อุ่นในไอรัก บทที่ 4 เพื่อนในเงามืด

ภาพของเกาะเล็กๆ ที่มีน้ำทะเลสีฟ้าใสและท้องฟ้าสีคราม มีเรือเล็กอยู่ในน้ำใกล้กับเกาะ เกาะมีต้นไม้สีเขียวและหาดทรายสีขาว
คุณกำลังอ่าน: อุ่นในไอรัก

-A A +A

อุ่นในไอรัก บทที่ 4 เพื่อนในเงามืด

                        เมื่อบททดสอบความรู้สึกคือกาลเวลา  แล้วใครจะต้านทานได้

 

นับตั้งแต่เกิดเรื่องในวันนั้นทั้งจินนี่และพี่นิวเคลียร์ต่างก็หลบหน้ากัน ฉันเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะมัวแต่วุ่นวายกับการเรียน  ฉันยังคงใช้ชีวิตแสนธรรมดาไปวันๆ เพื่อนที่น้อยเริ่มเยอะขึ้นตามระยะเวลาที่ผ่านไป ฉันเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้นเพราะไปวาดรูปและช่วยจัดบอร์ดนำเสนอหน้าชั้นเรียนให้กับห้องของจินนี่ อยู่บ่อยครั้ง และนั่นทำให้ฉันรู้จักติณหรือนายตะเกียบเพื่อนร่วมห้องของจินนี่ 

 

ตะเกียบเป็นคนอารมณ์ดี ช่างพูด ที่สำคัญเขามีเพื่อนเยอะมากทั้งๆ ที่เขาก็บอกใครต่อใครว่าเขาเป็นลูกชาวสวนแต่ก็ไม่มีใครตั้งแง่รังเกียจเขาเลยสักคน และนั่นทำให้ฉันสนิทกับเขาได้ไม่ยาก  จากนั้นเป็นต้นมาฉัน จินนี่และตะเกียบพวกเราทั้งสามจะกลับบ้านพร้อมกันและมาโรงเรียนพร้อมกัน เนื่องจากพวกเราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน และพี่สาวของตะเกียบก็มาเรียนทำขนมกับป้าของฉันในวันหยุดทุกสัปดาห์ ดังนั้นพี่นิวเคลียร์จึงวางใจที่กลุ่มของเรามีเพื่อนผู้ชายมาคอยอารักษ์ขา ป้าเองก็ไม่ต้องคอยบังคับให้พี่นิวเคลียร์ไปรับไปส่งฉันอีกต่อไป 

 

เช้านี้ก็เช่นกัน หลังจากจ่ายค่าโดยสารรถสองแถวแล้วพวกเราก็เดินเข้าประตูโรงเรียนพร้อมกับนักเรียนคนอื่นๆ  ฉันยกมือไหว้พร้อมทักทายครูรติมาที่ยืนส่งยิ้มอารีให้กับนักเรียนทุกคนยังหน้าประตูโรงเรียน รอยยิ้มสดใสทำให้เช้าวันศุกร์ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเรียนในเทอมนี้สุขไปทั้งวัน นักเรียนทุกคนยกมือขึ้นพนมแล้วหยุดเดินเพื่อทำความเคารพพระประจำโรงเรียนที่ตั้งตระหง่านถัดจากประตูโรงเรียนเข้ามากลุ่มของพวกเราก็เช่นกัน  จากนั้นก็สลายตัวเมื่อเดินมายังทางแยก ตะเกียบเป็นคนแรกที่แยกไปอีกทางเพื่อตรงไปยังโรงอาหาร  จินนี่นั้นถูกพี่รหัสเรียกไว้ก่อนที่จะขึ้นอาคารเรียน จึงเหลือเพียงฉัน

 

ฉันรีบตรงไปยังห้องเรียน แล้วระบายลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าประตูห้องยังคงปิดสนิท เอื้อมมืออวบอูมผลักประตูตรงเข้าไปยังโต๊ะเรียนของตัวเองที่ตอนนี้ย้ายขึ้นมาอยู่แถวกลางข้างลีน่าซึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้องกับฉัน ส่วนเพื่อนร่างยักษ์นะเหรอ หมอนั่นก็เผ่นไปนั่งติดริมหน้าต่าง แล้วให้เหตุผลกับครูรติมาว่าไม่ชอบนั่งกับผู้หญิงตั้งแต่อาทิตย์แรกๆ นั่นละ ภายในห้องปราศจากผู้คนเพราะยังเช้าอยู่มากจึงทำให้รอบตัวเงียบสงบ  ฉันนั่งลงแล้วเอื้อมมือเข้าไปใต้ริ้นชักโต๊ะ  ปลายนิ้วสัมผัสกระดาษที่วางอยู่ข้างในจึงรีบดึงออกมา  มันเป็นกระดาษที่ฉีกจากสมุด ตัวหนังสือเรียงเป็นระเบียบบนหน้ากระดาษ  ฉันกวาดตาอ่านเร็วๆ  แล้วก็ยิ้มร่าอย่างดีใจ เปิดกระเป๋าหยิบเอาสมุดวิชาคณิตศาสตร์ออกมา รีบลงมือลอกคำตอบอย่างรวดเร็ว

 

ฉันพลิกกระดาษในมือกลับไปกลับมา หลังจากที่ลอกคำตอบใส่สมุดของตัวเองเรียบร้อยแล้ว แอบผิดหวังเมื่อไม่เห็นข้อความอื่นที่เคยได้รับ  ไม่มีสัญญลักษณ์หรือรูปอะไรที่ทำให้ฉันอมยิ้มอย่างทุกครั้ง จึงจรดปากกาลงวันที่กำกับก่อนที่จะสอดเข้าไปในสมุดใส่ภาพที่รวบรวมกระดาษแบบเดียวกันไว้

 

