อุ่นในไอรัก บทที่ 3วันแห่งอดีต
ไม่มีใครบอกอนาคตได้ บางครั้งกาลเวลาก็มักจะส่งบททดสอบมาให้เราเสมอ
“ไปทำอะไรมาทำไมเข่าถึงถลอก และข้อเท้าแพลงได้” สารถีข้างตัวเริ่มตั้งคำถาม
ฉันแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเพื่อให้เขาเข้าใจว่านอนหลับ “รู้นะว่ายังไม่หลับ รีบบอกมาก่อนที่จะบอกแม่” เล่นขู่ว่าจะฟ้องป้าอย่างนี้ฉันก็ต้องรีบลืมตาตื่นซิ ใครจะอดทนนั่งนิ่งๆ ได้กันเล่า แล้วดูเหมือนว่าเขาเองก็จะรู้จุดอ่อนข้อนี้ของฉันดีเสียด้วย
“สะดุดบันไดล้มน่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวสองสามวันก็หายแล้วล่ะ” ฉันพูดอย่างเกียจคร้าน
“มีคนแกล้งหรือเปล่า”
‘นั่นไง ต่อมฮีโร่ผู้พิทักษ์เริ่มทำงานอีกแล้ว’
“ไม่มี สะดุดเอง” ฉันรีบปฏิเสธก่อนที่เขาจะมโนไปไกลจนเพื่อนในห้องเรียนของฉันเดือดร้อน แน่ล่ะว่าคนอย่างเขาจะไม่ทำอะไรไปมากกว่าการไปสอบถามกับบรรดาเพื่อนๆ ในห้อง และแน่นอนว่าคนที่เขาจะเลือกสอบถามนั้นไม่ใช่บรรดาผู้ชายแน่นอน เมมี่เป็นชื่อแรกที่ฉันนึกถึง และเป็นชื่อแรกที่ฉันเลือกที่จะไม่ค่องแวะด้วย
“ซุ่มซ่าม แล้วต้องไปหาหมอไหมเนี่ย”
‘นั่นไง บรรดาหมาๆ ภายในปากเริ่มเห่าหอนอีกแล้ว’
“ไม่ต้อง กลับบ้านเลย แต่พี่นิวเคลียร์อย่าบอกป้านะ ให้บอกแค่ว่าสะดุดล้มพอ ไม่ต้องบอกว่าตกบันได” ฉันกำชับ
“เฮอะ อย่างกับว่าแม่จะเชื่ออย่างนั้นแหละ แต่ถ้าบอกว่าซุ่มซ่ามตกบันไดอย่างที่แกบอกพี่ละก็ เชื่อเหอะว่าแม่จะไม่ติดใจซักถามแกแน่”
“เออๆ อยากบอกอะไรก็บอกเหอะ รีบขับหิวข้าวแล้ว” ฉันกระแทกเสียงพร้อมกับหันหน้าหนี นึกดีใจที่บทสนทนาแรกไม่ใช่เรื่องของมอคค่า
“แล้วหมอนั่นเป็นใคร”
ฉันแอบสะดุ้งในใจ นึกแล้วว่าพี่นิวเคลียร์ไม่ยอมให้ผ่านไปแน่ “หมอไหน ไม่มีนะ ที่โรงเรียนไม่มีหมอสักคน มีแต่ครูพยาบาล” ฉันตีหน้าซื่อ แต่ในใจเต้นตูมตาม
“นายมอคค่าไง เป็นใคร”
‘โอ้โห! นี่จำชื่อได้ด้วย เห็นทีฉันคงจะรอดยากแล้วล่ะ’ นี่ฉันประเมินความจำของพี่นิวเคลียร์ต่ำไปแล้วกระมัง
“เพื่อนในห้องน่ะ”
“เดี๋ยวนี้มีเพื่อนผู้ชายมาคบด้วยเหรอแปลกจัง” พี่นิวเคลียร์รำพึงแต่นั่นทำให้ฉันอารมณ์กรุ่น
“แหมพี่นิวเคลียร์เห็นอ้วนๆ อย่างนี้ก็มีเสน่ห์นะจะบอกให้” พูดจบก็หยิบกล้วยตากจากถุงมาแกะแล้วหยิบออกมาเคี้ยวกร้วมๆ อย่างหงุดหงิด
“เฮ้ย! ไอ้กระท่อมนี่พี่ซื้อไปฝากน้าลดานะโว้ย แล้วนี่แกะไปแล้วกี่ถุงเนี่ย เอามาเลย เลิกกิน” ถุงกล้วยตากลอยหวือออกจากมือไปวางบนเบาะหลัง ฉันมองตาละห้อย
“พูดถึงน้าลดา แล้วแม่เพื่อนซี้ของแกหายไปไหนล่ะ ทำไมวันนี้ไม่กลับพร้อมกัน ไหนรับปากอย่างดีว่าจะดูแลกัน นี่แค่วันแรกยังเหลวไหล เชื่อไม่ได้เลยจริงจริ้ง” พี่นิวเคลียร์ถามสายตายังจับจ้องตรงไปยังถนนเบื้องหน้า
“จินนี่ไปกินข้าวกับพี่รหัสน่ะ มันเหตุสุดวิสัยจริงๆ พี่ก็อย่าหลับหูหลับตาจับผิดแต่จินนี่มากนักเลย” ฉันว่าแต่ตายังหันไปจับจ้องถุงขนมเบาะหลังไม่วาง
