยอดชำระในงวดแรกสูงกว่า: ในช่วงเริ่มต้นของการกู้ยืม ยอดดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละงวดจะสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยคงที่
การเลือกใช้อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม
การเลือกใช้อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับ ความต้องการและเป้าหมายทางการเงิน ของผู้กู้ หากคุณต้องการความสะดวกในการคำนวณและคาดการณ์ค่าใช้จ่าย อัตราดอกเบี้ยคงที่อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่หากคุณต้องการลดดอกเบี้ยรวมที่ต้องจ่ายและสามารถจัดการกับการคำนวณที่ซับซ้อนได้ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า
ตัวอย่างการคำนวณ
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น นี่คือตัวอย่างการคำนวณการชำระคืนเงินกู้ 100,000 บาท เป็นเวลา 1 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ย 5% ทั้งแบบคงที่และที่แท้จริง
อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate)
- ยอดเงินกู้: 100,000 บาท
- อัตราดอกเบี้ย: 5%
- ดอกเบี้ยต่อปี: 5,000 บาท
- ยอดชำระคืนรายเดือน: (100,000 + 5,000) / 12 = 8,750 บาท
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate)
- ยอดเงินกู้: 100,000 บาท
- อัตราดอกเบี้ย: 5%
- ดอกเบี้ยในงวดแรก: 100,000 * 5% / 12 = 416.67 บาท
- ยอดชำระคืนรายเดือน (งวดแรก): (100,000 / 12) + 416.67 = 8,750 บาท
จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่ายอดชำระคืนในงวดแรกของทั้งสองแบบจะเท่ากัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ยอดดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละงวดของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจะลดลง เนื่องจากยอดเงินกู้คงเหลือลดลง ทำให้ยอดชำระคืนรายเดือนลดลงตามไปด้วย
สรุป
การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยคงที่และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจเลือกประเภทอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับความต้องการทางการเงินของคุณ โดยอัตราดอกเบี้ยคงที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกในการคำนวณและคาดการณ์ค่าใช้จ่าย ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดดอกเบี้ยรวมที่ต้องจ่ายและสามารถจัดการกับการคำนวณที่ซับซ้อนได้
- 👁️ ยอดวิว 43
แสดงความคิดเห็น