นึกย้อนไปเมื่อหลายเดือนก่อน วันนั้นจินนี่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาฉัน บอกให้ฉันช่วยเธอตามหาเจ้าตุ๊บตั๊บ ซึ่งเป็นลูกหมาพันธุ์ชีวาว่าของเธอ มันหายไปจากบ้าน ฉันและจินนี่เที่ยวตามหาจนดึกดื่นค่อนคืน สุดท้ายพี่นิวเคลียร์อดรนทนไม่ไหวจึงออกมาช่วยตามหา และก็เห็นว่าเจ้าตัวยุ่งนอนหลับอุตุอยู่ข้างกระถางกุหลาบในบ้านของเธอนั่นเอง ฉันเหนื่อยและง่วง พอถึงห้องก็หลับมันทั้งชุดนักเรียนั่นละ เช้าวันต่อมาฉันรีบไปโรงเรียนให้ทันเข้าแถวเคารพธงชาติ กว่าจะรู้ตัวว่าลืมทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ ก็ถูกครูประจำวิชาเรียกออกไปทำโทษที่หน้าห้องแล้ว สายตาเกือบทุกคู่จับจ้องมายังฉัน ฉันได้แต่ก้มหน้าหลบตา หูก็ฟังเสียงพร่ามบ่นของครู เสียงหัวเราะคิกคักดังลอดมาให้ได้ยินเป็นระยะ ก่อนที่ครูจะอนุญาตให้ฉันกลับไปนั่งที่ แปลงลบกระดานก็เคาะลงบนหลังมือของฉันเสียงดังโป๊กๆ ฉันเจ็บจนน้ำตาร่วงแต่ก็ไม่กล้าร้อง ได้แต่กัดริมฝีปากเพื่อสะกัดกั้นเสียงของตัวเองไว้

 

ฉันยกมือเช็ดน้ำตาเร็วๆ หลังจากที่หยิบสมุดการบ้านขึ้นมา ในนั้นมีเพียงโจทย์แต่ไม่มีคำตอบ เพื่อนตัวโตที่นั่งข้างๆ ก็เอาแต่จับจ้องโจทย์บนกระดาน บางครั้งก็เขียนอะไรหยุกหยิก จะไถ่ถามกันสักคำหรือก็เปล่าเลย ฉันเริ่มนั่งไม่ติดที่เมื่อใกล้หมดชั่วโมง แน่ละว่าครูอนุญาตให้ฉันส่งการบ้านท้ายชั่วโมงได้ ถ้าไม่มีส่งคะแนนในช่องนี้ของฉันก็จะเป็นศูนย์ ก่อนหมดเวลาสิบนาที เพื่อนข้างตัวลุกไปหาครู คุยกันไม่กี่คำเขาก็เดินออกจากห้องไป ฉันคิดวุ่นวายแต่กับเรื่องของตัวเองเลยไม่ได้ใส่ใจเขามากนัก มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุก จับนั่นรื้อนี่จนไปสัมผัสกับกระดาษที่อยู่ในริ้นชักโต๊ะ ดึงออกมากะว่าจะขยำเพื่อระบายความหงุดหงิด แต่ตัวหนังสือที่อัดแน่นอยู่ในนั้นทำให้หัวใจเต้นแรง

 

ฉันวางสมุดใส่ภาพลงบนโต๊ะ หยิบโพสต์อิทขึ้นมาเขียนคำขอบคุณที่ทำเป็นประจำ ติดไว้ก้นริ้นชักโต๊ะ มั่นใจอย่างทุกครั้งว่าหลังจากเข้าแถวเคารพธงชาติ กระดาษแผ่นน้อยก็จะหายไปอย่างเคย แม้ว่าจะไม่ได้รับคำตอบจากคนลึกลับตอบกลับมาก็ตาม

 

(โพสต์อิท คือกระดาษโน้ตแผ่นเล็กพร้อมแถบกาวอย่างอ่อน มีคุณสมบัติแปะที่ไหนติดที่นั่น เมื่อดึงกระดาษออกจะไม่เหลือร่องรอยของกาวติดอยู่  มีการใช้แพร่หลายตามเอกสาร จอคอมพิวเตอร์ ประตู หน้าต่าง ตู้เย็น โดยมักจะเขียนโน้ตบนกระดาษแปะทิ้งไว้  และยังเป็นสัญลักษณ์เพื่อไว้เตือนความจำ โพสต์อิทโน้ตเป็นสินค้าของ 3M ซึ่งเป็นผู้คิดค้นและผู้ผลิตออกจำหน่าย)

 

แอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าอาจจะเป็นฝีมือของนีโอหรือไม่ก็มอคค่า แต่จนแล้วจนรอดฉันเองก็ไม่กล้าถามทั้งสอง  จึงได้แต่ปล่อยให้มันเป็นความลับต่อไป และนับตั้งแต่วันนั้นเพื่อนร่างโตก็ยายไปนั่งติดริมหน้าต่าง ลีน่าจึงย้ายตัวเองจากแถวหน้าลงมานั่งกับฉันอย่างถาวร

 

เสียงพูดคุยของนักเรียนคลอกับเสียงตามสายดังทั่วบริเวณ ฉันออกจากห้องเดินสวนกับเพื่อนต่างห้องหลายคน ฉันส่งยิ้มทักทาย บางคนรู้จัก บางคนคุ้นหน้า บางคนไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำแต่จะแปลกอะไรก็เราอยู่สถาบันเดียวกัน นิสัยขี้อาย หวาดกลัวของฉันค่อยๆ ลดลงไปทีละน้อย อาจเป็นเพราะฉันโตขึ้น พบปะพูดคุยกับเพื่อนต่างห้องมากขึ้นด้วยล่ะมั้ง ฉันเดินลงมาเรื่อยๆ  จนถึงชั้นพักระหว่างบันได เท้าที่กำลังจะก้าวลงชะงักกึกเมื่อร่างสูงโปร่งโผล่พรวดขึ้นมา เขามองฉันอยางแปลกใจ ก่อนที่จะทอดตามองอย่างสำรวจจนฉันรู้สึกอึดอัดขัดเขิน  อุณหภูมิรอบกายทวีความร้อนขึ้นทั้งๆ ที่เมื่อครู่อากาศยังเย็นสบายอยู่เลย ฉันยืนตัวแข็งทื่อเมื่อจู่ๆ ปลายนิ้วของเขาก็ยกขึ้นมาแตะแผ่วเบาข้างมุมปากของฉันอย่างจงใจ

 

“กินเลอะเป็นเด็กๆ ไปได้ นี่กินเค้กก่อนกินข้าวเลยเหรอ” เขาพูดยิ้มๆ ปลายนิ้วยังคงไม่ละจากมุมปากของฉัน