“พี่รหัสผู้ชายด้วยใช่ไหม”
“เฮ้ย! ทำไมถึงรู้ล่ะ นี่อย่าบอกนะว่าจินนี่โทรไปบอกพี่น่ะ ไม่มีทางหรอก พี่จะต้องเดาเอาแน่นอน”
“ยายนั่นน่ะเหรอแค่โทรมาบอกว่าติดธุระ แต่แค่นี้ก็รู้แล้วว่ายายนั่นจะไม่ไปแน่ถ้าไม่มีผู้ชาย” น้ำเสียงของพี่นิวเคลียร์แฝงความหงุดหงิดไว้หลายส่วน บรรยากาศในรถกลับมาเงียบอีกครั้ง
ฉันไม่เข้าใจความแปรปรวนของอารมณ์พี่นิวเคลียร์เลย เมื่อตะกี๊ยังคุยกันดีๆ อยู่เลย แต่พอเริ่มพูดถึงจินนี่กับบรรดาเพื่อนชายของเธอพี่นิวเคลียร์ก็จะหงุดหงิดทุกที
“แล้วนี่พี่ไม่ไปซ้อมบอลกับเพื่อนหรือไง” ฉันชวนคุย บางทีการเปลี่ยนเรื่องอาจจะทำให้บรรยากาศน่าเบื่อท่ามกลางจราจรติดขัดลดลงก็ได้
“ไม่ล่ะ แม่บอกให้รีบกลับบ้าน”
ฉันลอบยิ้มเมื่อน้ำเสียงของพี่นิวเคลียร์กลับมาปกติ “งั้นก็รีบๆ เลย น้องหิวจะเป็นลมอยู่แล้วล่ะ” ฉันดึงตัวเองมานั่งพิงเบาะอย่างสบายใจแล้วยกมือลูบพุงกลมๆ ของตัวเองขึ้นๆ ลงๆ เรียกเสียงหัวเราะจากสารถีได้ก๊ากใหญ่เลยล่ะ
ฉันหลับตานึกถึงดวงหน้าอ่อนโยนของหญิงร่างท้วมที่มักจะคาดผ้ากันเปื้อนลายการ์ตูนสีสดใสยืนส่งยิ้มอบอุ่น ดวงตาอ่อนโยนทอดมองมาทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย ลำแขนอบอุ่นอ้ารับยามฉันกลับจากโรงเรียนในทุกวัน กลิ่นขนมหวานอวลไปทั้งบ้าน ทำให้ความสุขของฉันไม่พร่องลงเลย เมื่อนึกถึงบรรดาขนมที่นอนรอในจานบนโต๊ะกินข้าวก็ทำให้ฉันอมยิ้มอย่างสุขใจ ‘สุขใดก็ไม่เท่าสุขที่ได้กินอิ่ม’
ฉันหวลนึกถึงวันแรกที่ก้าวเข้ามาอยู่ในบ้านที่อบอุ่นหลังนี้ วันนั้นเป็นวันที่อากาศสดใส แสงแดดไม่ร้อนจนเกินไปเพราะเข้าสู่ต้นฤดูหนาว แม่พาฉันในวัยเจ็ดขวบและน้องวัยสี่ขวบเดินทางจากกระท่อมปลายนาของปู่ย่ามาหาญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของพ่อที่อาศัยอยู่ในตัวจังหวัด หลังจากที่ปู่และย่าเสียชีวิตด้วยโรคชราไปได้หลายปี ส่วนพ่อนั้นไปทำงานที่ต่างประเทศได้เกือบสองปีกว่า เมื่อไม่มีหลักยึดพ่อจึงบอกให้แม่พาฉันและน้องมาอยู่กับป้านวลแก้วซึ่งเป็นพี่สาวคนเดียวของพ่อ
ประตูบ้านหลังกระทัดรัดเปิดกว้างต้อนรับครอบครัวของเราอย่างเต็มใจ รอยยิ้มอ่อนโยนของป้านวลแก้วในวันนั้นฉันยังจำไม่ลืม มืออบอุ่นดึงฉันกับน้องเข้าไปกอดพลางลูบหลังลูบไหล่พวกเราอย่างเอ็นดู ฉันเห็นเด็กชายร่างผอมยืนแอบอยู่หลังประตู ดวงตาขี้สงสัยลอบมองฉันและน้องเป็นระยะ ไม่นานป้านวลแก้วก็แนะนำให้ฉันรู้จักกับเขา
“พี่นิวเคลียร์มาหาแม่ซิครับ” ป้านวลแก้วเรียกเด็กชายร่างผอมด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนหวาน เขาค่อยๆ เดินออกจากหลังประตูตรงมาช้าๆ ดวงตาขี้สงสัยยังจ้องฉันกับน้องไม่วาง
“นี่พี่นิวเคลียร์ ต่อไปนี้เขาจะเป็นพี่ชายของพวกหนู และสองคนนี้คือน้องสาวของลูก ลูกจะต้องรักน้องและช่วยแม่และน้าวิดูแลน้องนะครับ แม่ฝากน้องไว้กับลูกได้ใช่ไหมครับ” ประโยคหลังป้านวลแก้วหันไปพูดกับเขามืออบอุ่นของป้ารวบมือของฉันและน้องวางบนมือผอมๆ ของเขา ฉันเงยหน้ามองคนตรงหน้าอย่างหวาดๆ ในใจนึกหวาดหวั่น กลัวว่าเขาจะไม่อยากเป็นเพื่อนกับฉัน