 

ฉันเบิกตากว้างอย่างตระหนก  นึกเข่นเขี้ยวยายจินนี่ที่ขะยั้น ขยอให้ฉันกินเค้กก่อนออกจากบ้าน  ถึงว่าล่ะทำไมวันนี้บนรถสองแถวจึงมีแต่คนมองฉันแปลกๆ คงต้องเว้นไว้สองคนคือนายตะเกียบกับยายจินนี่ตัวต้นเหตุของเรื่องนั่นล่ะ นี่นีโอเขาจะคิดว่าฉันตะกระตะกรามไหมนะ

 

เขาทิ้งสายตาลงบนริมฝีปากของฉันอย่างจงใจ ฉันรู้สึกถึงความร้อนที่กระจายเต็มดวงหน้าเมื่อเผลอสบเข้ากับดวงตาที่เปิดเผยความรู้สึกของเขาเข้าอย่างจัง  มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ดีเหลือเกิน  ฉันไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองแต่แววตาที่เขามองฉันนั้นมันทำให้ฉันหัวใจพองโต  ถึงฉันจะไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องความรักสักเท่าไหร่ แต่ฉันก็ไม่ได้โง่ที่จะดูไม่ออกสักหน่อย  เขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นๆ ปะทะผิวแก้ม ฉันได้แต่ยืนนิ่งเหมือนถูกสาป แต่มันช่างเป็นคำสาปที่ดีเหลือเกิน

 

“เวลาเธอเขินก็น่ารักดี”  เขายิ้มใส่ตา ทำเอาตาของฉันพร่าไปชั่วขณะ

 

ฉันกระพริบตาปริบๆ เรียกสติที่กระเจิดกระเจิงให้กลับเข้าที่ หลังจากที่เขาจงใจเดินเฉียดไหล่ฉันขึ้นไปยังห้องเรียน นี่ฉันคาดหวังอะไรกัน อยากให้เขาจูบอย่างนั้นเหรอ เพื่อนต่างชั้นมองฉันแปลกๆ เมื่อเห็นฉันยืนเหม่อๆก่อนที่จะเดินลงไปข้างล่าง

 

“โอ๊ย! “ฉันเผลออุทานออกมา รู้สึกอับอายกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไป เขาคงมองออกว่าฉันคิดอะไรอยู่เป็นแน่ แล้วฉันจะทำยังไงล่ะ จะกล้าไปสู้หน้าเขาได้เหรอ อุตส่าห์เก็บเงียบอยู่ตั้งนาน แค่เขาเข้าใกล้นิดเดียวก็เผยความรู้สึกของตัวเองให้เขารู้จนหมด

 

ฉันตัดใจเดินลงไปเข้าแถว ในหัวยังคงคิดวนเวียนถึงแต่นีโอ ความรู้สึกประทับใจก่อตัวขึ้นเงียบๆ ตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน วันที่เขาบอกว่าชื่อของฉันน่ารักนั่นล่ะ  ที่ผ่านมามันทำให้ฉันรู้ว่าเขาเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตของฉันไม่น้อย และนั่นทำให้ฉันเริ่มหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น ฉันยกกระจกบานเล็กที่บังคับให้ลีน่าไปซื้อเป็นเพื่อน ขึ้นมาสำรวจตัวเองอยู่บ่อยครั้ง หน้าที่เคยมันเยิ้มจากเหงื่อไคลกลับผุดผ่องชวนมองจากแป้งฝุ่นที่แอบจิ๊กยายจินนี่มา สีสดใสจากลิปสติกบนริมฝีปากของฉันทำให้เครื่องหน้ากลมแป้นชวนมอง  การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของฉันทำให้จินนี่ต้องบุกเข้ามาซักถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันที่ห้องนอนของฉันในวันหนึ่ง  ฉันจึงตัดสินใจเล่าให้ฟังพร้อมกับสารภาพความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อนีโอและมอคค่าให้รู้เสียเลย

 

“ ฉันคิดว่าฉันชอบนีโอกับมอคค่าอะแก”  จำได้ว่าจินนี่มองฉันอย่างตลึง  มือเล็กตบบนดูมๆ ของตัวเองป้าบๆ อย่างตกใจ

 

“โอ๊ย! อกอีจินนี่จะแตก นี่อย่าบอกนะว่าไอ้ที่แกอยากสวยขึ้นมาเนี่ยก็เพื่อผู้ชายหล่อๆ ทั้งสองคนเนี่ย ว่าแล้วไงถ้าไม่ได้รับอิทธิพลจากผู้ชายละก็คนอย่างแกจะไม่มีวันหันมาแต่งตัวแน่นอน  โอ๊ยไอ้กระท่อมเอ๊ยแกคิดจะชอบผู้ชายนี่มันก็แปลกมากพออยู่แล้ว  ดั๊นมาชอบตั้งสองคนอีก  แล้วไอ้สองคนเนี่ยมันก็เป็นหนุ่มฮอตประจำโรงเรียนเลยนะแก แกเตรียมเหมาแห้วทั้งสวนมากินได้เล้ย”

 

“โถ่เอ๊ย  แกก็ไม่ให้กำลังใจฉันเล้ย  ฉันก็ไม่อยากเข้าข้างตัวเองหรอกนะ  แต่แกก็เห็นไม่ใช่เหรอว่ามอคค่าเขามาคลุกคลีกับฉันทุกวันเลยนะ  ส่วนนีโอเองเขาก็คอยช่วยเหลือฉันตลอดน่ะ  เจออย่างนี้ทุกวันเป็นแกก็หวั่นไหวจริงไหม”  ฉันอธิบาย

 

“เฮ่อ!  มันก็ใช่นะ  กับมอคค่าฉันก็ไม่ได้ติดใจอะไรหรอก  แต่กับนีโอน่ะซิ  ฉันว่ามันแปลกๆ อยู่นา”

 