เขาพยักหน้าพร้อมกับใช้มือทั้งสองโอบประครองมือของฉันและน้องแทนคำสัญญา บ้านหลังกะทัดรัดนี้มีป้านวลแก้วและพี่นิวเคลียร์อยู่กันเพียงสองคน ส่วนพ่อของพี่นิวเคลียร์ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเสียชีวิตไปได้หลายปีแล้ว ดังนั้นภาระทุกอย่างจึงตกที่ป้าคนเดียว ส่วนบรรดาญาติๆ ของลุงนั้นต่างก็แยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น ไม่มีใครที่ป้าจะพึ่งพาได้ โชคดีที่เงินประกันชีวิตของลุงมีมากพอที่จะทำให้สองแม่ลูกนั้นอยู่ได้ไม่เดือดร้อนอะไรมากนัก แต่ถึงกระนั้นป้าก็ต้องออกไปทำงานรับจ้างหารายได้มาใช้จ่ายภายในบ้านแทนการเอาเงินเก็บออกมาใช้
เพียงระยะสั้นๆ ฉันและครอบครัวก็ใช้ชีวิตในบ้านหลังใหม่ได้อย่างมีความสุข เพราะป้านวลแก้วเห่อหลานสาวมากจึงเอาใจ ตามใจฉันกับน้องแทบจะทุกเรื่อง ยิ่งเรื่องกินด้วยแล้วป้าไม่เคยขัดใจเลยสักครั้ง บรรดาขนมไทยที่ป้าชอบทำในยามว่างนั้นมักจะถูกลำเลียงขึ้นโต๊ะหลังอาหารแทบทุกมื้อ และแน่นอนว่าของอร่อยมีมาขนาดนี้แล้วไหนเลยฉันกับน้องจะทิ้งให้เสียเปล่ากัน
จากรูปร่างผอมบางกลายเป็นอ้วนกลมภายในเวลาไม่กี่เดือน เดือดร้อนแม่ที่จะต้องหาซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้พวกเรา เมื่อเห็นว่าลูกสาวทั้งสองอุดมสมบูรณ์ไปด้วยไขมัน อีกทั้งก็ห้ามทั้งป้าและหลานไม่ได้ แม่จึงมองหาตลาดและแนะให้ป้านวลแก้วทำขนมขาย ดังนั้นในวันหยุดเสาร์อาทิตย์แม่และป้านวลแก้วจึงกระเตงขนมใส่ตะกร้าใบเขื่องไปขายในตลาดหน้าหมู่บ้านและยกหน้าที่ดูแลน้องให้กับพี่นิวเคลียร์และนั่นทำให้พวกเราสามคนสนิทกันมากขึ้น
เมื่อพ่อเริ่มตั้งตัวได้จึงมารับแม่และพวกเราสองพี่น้องไปอยู่ด้วย แต่ป้านวลแก้วเห็นว่าฉันกำลังจะขึ้นมัธยมจึงขอให้ฉันเรียนจบช่วงชั้นก่อน เพราะกลัวว่าฉันจะเครียดเมื่อไปเรียนที่โน่น อีกทั้งฉันก็อ่อนภาษาป้าจึงไม่เห็นด้วยที่จะพาฉันไป ดังนั้นป้าจึงขอเตรียมความพร้อมให้ฉันก่อนโดยจะหาครูพิเศษมาสอนภาษาให้ฉัน พ่อกับแม่เห็นด้วยกับเหตุผลของป้าทั้งคู่จึงพร้อมใจมานอนที่ห้องของฉันเพื่อเป็นการร่ำลา
วันรุ่งขึ้นฉัน พี่นิวเคลียร์และป้านวลแก้วก็เดินทางไปส่งพ่อแม่และน้องสาวที่สนามบิน ฉันรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก มือใหญ่ของพี่นิวเคลียร์บีบมือของฉันดั่งให้กำลังใจ เจ้าตัวกลมเข้ามากอดฉันแล้วพูดแจ้วๆ ข้างหู “แกรีบตามไปนะ เค้าเหงา” ฉันพยักหน้าเร็วๆ แล้วกอดตอบเจ้าร่างอ้วน
“พี่นิวเคลียร์ด้วยนะ ป้าด้วยนะ รีบตามไปนะคะ” น้ำเสียงออดอ้อนที่หันไปพูดกับคนทั้งสองทำให้ป้านวลแก้วดึงร่างกลมเข้าไปกอดแรงๆ
“ได้ซิจ๊ะ เดี๋ยวป้าจะทำขนมไปฝากด้วยน้า” เจ้าร่างกลมยิ้มแป้นพลางกระโดดกอดคอพี่นิวเคลียร์จนทำให้เขาเกือบเสียหลักด้วยน้ำหนักของเจ้าตัว ฉันถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ความหม่นเศร้าค่อยจางหาย
“โอ๊ยยายปลายักษ์ ลดน้ำหนักด้วยนะ ตัวหนักอย่างกะกระสอบข้าว” พี่นิวเคลียร์โวยลั่นเมื่อน้องสาวของฉันปล่อยเขาให้เป็นอิสระ
“ได้เวลาแล้ว เดี๋ยวเราจะต้องเข้าไปข้างใน” พ่อเดินมาบอกแล้วดึงฉันไปกอด “ดูแลตัวเองนะลูก เดี๋ยวพ่อมารับ” ฉันพยักหน้ากับอกของพ่อ น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งลงจากหางตา
เมื่อผละจากพ่อ แม่ก็ดึงฉันเข้าไปกอด “หนูโตแล้ว แม่เลยไม่ห่วง แล้วที่นี่หนูก็จะมีพี่นิวเคลียร์และป้านวล แม่มั่นใจว่าทั้งสองจะดูแลดวงใจของแม่ได้เป็นอย่างดี เชื่อฟังป้านวลกับพี่นิวเคลียร์นะลูก ตั้งใจเรียน รอให้ร้านของพ่อมั่นคงกว่านี้ แล้วพวกเราจะกลับมาอยู่ด้วยกัน” คำสัญญาของแม่ทำให้หัวใจที่ห่อเหี่ยวชุ่มชื่นขึ้น ฉันยกแขนโอบกอดแม่ด้วยความรัก
“ค่ะแม่ ” ฉันยิ้มพร้อมน้ำตา มืออบอุ่นของแม่เช็ดน้ำตาให้ฉันอย่างอ่อนโยน แล้วเราก็ผละจากกันเมื่อเสียงประกาศเรียกให้ผู้โดยสารเตรียมตัวดังขึ้น ฉันยังคงเพ่งสายตามองบนท้องฟ้า เสียงกระหึ่มของเครื่องบินลำโตดังสั่นประสาทก่อนที่จะทยานขึ้นไปสู่เบื้องบน มือยกขึ้นโบกอำลาหวังว่าคนที่อยู่ในนั้นจะมองเห็น ดวงตาพร่าด้วยหยาดน้ำความรู้สึกโหยหาเข้ามาจู่โจมหัวใจ เมื่อเครื่องบินลำโตกลายเป็นจุดเล็กๆ อ้อมแขนอบอุ่นของป้านวลแก้วทำให้หัวใจที่ว่างโหวงอบอุ่นอีกครั้ง
ภาพในความทรงจำค่อยเลือนหายเมื่อรถจอดสนิทในโรงรถ ป้านวลแก้วส่งยิ้มมาแต่ไกลเมื่อฉันและพี่นิวเคลียร์เดินเคียงกันเข้าไปหา แขนอบอุ่นยังคงอ้ารอรับเหมือนยามเมื่อฉันและพี่นิวเคลียร์เป็นเด็กเล็กๆ ฉันส่งยิ้มกว้างเมื่อเห็นป้านวลแก้วขมวดคิ้วมุ่น ร่างท้วมเดินเร็วๆ เข้ามาหาฉันที่เกาะแขนพี่นิวเคลียร์เพื่อช่วยในการทรงตัว
“ลูกสาวเป็นอะไรเนี่ย” ปากตั้งคำถามแต่มืออวบอูมเข้ามาประครองฉันอีกข้าง
“สะดุดล้มค่ะ ข้อเท้าแพลงนิดหน่อย ” ฉันรีบอธิบายเมื่อเห็นความกังวลฉายชัดบนดวงหน้าอิ่มเต็มนั้น
“งั้นก็รีบเข้าบ้านเถอะ แล้วพากันกินอะไรมาหรือยังเนี่ย”
“ยังเลยฮะ ก็แม่บอกว่ามีอะไรจะเซอร์ไพรซ์ไม่ใช่เหรอ”
ป้านวลแก้วทำตาโตแล้วก็อุทาน “อุตาย! ลืมสนิทเลย ถ้างั้นก็อัญเชิญไปนั่งที่โต๊ะได้เล้ย วันนี้แม่ทำปลากระพงนึ่งมะนาวของโปรดพี่นิวเคลียร์และต้มยำกุ้งของโปรดลูกสาวด้วยน้า” ป้าอุทานตาโต แล้วรีบร่ายชื่ออาหารอย่างกระตือรือร้น
“โอ๊ย! หิวมากเลยค่ะ กลิ่นต้มยำฮ้อมหอม” พูดพลางเอามือลูบท้องแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อมะกอกลูกโตจากพี่นิวเคลียร์ตกกลางศีรษะของฉันอย่างแรง พี่นิวเคลียร์ทำหน้าแหยเมื่อได้รับสายตาพิฆาตจากป้านวลแก้ว
“แม่ก็ดูซิฮะ ยายกระท่อมน่ะอ้วนจนจะเป็นตุ่มเดินได้อยู่แล้วนะฮะแม่”