“กับนีโอน่ะฉันรู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้หรอก ก็เมมี่เล่นควงเขาออกหน้าออกตาซะขนาดนั้น  แต่แก๊...เขาน่ารักมากเลยนะ  แกก็รู้นี่ว่าชีวิตฉันน่ะมันไม่เคยมีผู้ชายมาค่องแวะเลยน้า ฉันเองก็ไม่คิดจะแข่งกับเมมี่หรอก  สวยขนาดนั้นแล้วดูฉันซิอ้วนก็อ้วนอย่างนี้ แค่มีผู้ชายมาคบเป็นเพื่อนก็ดีหนักหนาแล้ว”  ฉันรำพึงพลางมองรูปร่างอวบอ้วนของตัวเองในกระจกบานโตที่ นอนขึ้นอืดอยู่บนเตียงอย่างปลงสังเวช

 

“แล้ว  ก็อีแค่มาทำดีไม่กี่ครั้งเอง  อย่าบอกนะว่าแกประทับใจที่เขาชมว่าชื่อของแกน่ารักฮะยายกระท่อม”  จินนี่ถามเสียงสูงพร้อมกับนอนแผ่หลาสามสลึงบนเตียงนอนของฉันอย่างหมดแรง

 

“มันก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งนั่นแหละ” ฉันสารภาพเสียงอ่อย ยอมรับว่าประทับใจเขาตั้งแต่วันนั้นจริงๆ นั่นแหละ แต่ใครจะกล้าบอกกันเล่า ขืนบอกไปยายจินนี่ต้องด่าเปิงแน่ๆ

 

“แล้วมอคค่าล่ะ”  จินนี่ถามต่อดวงตายังคงจับจ้องเพดานอย่างเหม่อลอย

 

“มอคค่าเขาดีกับฉันเสมอต้นเสมอปลายเลยล่ะ  บางทีฉันก็คิดว่าเขาชอบฉันนะ  แต่เขาไม่เคยบอกให้ฉันรู้สักที  แต่อีกไม่กี่วันก็จะวาเลนท์ไทน์แล้ว  แกคิดว่ามอคค่าจะขอฉันเป็นแฟนมั้ย”  ฉันทิ้งตัวลงนอนข้างเพื่อน ปากถามถึงมอคค่าแต่ภาพมโนที่ฉันสร้างขึ้นนั้นกลับเป็นนีโอยื่นกุหลาบช่อโตให้ฉันแทน นี่ฉันคงเป็นเอามาก

 

“แล้วถ้ามอคค่าบอกชอบแกล่ะ”  จินนี่ถามสายตายังไม่ละจากเพดาน

 

“ฉันก็ไม่ปฏิเสธหรอกแก  มอคค่าก็น่ารัก นิสัยดี  หลังๆ เนี่ยเขาทำตัวเหมือนเป็นแฟนฉันเลยนะ เขามากินข้าวกับฉันทุกกลางวันเลย  แล้วตอนเย็นนะแก๊ เขาก็ยังมายืนรอส่งฉันขึ้นรถแกก็เห็นไม่ใช่เหรอ”  ฉันสาธยายถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นให้จินนี่ฟัง

 

“มันก็จริงของแกนะ  แต่ฉันรู้สึกแปลกๆ ยังไงบอกไม่ถูก  แล้วเจ้าของการบ้านคณิตที่เทียวไล้เทียวขื่อส่งคำตอบให้แกลอกทุกวันนั่นล่ะ”  จินนี่ท้วงทำให้ฉันนึกถึงใครอีกคน ใครคนนั้นซึ่งฉันเองก็คร้านที่จะหาคำตอบ

 

“เอาจริงๆ นะแกเขาเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายฉันก็ไม่รู้  บางทีนะเขาอาจจะเป็นผู้หญิงก็ได้นะ”

 

“เฮ้ย! น่าคิดว่ะ ทำไมฉันไม่นึกถึงนะ เอ้อ...เจ้าของคำตอบการบ้านของแกอาจจะเป็นดี้ก็ได้นะแก มีผู้หญิงคนไหนมาคุยกับแกบ่อยๆ ไหมวะ”

 

“ดี้เหรอ เฮ้ย! ไม่น่าใช่นะ พอๆ เลิกพูดอะไรมั่วๆ แกนี่ชอบชักเรือให้ใบเสียอยู่เรื่อยเลย”

 

“ชักใบให้เรือเสียย่ะยายกระท่อม ครูเพิ่งสอนไปหยกๆ ยังจำมาพูดมั่วอีก บอกแล้วว่าให้กินปลาเยอะๆ ก็ไม่เชื่อ” ฝ่ามือเล็กๆ ฟาดเข้าที่พุงของฉันจนฉันสะดุ้ง

 

“เฮ้ อใครจะไปคิดล่ะว่าพอแต่งตัวเข้าหน่อย จากโอ่งมังกรดิน กลายเป็นโอ่งมังกรทองไปซะได้  เห็นไหมล่ะว่าถ้าแกดูแลตัวเองตั้งแต่ที่ฉันบอกป่านนี้มีแฟนไปนานแล้ว” น้ำเสียงล้อเลียนของจินนี่ยิ่งทำให้ฉันขุ่นเคือง

 

“หยุดพร่ามเลยนะ ใครเป็นโอ่งกันเล่า ฉันไม่ได้อ้วนขนาดนั้นนะ  ก็บอกแล้วไงว่ากำลังลดอยู่ แต่ว่าก็ว่านะ เจ้าของคำตอบคณิตเนี่ย เป็นใครก็ไม่รู้  บางทีนะแก๊ อาจจะเป็นหนึ่งในสองคนนี้ก็ได้นะ”  ในใจคาดหวังให้เป็นนีโอ ไม่ก็มอคค่า ได้ทั้งนั้นแหละถ้าเป็นสองคนนี้

 

“อ้าว ไหนแกบอกว่าในห้องแกไม่มีใครมีลายมืออย่างนี้เลยไม่ใช่เหรอ”

 

“มันก็ใช่  แต่บางทีนะแกเขาอาจจะอยากทำให้ฉันประทับใจก็ได้  แบบว่าไปฝึกเขียนลายมืออีกแบบมาหลอกฉัน  ทำให้ฉันไขว้เขวอะไรประมาณนี้น่ะแก” 

 