“เอ๊ะ! แม่บอกกี่ครั้งแล้วฮะ ว่าอย่าเรียกน้องอย่างนี้ น้าแกก็อีกคน บ้ากันไปใหญ่ ไปจ๊ะลูกสาวของป้าไปกินข้าวกันเถอะ” ป้านวลแก้วโอบประครองฉันเดินตรงมายังห้องรับประทานอาหารโดยมีพี่นิวเคลียร์เดินกระฟัดกระเฟียดตามมาติดๆ
อาหารที่วางเรียงรายบนโต๊ะส่งกลิ่นหอมจนน้ำลายสอ เสียงท้องร้องโครกครากของฉัน ทำให้ป้านวลแก้วถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะ ฉันเข้าไปนั่งยังที่ประจำของตัวเอง ตรงหน้าวางจานข้าวสวยที่เรียงเม็ดขาวอวบ กุ้งอวบอ้วนลอยอวดโฉมท่ามกลางขิงข่าตะไคร้ในชาม ปลากระพงตัวโตนอนสงบนิ่งอยู่ในจานเปลส่งกลิ่นหอมจนต้องเผลอกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่
ฉันหยิบช้อนจากจานข้าวตัวเองตั้งท่าจะจ้วงกุ้งตัวโตใส่จานสักหน่อยแต่เสียงของป้าขัดขึ้นเสียก่อน “ดื่มน้ำแก้กระหายก่อน”
ป้ารินน้ำแล้วเลื่อนแก้วมาตรงหน้า ฉันทำหน้าม่อยแต่ก็ยอมทำตามโดยดี “แล้วไปทำท่าไหนถึงสะดุดหกล้มเอาได้ล่ะ” ป้านวลแก้วชวนคุยพร้อมนั่งตรงหัวโต๊ะซึ่งเป็นที่ประจำ มือยังคงตักนั่นโน่นนี่ให้ไม่ขาด
“โถ่แม่ อย่างไอ้กระท่อมเนี่ยท่าเดียวก็เจ็บไปอีกนานแล้วล่ะฮะ ก็ดูหุ่นดิ ล้มท่าไหนไปท่านั้นแหละฮะ” เสียงมารที่นั่งตรงข้ามไม่ได้ทำให้มือที่กำลังตักข้าวเข้าปากชะงัก
“ซุ่มซ่ามไม่เคยเปลี่ยนเลยนะลูกสาว นี่เป็นสาวแล้วนะ เมื่อไหร่จะหายซุ่มซ่ามเนี่ย อย่างนี้จะมีแฟนกับเขาได้ยังไงกันนะ” ป้านวลแก้วตักปลากระพงชิ้นโตที่เอาก้างออกแล้วใส่จานข้าวของฉันทำให้ฉันได้รับฆ้อนวงใหญ่จากเจ้าของ
ฉันยักคิ้วล้อเลียนทำให้ฝ่ายนั้นยื่นช้อนมาตักกุ้งตัวโตในชามตรงหน้าของฉันด้วยความหมั่นไส้ แต่ยังไม่ทันที่จะเอาขึ้นจากชามก็ถูกตีไหล่อย่างแรงจนกุ้งกระโดดลงชามตามเดิม
“เอ๊ะ ทำไมมาแย่งของน้องล่ะ เอ้านี่กินของตัวเองไปซิ” ป้านวลแก้วเอ็ด ทำให้ฉันหัวเราะคิก พี่นิวเคลียร์มองฉันอย่างคาดโทษ ฉันทำเป็นมองไม่เห็นตักข้าวใส่ปากเคี้ยวอย่างอารมณ์ดี
“โถ่แม่อ้วนๆ อย่างนี้ใครจะกล้าเป็นแฟน ถ้าวันหนึ่งเขาเกิดทำให้ยายกระท่อมโมโหขึ้นมามันไม่ทับเขาตายเลยเหรอ”
ฉันสำลักหน้าเขียวหน้าแดงเมื่อฟังประโยคของพี่นิวเคลียร์จบ เดือดร้อนป้านวลแก้วต้องลึกขึ้นมาลูบหลังลูบไหล่ให้ “อ้วนแล้วไง พี่นิวเคลียร์คอยดูนะ ไม่เกินปีฉันจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตน ไม่เชื่อก็คอยดู๊” ฉันประกาศก้องก่อนที่จะใช้ส้อมจิ้มกุ้งตัวโตเข้าปากอย่างหงุดหงิด
“เอาล่ะๆ พอกันทั้งคู่นั่นล่ะ เถียงกันเป็นเด็กๆ ไปได้ เอ้ากินข้าวๆ” ป้าดุเราทั้งคู่ก่อนจะลงมือตักข้าวเข้าปาก พลางซักถามเรื่องโรงเรียนใหม่ของฉัน
เสียงกริ่งหน้าบ้านทำให้การสนทนาของเราชะงัก ป้านวลแก้วจึงลุกจากโต๊ะไปเปิดประตูให้ผู้มาเยือนยามวิการ เสียงหัวเราะสดใสของป้านวลแก้วและใครอีกคนดังใกล้เข้ามาก่อนที่ฉันจะหลบทันอะไรบางอย่างลอยมากระทบศีรษะไม่แรงนัก ฉันรีบคว้าหมับก่อนจะร่วงลงพื้น
“ฉันซื้อมาฝาก หน้าปกสวยดี” คนซื้อสมุดวาดภาพที่หน้าปกเป็นรูปของพ่อมดสุดหล่ออยู่บนไม้กวาดแห่งโรงเรียนฮอกวอตส์ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างทันที
“อยู่กินข้าวกับป้าก่อนนะจ๊ะหนูศิ”
เสียงแหลมดังขัดคำพูดของป้านวลแก้วขึ้นมา “จินนี่ค่ะคุณป้า ศิเสอะอะไรกันค่ะ ไม่เอาค่ะไม่เอา หนูจะชื่อจินนี่ ทั้งคุณป้า ทั้งแม่บอกแล้วก็ไม่ฟังกันเล้ย ว่าต่อไปนี้ทุกคนจะต้องเรียกหนูว่าจินนี่ค่ะ เพราะหนูเป็นแฟนของแฮรี่ พอตเตอร์ ค่ะคุณป้า” ยายจินนี่หรือศิรัญดาลุกขึ้นไปกอดป้านวลแก้วพร้อมกับพูดแจ้วๆ ข้างหู
(harry potter เป็นผลงานของ J. K. Rowling โดยเล่มแรกได้รับการตีพิมพ์และวางจำหน่ายเป็นครั้งแรกที่อังกฤษ ในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2540 - 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งมีทั้งหมด 7 เล่ม และถูกนำไปแปลเป็นภาษาต่างๆ ทั้งหมด 68 ภาษา และได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ทั้งหมด 8 ภาคด้วยกัน)
“โอ๊ยๆ ป้ายอมแล้ว จินนี่ก็จินนี่จ้า ปล่อยป้าก่อนเดี๋ยวป้าจะไปเอาเค้กใส่จาน อยู่กินข้าวกับป้านะ เอ้าพี่นิวตักข้าวให้น้องด้วย” ประโยคหลังป้านวลแก้วหันมาบอกพี่นิวเคลียร์ที่นั่งเงียบอยู่
ฉันละสายตาจากสมุดวาดภาพในมือเงยหน้ามองพี่นิวเคลียร์ เหมือนว่ายายจินนี่เองก็เพิ่งจะสังเกตเห็นพี่ชายของฉันเช่นกัน เธอกลับมานั่งข้างๆ ฉันแล้วจ้องมองผู้ชายคนเดียวบนโต๊ะอาหารที่ตอนนี้หยิบหน้ากากยักษ์มาสวม
“สวัสดีตอนเย็นค่ะพี่นิวเคลียร์” ยายจินนี่เป็นคนเปิดบทสนทนาอีกตามเคย น่าแปลกที่พี่นิวเคลียร์ของฉันกลับไม่ยิ้มหัวเหมือนเมื่อครู่
“ไปกินข้าวกับพี่รหัสมาอร่อยไหมล่ะ” พี่นิวเคลียร์ต่อบทสนทนา แต่ฉันรู้สึกว่าน้ำเสียงของพี่นิวเคลียร์ชวนหาเรื่องพิลึก แต่ดูเหมือนว่ายายจินนี่จะไม่สำเหนียกถึงความผิดปกตินั้น
“อาหารน่ะไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ แต่พี่รหัสหล่อมากกกก” เธอเน้นคำว่ามากจนน่าหมั่นไส้
“เห็นผู้ชายแล้วก็ทิ้งเพื่อน เด็กสมัยนี้แย่จัง” พี่นิวเคลียร์พูดลอยๆ แต่นั่นทำให้ฉันกับยายจินนี่จ้องคนพูดเขม็ง
“แกๆ พี่นิวเคลียร์กำลังว่าฉันใช่ป๊ะ” จินนี่สะกิดฉัน แต่คำถามของเธอไม่เบาเลย
“เฮ่ย ไม่ใช่มั้ง” ฉันตอบอุบอิบ รู้ทั้งรู้ว่าพี่นิวเคลียร์กำลังตำหนิแต่แม่จอมยุ่งกับยิ้มเผล่
“งั้นก็แล้วไป” จินนี่เอื้อมมือหยิบจานเปล่าแล้วตักข้าวให้ตัวเองโดยไม่ใส่ใจคนหน้ายักษ์
ฉันมองพี่นิวเคลียร์ที่มีอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ‘นี่มันเกิดอะไรกับพี่นิวเคลียร์กันนะ’
“อันที่จริงถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ควรรับปากส่งๆ นี่แหละเขาบอกว่าอย่าเชื่อคำพูดของเด็กสร้างบ้าน” พี่นิวเคลียร์พูดทำลายความเงียบขึ้นมาอีก คราวนี้ยายจินนี่วางช้อนที่กำลังจะตักปลากระพงนึ่งมะนาวใส่จานแล้วเงยหน้ามองคนพูด