อันที่จริงฉันก็จำลายมือเพื่อนในห้องได้ไม่หมดหรอก  ฉันก็แค่ขอดูสมุดของเพื่อนที่ฉันคลุกคลีด้วยเท่านั้น  เหลืออีกตั้งหลายสิบคน ที่ฉันไม่ค่อยได้คุยด้วยสักเท่าไร จึงไม่กล้าขอดู หนึ่งในนั้นมีกลุ่มของเมมี่รวมอยู่ด้วย

 

“เพ้อไปใหญ่แล้วแก  นี่แกอ่านนิยายมากไปไหมฮะไอ้กระท่อม  บอกแล้วว่าอย่าไปไหนมาไหนกับยายลีน่ามาก ยายนั่นยิ่งชอบเพ้อฝันอยู่ด้วย”  จินนี่ยกมือก่ายหน้าผากกรอกตาอย่างปลงๆ

 

“ก็นิยายมันไม่ได้สร้างจากชีวิตจริงหรอกเหรอ  แต่ช่างเถอะยังไงฉันก็คิดว่าน่าจะเป็นลายมือของสองคนนี้แหละฟันธง”  ฉันพูดด้วยความมั่นใจสุดๆ

 

“เอาที่สบายใจละกัน อีกคำถามนะยายกระท่อม ถ้าสองคนนั้นขอแกเป็นแฟนล่ะ  แกจะทำยังไง” 

 

“ก็ต้องดูละนะว่าใครจะขอฉันเป็นแฟนก่อน  แต่ว่าก็ว่านะแก๊ ฉันไม่คิดว่านีโอจะขอฉันเป็นแฟนหรอก  เพราะเมมี่ตามเขาแจขนาดนั้น  แต่ถ้าดั๊นขอฉันเป็นแฟนกันทั้งสองคนอะนะ เห็นทีก็คงเลือกทั้งหมดนั่นละ ขาดเธอก็เหงา ขาดเขาก็เสียใจ”

 

“แหมๆ แม่สวยเลือกได้ แม่หุ่นเพลียวลม แม่อกตุ้ม ฉันละหมั่นไส้แกจริ้งจริง”

 

“เฮ้อ...สาธุวาเลนท์ไทน์ปีนี้ขอให้ลูกช้างมีแฟนสักทีเหถอะเจ้าค่า”  ฉันยกมือขึ้นพนมท่วมหัวหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เต็มที่ ทำเอาอีกฝ่ายปล่อยก๊าก

 

“อ้าว! นึกว่าใครมายืนเหม่ออยู่แถวนี้  ที่แท้ก็คุณกระท่อมปลายนานี่เอง”  เสียงแหลมๆ แสนคุ้นเคยฉุดฉันออกจากพวังค์ความคิด

 

ฉันดึงตัวเองกลับสู่ปัจจุบันแล้วกระพริบตาถี่ๆ เพื่อมองคนตรงหน้าให้ถนัด  พอเห็นว่าเป็นเมมี่และเพื่อนอีกสองคน ซึ่งมองฉันอยู่ก่อนแล้วก็ทำให้ฉันรู้สึกประหม่า ฉันเพียงยิ้มบางๆ กะว่าจะเดินไปอีกทางเพื่อเลี่ยงการปะทะ ฉันรู้ดีว่าพวกเธอไม่ได้พิสมัยฉันมากนัก และฉันเองก็คร้านที่จะวุ่นวายกับพวกเธอด้วย แต่สายตาของพวกเธอที่มองฉันนั้นดั่งตะปูตรึงฉันไว้อยู่กับที่ มันเป็นสายตาของความสงสาร สมเพชเวทนาหรืออะไรก็ยากที่จะเดาแต่สายตาอย่างนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกด้อยค่า ฉันเลื่อนสายตาลงไปยังกุหลาบหลายช่อที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอ เหมือนเธอจะรู้ว่าฉันกำลังมองอยู่จึงพูดเหมือนเป็นการชวนคุย

 

“อยากได้เหรอ  เอาไปซิฉันให้  กุหลาบพวกนี้ฉันก็ไม่อยากได้เท่าไหร่หรอก  จะไม่รับก็ไม่ได้กลัวผู้ชายพวกนั้นจะเสียใจ  เฮ้อ เบื่อจังเลย  นี่ตามไปให้ถึงหน้าห้องน้ำเลยนะ  อะฉันให้เธอก็แล้วกันจะได้ไม่ต้องอายเพื่อนๆ”  จบคำกุหลาบทั้งหอบก็ลอยมาทางฉันฉันยกมือรับอัตโนมัติด้วยกลัวมันจะหล่นร่วงรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที  เมมี่ทิ้งประโยคที่ทำให้ฉันถึงกับหน้าชาก่อนที่เธอจะเดินจากไปว่า

 

“คนอย่างเธอมันก็ได้แต่รับของเหลือจากฉันนั่นแหละ  แม้แต่ผู้ชายเอง  อย่าคิดนะว่าฉันมองไม่เห็นแววตาของเธอที่แอบมองนีโอของฉันน่ะ  หัดเจียมตัวซะมั่งหุ่นอย่างนี้  หน้าตาอย่างนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากเดินด้วยหรอก  แล้วอย่ามโนเอาว่ามอคค่าจะชอบเธอ  ที่เขามาวุ่นวายกับเธอน่ะเขาก็แค่นึกสนุกไปอย่างนั้นแหละ หัดดูสารรูปตัวเองซะบ้าง” เสียงหัวเราะเยาะของทั้งสามดังห่างออกไป

 

ฉันได้แต่ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก    รู้สึกชาทั้งใบหน้าเหมือนถูกตบฉาดใหญ่ความรู้สึกโกรธและอับอายปนเปจนแยกไม่ออกเมื่อเห็นสายตาหลายคู่ที่มองมาทางฉันอย่างสมเพช  น้ำตาแห่งความอัดอั้นคลอคลอง อยากจะโยนดอกไม้ทั้งหอบใส่หน้าเมมี่แต่ความอ่อนแอทำให้ฉันทำได้เพียงก้มหน้ารับฉะตากรรมของตัวเอง  เสียงหัวเราะจากคนรอบข้างลอยมาให้ได้ยินตลอดย่างก้าว  มือกำก้านกุหลาบแน่นจนหนามเล็กๆ จมลึกเข้าไปในฝ่ามือ  ดวงตาพร่าจากม่านน้ำตา  ฉันหย่อนกุหลาบทั้งหอบลงถังขยะ  ก่อนจะหมุนตัวตรงไปยังสระน้ำข้างอาคารวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นที่เดียวที่ฉันนึกออกในยามนี้