“พี่จะว่าฉันไม่รับผิดชอบอย่างนั้นเหรอ แต่ฉันบอกพี่แล้วนะไม่ใช่ว่าไม่บอก อีกอย่างยายกระท่อมน่ะมันก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ปล่อยให้มันมีชีวิตเป็นของตัวเองมั่งเหอะ พี่จะมาคอยดูแลมันเหมือนไข่ในหินแล้วเมื่อไหร่มันจะทันคนฮะ” จินนี่ระเบิดอารมณ์จนฉันแปลกใจ
“ให้มีชีวิตอย่างเธอนั่นน่ะเหรอ วันๆ เอาแต่วิ่งไล่จับผู้ชายไม่สนใจการเรียน นี่น้าลดารู้พฤติกรรมแย่ๆ ของเธอหรือเปล่าฮะ” พี่นิวเคลียร์ขึ้นเสียง
จินนี่โกรธจนตัวสั่น เธอลุกขึ้นยืน ดวงตาใต้แพขนตาคลอคลองด้วยหยาดน้ำ “คนอย่างพี่มันจะรู้ดีไปกว่าฉันได้ยังไง พี่เป็นพยาธิในท้องของฉันเหรอถึงรู้ดีจัง จำไว้เลยนะว่าฉันไม่เคยผิดคำพูด อ้ออีกอย่างนะพี่ไม่ต้องมาเป็นห่วงพฤติกรรมแย่ๆ ของฉันหรอก ฉันโตพอที่จะจัดการชีวิตของตัวเองได้ ไม่ต้องเสแสร้งทำมาเป็นพี่ชายแสนดีคอยห้ามนั่นห้ามนี่ ฉันว่าพี่ไปจัดการบรรดาเด็กของพี่ซะก่อนเหอะ เห็นตบตีกันแย่งพี่ทุกเย็นเลยนี่ ไม่รู้ว่ามีดีอะไรถึงได้หลงกันนัก อ้อแล้วไม่ต้องห่วงนะ รับรองว่าฉันดูแลยายกระท่อมได้ดีกว่าพี่แน่ ขอบอกไว้เลยนะว่าต่อไปนี้พี่ไม่ต้องเสียสละเวลาอันมีค่าของพี่มารับยายกระท่อมอีก เพราะฉันขออนุญาตป้านวลแล้ว” จินนี่จ้องหน้าพี่นิวเคลียร์อย่างท้าทาย
ฉันไม่รู้ว่าทั้งคู่โกรธกันเรื่องอะไร ได้แต่ลูบแขนเพื่อนอย่างปลอบประโลม พี่นิวเคลียร์กำช้อนในมือแน่นคงเพื่อระงับความโกรธ ‘แต่พี่นิวเคลียร์โกรธจินนี่เรื่องอะไรกันงช’
“เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ หนูจินนี่เป็นอะไร” เหมือนระฆังพักยก ทั้งคู่เบนสายตาที่จ้องกันเมื่อครู่ไปคนละทาง ป้านวลแก้ววางจานขนมบนโต๊ะแล้วเข้ามาโอบไหล่จินนี่ที่ยืนตัวสั่นด้วยความโกรธ
“นี่พี่นิวเคลียร์ว่าอะไรหนูจ๊ะ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะป้านวล พรุ่งนี้หนูจะมารับยายกระท่อมนะคะ หนูลาล่ะค่ะ” จินนี่ยกมือไหว้แล้วก็หมุนตัวออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าพี่นิวเคลียร์ ฉันรีบวิ่งตามเพื่อนไป จากสภาพแล้วจินนี่คงโกรธมาก
“รอด้วยดิแก” ฉันวิ่งมาทันก่อนที่จินนี่จะเปิดประตูเข้าบ้าน เธอชะงักมือแล้วหันมาทางฉัน น้ำตาเม็ดโตค่อยๆ กลิ้งลงมาจากดวงตาทั้งสอง มือเล็กคว้าหมับเข้าที่แขนของฉันแล้วลากฉันเดินไปยังสวนสาธารณะประจำหมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเรา ความเงียบในยามค่ำคืนทำให้บรรยากาศรอบตัวหดหู่เหลือเกิน
จินนี่ทรุดนั่งยังม้านั่งตัวหนึ่งใต้ไม้ต้นใหญ่ เธอนั่งร้องไห้เงียบๆ ฉันกุมมือเล็กบอบบางไว้เพื่อถ่ายทอดกำลังใจ รู้สึกโกรธตัวเองที่ไม่อธิบายให้พี่นิวเคลียร์เข้าใจ โกรธพี่นิวเคลียร์ที่หลับหูหลับตาโทษจินนี่อยู่ได้ โกรธทุกสิ่งอย่างที่ทำให้เพื่อนตัวเล็กต้องเสียใจ
“แกฉันขอโทษนะ” ฉันพูดออกไป
จินนี่เงยหน้ามองฉันแล้วส่ายหน้าเร็วๆ น้ำตายังคงเกาะพราวตามแก้มใส “มันไม่ใช่ความผิดของแก ที่เขาพูดมันก็ถูก แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าเขาไม่พูดอะไรเลย” เธอพูดพลางสะอื้นฮั่ก