 

ฉันทรุดนั่งลงบนม้าหินใต้ต้นไม้ มองฝ่าม่านน้ำตาไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า รู้สึกอัดอั้นตันใจ อยากระบายให้ใครสักคนฟังเหลือเกิน แต่จะให้ไปตามหาจินนี่ในเวลานี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาได้ที่ไหน ฉันสอดมือเข้าไปในกระเป๋านักเรียนที่ปลดวางบนตักเพื่อควานหาไดอารี่ที่ติดกระเป๋าออกมา จรดปากกาบนกระดาษแล้วเขียนบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ระบายความรู้สึกของตัวเองออกมาจนหมดโดยมีเสียงเพลงมาร์ช เสียงตัวแทนนำร้องเพลงชาติและสวดมนต์ดังอยู่ไกลๆ

 

เมื่อได้ระบายออกไปแล้วความรู้สึกที่หนักอึ้งก็เบาบางลง  ฉันสะพายกระเป๋าเดินตามเพื่อนไปเรียนยังห้องสมุดของโรงเรียนเมื่อหมดชั่วโมงโฮมรูม เสียงหัวเราะคิกคักของเมมี่กับเพื่อนของเธอยังคงดังมาให้ได้ยิน  ฉันตั้งใจเดินรั้งท้ายเพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับเมมี่และนีโอ  ฉันกลัวเมมี่จะทำให้ฉันอับอายอีกจึงพยายามเลี่ยงเธอกับเพื่อนเสีย  มอคค่าก้าวเข้ามาเดินขนาบข้างฉันแล้วสอดนิ้วของเขาเข้ากับนิ้วทั้งห้าของฉัน ความอบอุ่นจากฝ่ามือไหลสู่หัวใจ

 

เราทั้งคู่เดินไปด้วยกันเงียบๆ  ไม่มีคำพูดต่อกัน  ‘มันช่างดีเหลือเกิน’  ฉันตวัดสายตามองไปยังกุหลาบในมือของเขา  นั่นมันทำให้ฉันรู้สึกขุ่นใจ  เมื่อไม่กี่อึดใจนักเรียนมัธยมต้นวิ่งตรงมาทางฉันกับมอคค่าแล้วยื่นกุหลาบช่อโตให้เขา  มือของฉันไร้ไออุ่นจากมือเขาเมื่อเขาเอื้อมมือรับกุหลาบช่อนั้น รอยยิ้มอบอุ่นของเขาที่คิดว่าเป็นของฉันกลับเผื่อแผ่ไปให้ใครอีกคน คำพูดของจินนี่คล้ายจะย้ำเตือนให้ฉันรู้ว่าเขากับฉันต่างกันแค่ไหน  ความหวังที่มอคค่าจะขอฉันเป็นแฟนเริ่มเลือนรางลงทุกที

 

วันสุดท้ายของการเรียนอาจารย์ประจำวิชาให้นักเรียนอ่านหนังสือเพื่อทบทวนบทเรียนก่อนที่จะเริ่มสอบในอาทิตย์หน้า  ฉันแยกตัวกับมอคค่าที่หน้าห้องสมุดแล้วมองหามุมที่อยู่ห่างจากกลุ่มของเมมี่ ฉันตักสินใจเดินไปหาลีน่าและเพื่อนอีกสองคนที่กำลังเลือกหาหนังสือในหมวดวรรณกรรมอยู่อย่างร่าเริง 

 

“แกไปนั่งโต๊ะโน้นเลย ฉันจองไว้แล้ว”  ลีน่าบอกเมื่อฉันเดินเข้ามาใกล้พอที่จะได้ยินคำพูดของเธอ

 

ฉันพยักหน้าแล้วเดินไปยังโต๊ะขนาดนั่งได้สี่คนที่ตั้งอยู่ในมุมอ่านหนังสือของห้องสมุด แล้วทรุดนั่งพร้อมกับหยิบหนังสือเรียนออกมาจากกระเป๋านักเรียนแต่ไม่ได้ใส่ใจจะทบทวนเนื้อหาในหนังสืออย่างจริงจัง  ในใจคิดวนเวียนอยู่แต่ว่าวันนี้มอคค่าจะขอฉันเป็นแฟนหรือเปล่า  คนช่างจินตนาการณ์อย่างฉันไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรไปได้มากนอกจากนั่งคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องเดิมๆ  ในสมองมีแต่ภาพมอคค่ายื่นกุหลาบให้ฉัน  ภาภนีโอยื่นกุหลาบให้ฉัน ฉายวนไปเวียนมาอยู่อย่างนั้น

 

ไม่นานมอคค่าก็ตามมานั่งโต๊ะตัวเดียวกับฉัน กุหลาบช่อโตในมือของเขาอันตรธานไปทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น ฉันไม่ใส่ใจหรอกว่ากุหลาบนั่นมันจะหายไปไหน แค่เขาไม่ได้ให้ความสนใจมันก็พอแล้ว มอคค่าอยู่กับฉันตลอดช่วงเช้า จนเพื่อนหลายคนมองฉันอย่างล้อเลียน  ลีน่าเข้ามากระซิบอะไรบางอย่างกับมอคค่าก่อนที่จะวิ่งตึงๆ ออกจากห้องสมุดไปเมื่อถึงเวลาพักกลางวัน ฉันรู้สึกสุขใจอย่างประหลาด ลืมเรื่องขุ่นใจเมื่อเช้าไปเสียสิ้น

 

ถึงช่วงพักกลางวันมอคค่าก็ไปกินข้าวกับฉันอย่างทุกวัน แต่ทำไมวันนี้ฉันกลับรู้สึกว่าช่างเป็นวันพิเศษที่สุด ‘วาเลนท์ไทน์เลยนะ วันแห่งความรัก’ แล้วจะไม่ให้ฉันรู้สึกดีได้ยังไงกันเล่า  มอคค่าพาฉันไปนั่งยังโต๊ะที่ว่างอยู่ จะเรียกว่าว่างก็คงไม่ได้เพราะพอฉันกับมอคค่าไปโต๊ะตัวนั้นมันก็ดันว่างพอดี จะเป็นเพราะความบังเอิญหรือตั้งใจก็สุดรู้  ลีน่าถือจานข้าวของฉันกับมอคค่ามาวางไว้ให้