“แกโกรธพี่นิวเคลียร์เหรอ”
เธอพยักหน้า ยกหลังมือปาดน้ำตาบนแก้มลวกๆ “โกรธมากด้วย คอยดูนะแก ฉันจะจับผู้ชายทุกคนที่ฉันสนใจ แต่สาบานได้ว่าฉันจะไม่มีทางจับเขาแน่” จินนี่พูดด้วยความโกรธละคนน้อยใจซึ่งฉันสัมผัสได้
"ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันทุบหัวพี่นิวเคลียร์ยัดใส่กระสอบ แล้วลากมากองตรงหน้าแก แกอยากจะทำอะไรแกก็ทำเล้ย” ฉันพูดด้วยสีหน้าขึงขังนั่นทำให้อีกฝ่ายยิ้มออก
“ฉันจะกระทืบ กระทืบ อย่างนี้ อย่างนี้” จินนี่ลุกจากม้านั่งตรงไปยังกองใบไม้แห้งใต้ต้นไม้แล้วเธอก็ย่ำลงบนกองใบไม้เพื่อระบายอารมณ์ “นี่แน่ นี่แน่ นี่แน่ ตายซะเถอะตาบ้านิวเคลียร์” ยายจินนี่ทั้งกระทืบทั้งเตะจนกองใบไม้กระจัดกระจาย
ฉันได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้มีคนเห็นเราสองคนเลย ไม่งั้นเจ้าหน้าที่ที่ดูแลสวนสาธารณะคงได้มาเคาะประตูบ้านตักเตือนเป็นแน่ โชคดีที่ไม่มีใครอยู่บริเวณนี้ หมาสองสามตัวเกือกกลิ้งบนลานออกกำลังกาย ปล่อยให้เจ้าหน้าที่คิดว่าเป็นผลงานของเจ้าสองสามตัวนั่นไปเถอะ
จินนี่ชวนฉันกลับบ้านเมื่ออารมณ์ของเธอสงบลง เธอส่งยิ้มสดใสให้ฉันก่อนที่จะแยกเข้าบ้านของตัวเอง ป้านวลแก้วยืนรออยู่หน้าประตูรั้วพร้อมกับส่งสายตาถามถึงคนที่เพิ่งก้าวเข้าไปในบ้านอีกหลัง ฉันส่งยิ้มสดใสพลางทำสัญญาณมือบอกว่าไม่เป็นไร ป้านวลแก้วพยักหน้าอย่างโล่งใจ แล้วยืนรอให้ฉันเข้าบ้าน
ฉันเงยหน้าขึ้นไปบนชั้นสองของตัวบ้าน เผลอสบตาเข้ากับเจ้าของห้องอย่างไม่ตั้งใจ นาทีต่อมาม่านก็ถูกรูดปิด ฉันก้าวผ่านประตูเข้ามา ปิดล็อคเรียบร้อยก็เดินตามหลังป้านวลแก้วเข้าสู่ตัวบ้าน บนโต๊ะอาหารมีจานหลายใบวางอยู่ฉันตั้งท่าจะเข้าไปช่วยเก็บ แต่ป้านวลแก้วกลับไล่ฉันให้ขึ้นห้องไปอาบน้ำนอน ฉันจึงลากขาตรงไปยังบันไดขึ้นบนชั้นสอง เดินผ่านหน้าห้องพี่นิวเคลียร์ที่ปิดไฟมืดสนิท ผลักประตูห้องนอนของตัวเองเข้าไป ควานหาสวิชต์ไฟข้างประตูแล้วกดเปิดเพื่อขับไล่ความมืดภายในห้องนอนน้อยๆ ของฉัน
นาฬิกาตั้งโต๊ะข้างหัวเตียงส่งเสียงบอกเวลาสามทุ่ม ฉันตรงเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำก่อนที่จะมาทิ้งตัวลงบนเตียง สมุดวาดภาพที่จินนี่ซื้อมาฝากวางบนกระเป๋านักเรียนที่อยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือข้างหน้าต่าง คงเป็นพี่นิวเคลียร์ที่ถือขึ้นมาให้ ฉันเอื้อมมือปิดโคมไฟหัวเตียงหลังจากปิดไฟกลางห้องไปก่อนหน้านี้แล้ว หนังตาหนักอึ้ง ก่อนจะผลอยหลับรอยยิ้มละมุนกับดวงตาใสกระจ่างของมอคค่าผุดขึ้นในความทรงจำ มุมปากยกยิ้มอย่างสุขใจก่อนจะดิ่งสู่ห้วงนิทราอันแสนสุข
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 1377
ความคิดเห็น
ลุ้นจินนี่กับพี่นิวเคลียร์คร้าบ 55
พี่นิวเคลียร์นี่ก็ปากร้ายเกิ๊น
ต้องติดตามคร้า
แสดงความคิดเห็น