 

“พอดีว่าฉันลงมาก่อนเลยซื้อไว้ให้น่ะ ไปก่อนนะฉันกินอิ่มแล้ว กะว่าจะไปหาครูศิลป์นทีเพื่อไปเอางานมาแก้ก่อนสอบ ไม่งั้นคงติดศูนย์วิชาเขียนแบบแน่ๆ ” พูดจบลีน่าก็เดินเร็วๆ ออกไป

 

มอคค่าเลื่อนจานข้าวมาตรงหน้าของฉัน เขาหยิบขวดน้ำที่มีตราประจำโรงเรียนติดหราข้างขวดส่งให้ฉัน ฉันเอื้อมมือไปรับพลางขอบคุณเขาเบาๆ

 

“ขอถ่ายรูปได้ไหมคะพี่มอคค่า” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น ฉันที่กำลังตักข้าวเข้าปากชะงักมือพลางเงยหน้ามอง

 

‘อุตาย!’ ฉันอุทานในใจเมื่อเห็นนักเรียนหญิงหลายคนกำลังส่งยิ้มให้กับมอคค่า ในมือของพวกเธอถือกุหลาบสีแดงสดใสมีทั้งแบบช่อแบบดอก ส่วนคนที่ไม่มีดอกไม้ก็หอบหิ้วของขวัญกล่องเล็กกล่องใหญ่ ข้างในคงไม่พ้นช็อคโกแลตขนมซึ่งแสดงถึงความรักตามธรรมเนียมปฏิบัติกันมาช้านาน มอคค่าทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เขาส่งยิ้มละมุนให้ทุกคน มือเอื้อมรับสิ่งของพลางกล่าวขอบคุณ

 

สัญญาณเข้าเรียนเหมือนระฆังช่วยชีวิตของฉัน เหล่าแฟนขลับของมอคค่าต่างแยกย้ายกันไป ฉันคว้าจานข้าวที่ไม่ได้รับการแตะต้องทั้งของฉันและเขาไปวางยังชั้นวาง เพื่อให้แม่บ้านประจำโรงเรียนนำไปทำความสะอาด

 

“เอ้าช่วยหน่อยนะ” เขาหันมาพูดกับฉันพร้อมกับหอบกุหลาบทั้งหมดใส่อ้อมแขนของฉัน เมื่อเหลือเพียงเราสองคน

 

ฉันหอบกุหลาบทั้งหมดแล้วเดินดุ่มขึ้นห้องเรียนโดยมีมอคค่าเดินตามมาติดๆ อาการไม่พอใจของฉันคงฉายชัดบนใบหน้าจึงทำให้เขารีบอธิบายให้ฉันฟังระหว่างทางขึ้นห้องว่าจะต้องหอบดอกไม้พวกนี้ไปทิ้งบนห้องเรียน เพราะถ้าทิ้งข้างล่างก็คงไม่ดี เผื่อบังเอิญมีคนเห็นแล้วเอาไปบอกคนให้จะเสียความรู้สึกกันเปล่าๆ ส่วนไอ้ช็อคโกแลตพวกนี้เขาให้เหตุผลว่าจะเอาไปแจกเพื่อนๆ ในห้องกินกัน ดังนั้นจึงทำให้ความขุ่นเคืองของฉันลดลง

 

ฉันชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องเมื่อเห็นนีโอมองมาทางฉัน เปล่าเขาไม่ได้มองฉันแต่มองกุหลาบในอ้อมแขนของฉันต่างหาก เสี้ยวหนึ่งของความคิดฉันอยากจะโยนกุหลาบพวกนี้ทิ้งไปเสีย  ฉันรู้สึกวางตัวไม่ถูกเมื่อสายตาของเพื่อนในห้องมองตรงมาที่ฉัน ความรู้สึกเหมือนวันแรกของการเรียนเข้าจู่โจมอีกครั้ง

 

‘พวกเขามองกุหลาบ ไม่ได้มองฉันสักหน่อย’ ฉันปลอบใจตัวเองแล้วก้าวเข้าไปในห้อง แต่ในขณะที่ฉันกำลังจะเดินผ่านโต๊ะของนีโอนั้นฉันก็ถูกรวบกอดจากด้านหลัง ลำแขนแข็งแรงรัดเข้าที่เอวกระชากเข้าหาตัวจนฉันเสียหลักเอนซบแผงอกของคนข้างหลังอย่างแรง สัมผัสอุ่นๆ ข้างแก้มทำให้ฉันรีบหันกลับไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็วแล้วก็ต้องตัวแข็งเมื่อจมูกของฉันปะทะเข้าที่แก้มของเขาพอดี ฉันเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของตัวต้นเหตุชัดเจน ประกายตาท้าทายของมอคค่าส่งตรงไปยังนีโอที่มองอยู่ก่อนแล้ว นั่นทำให้ฉันไม่เข้าใจ

 

“เดินระวังหน่อยซิ” เสียงเตือนของมอคค่าดังพอที่จะทำให้คนในห้องได้ยิน 

 

ฉันรีบผละออกจากอ้อมกอดของมอคค่า อยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เหลือเกิน แต่ก็ทำได้เพียงเดินก้มหน้าก้มตาตรงไปยังโต๊ะของตัวเอง

 

แต่ธว่า...ฉันกลับสะดุดเข้ากับเท้าของใครสักคนที่ยื่นออกมาพอดี ทำให้ฉันเสียหลักเซถลาไปข้างหน้า ฉันหลับตาปี๋เมื่อรู้ว่าอีกไม่กี่อึดใจฉันคงล้มลงไปนอนหน้าคว่ำและได้กลายเป็นตัวตลกของทุกคน  แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อฉันอยู่ในอ้อมกอดของใครคนหนึ่ง  ฉันรีบลืมตามองผู้ช่วยชีวิตก็สบเข้ากับดวงตากลมโตที่ทอดมองมาอยู่ก่อนแล้ว  ริมฝีปากแดงระเรื่อคลี่ยิ้ม  ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้ใบหน้าของฉันแค่คืบ 

 

‘ปัง!’ เสียงของแข็งกระทบโต๊ะดึงสติของฉันกลับมา  ฉันรีบผละจากนีโอ  กล่าวขอบคุณเขาเบาๆ แล้วจ้ำอ้าวออกจากห้อง  แอบชำเลืองไปทางที่มอคค่านั่งอยู่ก็เห็นเขายืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง  สายตาของเขาจับจ้องอะไรบางอย่าง  ฉันมองตามสายตาของเขาไปก็ต้องสะดุ้งเมื่อกุหลาบที่ฉันอุตส่าห์หอบมานั้นลงไปกองอยู่แทบเท้าของนีโอเรียบร้อยแล้ว บางดอกนอนสงบนิ่งอยู่ใต้รองเท้าของเขา  กลีบดอกหลุดเกลื่อนดูบอบบางและไร้ค่าในเวลาเดียวกัน

 

ฉันวิ่งหัวซุกหัวซุนตรงมาหยุดอยู่สระน้ำข้างอาคารวิทยาศาสตร์อย่างอ่อนล้า สายลมยามบ่ายลูบไล้ผิวกายคล้ายจะปัดเป่าความรู้สึกต่างๆ นานาภายในใจออกไป เปรวแดดเต้นระริกหยอกล้อกับผืนน้ำเป็นประกาย นกเป็ดน้ำผัวเมียลอยตัวหลบแดดข้างใบบัว  กิ่งก้านของมะขามต้นใหญ่ทำให้บริเวณนี้ร่มรื่น

 

ฉันก้าวเท้าออกไปเพื่อส่องดูเงาตัวเองบนผืนน้ำ นั่นไง รูปร่างโป่งพองไม่มีทีท่าว่าจะยุบลงเลย ยังเอวหนาๆ เหมือนมีห่วงยางหลายอันซ้อนเป็นชั้นๆ นั่นอีก คำพูดของเมมี่เมื่อเช้าทำลายความมั่นใจของฉันลงอย่างไม่มีชิ้นดี เกือบปีที่ฉันสั่งสมความมั่นใจกว่าจะกล้าพูดคุย ให้ความสนิทสนมกับนีโอและมอคค่าสองหนุ่มฮอตประจำโรงเรียน ฉันต้องรวบรวมความกล้า ข่มความอาย  ยอมทำทุกวิธีเพื่อให้มีตัวตนในสายตาของคนทั้งสอง  ฉันถอนใจอย่างอัดอั้นถอยหลังไปทรุดนั่งหมดอาลัยใต้ต้นมะขาม ปล่อยให้สายลมลูบไล้ปลอบประโลมหัวใจให้เย็นลง หวลนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่เกิดขึ้นมันเป็นความตั้งใจของนีโอหรือแค่บังเอิญกัน แล้วมอคค่าทำอย่างนั้นเพื่ออะไร ฉันพยายามไม่คิดต่อ เพราะกลัวเหลือเกิน กลัวคำตอบ

 

“ทำไมมาอยู่ตรงนี้”

 

สำเนียงแปล่งๆ ทำให้ฉันเงยหน้ามองผู้มาใหม่ที่นั่งลงข้างๆ อย่างถือวิสาสะ มือใหญ่ยังคงถือหนังสือเล่มหนาไว้ ดวงตาใต้กรอบแว่นทอดมองตรงไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า ให้ตายเถอะ ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ฉันยังไม่รู้จักชื่อจริงๆ ของเขาเลย  ได้ยินแต่เพื่อนผู้ชายเรียกเขาล้อๆ ว่าไอ้หรั่งเท่านั้น และก็รู้เพียงว่าเขาอายุมากกว่าสองปีเพราะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนพอกลับมาก็มาเรียนรุ่นเดียวกันกับฉัน

 

ความใส่ใจในตัวเขามันหายไปตั้งแต่ที่ฉันได้รู้จักกับมอคค่าและนีโอนั่นล่ะ ภาพของเขามันเลือนรางในความทรงจำ แม้ว่าจะเรียนห้องเดียวกันก็ตาม แต่เขาทำตัวราวภูตผี อาจเป็นเพราะเขาไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ไม่ร่วมกิจกรรมของโรงเรียน ไม่เป็นจุดสนใจจึงทำให้ฉันลืมเขาได้ง่าย

 

ฉันแอบสำรวจเขาเงียบๆ ดวงตาคู่คมยังคงทอดมองผืนน้ำเบื้องหน้า ฉันมองตามสายตาของเขาไป ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน แต่น่าแปลกที่มันไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัดแต่อย่างไร สายลมยามบ่ายหอบเอากระไอแดดมาปะทะกาย  ผืนน้ำระรอกไหวเมื่อใบไม้ร่วงหล่น  นกเป็ดน้ำทั้งสองยังคงลอยหาอาหารอย่างเอื่อยเฉื่อย ความสับสนวุ่นวายภายในใจถูกแทนที่ด้วยภาพของความสงบเบื้องหน้า

 

พเรานั่งกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเสียงสัญญาณหมดชั่วโมงเรียนดังขึ้น เขาขยับตัวลุกขึ้นเต็มความสูง มือใหญ่ยัดหนังสือเล่มหนาลงในถุงผ้าที่คล้องบนไหล่ เขาส่งยิ้มบางพร้อมพยักหน้าน้อยๆ เหมือนเป็นการบอกลา แต่เพียงแค่นี้มันก็มากพอสำหรับฉันกับเขาที่ไม่เคยพูดคุยกันแล้ว ฉันส่งยิ้มขอบคุณให้ก่อนที่เขาจะหมุนตัวเดินจากไป 

 

สารบัญ / นำทาง

ความคิดเห็น

รูปภาพของ เอนิน

ฝากด้วยน้า

รูปภาพของ Racss

รออ่านต่อนะคะ ตัวละครใหม่น่าสนใจมาก

รูปภาพของ tor

เชียร์พี่ไร้นามครับ 55 ขนาดช่วยทำโจทย์วิชาคณิตให้ ยังไม่ออกตัวเลย (เดาเอาล้วนๆ )

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.