Only one love รักนี้ แค่เธอ… คนเดียวเท่านั้นนะ [Yuri] Chapter 14
Chapter 14: เหตุการณ์ไม่คาดฝัน ความสัมพันธ์ระหว่างเราสามคน
(ซินนามอนบรรยาย)
วันนี้เป็นวันที่สำคัญที่สุดวันหนึ่งสำหรับฉันเลยค่ะ เพราะได้ขึ้นแสดงในพิธีเปิดงารประกวดวาดภาพระดับจังหวัด ที่โรงเรียนเป็นสนามแข่งด้วย
สมาชิกชมรมขับร้องประสานเสียงมารวมตัวกันที่ห้องดนตรีตั้งแต่ก่อนเข้าแถว เพื่อวอร์มเสียงรอไว้ก่อน หลังจากนั้นพวกเรา รวมถึงเพื่อนๆ ชมรมดนตรีก็พากันเดินเรียงแถวไปที่หอประชุม
เมื่อเดินเข้าไปก็สัมผัสได้ถึงอากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ เก้าอี้ถูกตั้งเรียงรายเอาไว้เพื่อต้อนรับนักเรียนผู้เข้าประกวดจากโรงเรียนอื่น รวมถึงมาการง เพื่อนสนิทของฉันที่เป็นหนึ่งในผู้เข้าประกวดก็อยู่ในห้องนี้ด้วย
เมื่อเดินเลาะผ่านเก้าอี้ไปอีกเล็กน้อย เห็นเวทีตั้งอยู่มุมหนึ่ง ซึ่งทุกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สามารถมองเห็นคนที่ยืนอยู่บนเวทีได้อย่างชัดเจน แสง สี เสียงถูกจัดเตรียมเอาไว้หมดแล้ว ฉันรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ระหว่างที่เดินอยู่ก็มีใครคนหนึ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงมาหาฉัน
“ซินนามอน” ฉันหันไปมองผู้ที่เดินตรงเข้ามา เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“มาการง!” ร้องเรียกชื่อเพื่อนสนิทด้วยเสียงที่เบากว่าปกติเล็กน้อยเพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่น
“วันนี้ก็สู้ๆ น้า ฉันจะคอยเชียร์อยู่ตรงนี้แหละ จะนั่งอยู่จนพิธีจบเลยด้วย” เพื่อนสาวผมม่วงยังคงร่าเริงตามสไตล์ของเธอ ฉันไม่รู้หรอกว่าภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มนั่น เธอซ่อนอะไรเอาไว้หรือไม่ อาจจะเป็นความกังวล ตื่นเต้น หรือความกลัว แต่ไม่ว่ายังไง มาการงก็ยังคงเป็นมาการงวันยังค่ำ มาการงคนที่ร่าเริงแจ่มใส และพร้อมยิ้มรับกับปัญหาที่ผ่านเข้ามาเสมอ
“ขอบใจจ้ะ เธอก็เหมือนกันน้า แล้วนี่แข่งตอนไหนเหรอ?”
“ช่วงบ่ายจ้ะ น่าจะคาบหลังพักกลางวัน”
“งั้นเหรอ” ฉันพยักหน้า เมื่อกวาดตามองคนที่นั่งอยู่ก็เห็นว่า ทั้งช็อกโกล่าและคัสตาร์ดก็นั่งอยู่แถวนั้นด้วย เพราะสองคนนี้อยู่ชมรมเดียวกับมาการง เลยได้มาช่วยเตรียมงานและร่วมอยู่ในพิธีเปิดด้วย
เมื่อทั้งสองคนเห็นฉันก็หันมายิ้มให้ และช็อกโกล่าก็ชูสองนิ้วให้ฉันด้วยมือทั้งสองข้างเป็นสัญลักษณ์ ‘สู้ตาย!’ ฉันทำสัญญาณมือ OK ส่งกลับไป และเดินไปสมทบกับพวกพาเฟ่ต์ที่เดินนำไปที่เวทีก่อนแล้ว
เมื่อใกล้ถึงเวลาแสดง ทุกคนเอาไมโครโฟนที่หยิบมาจากห้องดนตรีออกมาเพื่อเช็คความเรียบร้อย ฉันยืนอยู่ที่ตำแหน่งของตัวเอง เมื่อขยับจนได้ตำแหน่งที่เหมาะดีแล้วก็รอจังหวะที่พิธีกรประกาศเปิดงาน เมื่อถึงเวลาแสดง ทุกคนที่อยู่ข้างล่างเวทีปรบมือกันกึกก้อง ฉันรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ความตื่นเต้นแล่นเข้ามาจนรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวแม้ว่าในหอประชุมจะหนาวมากก็ตาม
“ทุกคน ใกล้เวลาแล้ว ทำให้เต็มที่เลยนะ” เสียงของพี่เชอร์ให้กำลังใจพวกเรา ฉันพยักหน้าให้ และเมื่อลองพูดผ่านไมโครโฟนที่ถือไว้ก็เห็นความผิดปกติบางอย่าง
แย่แล้ว!…
ฉันลองเปิดปิดไมโครโฟนหลายครั้ง ปรากฏว่าไม่มีเสียงอะไรดังออกมาเลย เหมือนทุกคนที่นั่งอยู่ติดขอบเวทีจะรู้และพยายามส่งสัญญาณมายังบนเวที ฉันยืนตัวแข็ง รู้สึกเหมือนเนื้อเพลงกับทำนองที่ซ้อมมาอย่างดีหายวับไปจากสมอง
หมดกัน การแสดงบนเวทีครั้งแรก
หมดกัน เวลาหลังเลิกเรียนที่อุตส่าห์เดินไปสิงสถิตอยู่ที่ห้องดนตรีทุกเย็นต้องสูญเปล่าเพียงเพราะไมโครโฟนมีปัญหา
และหมดกัน จินตนาการที่วาดฝันเอาไว้ว่าเพลงนี้ต้องจบลงอย่างสวยงามพร้อมเสียงปรบมือของคนทั้งหอประชุม และฉันที่ยืนยิ้มอย่างมีความสุข…
“ใครมีไมค์สำรองบ้าง?” เสียงของครูที่ปรึกษาชมรมถามขึ้น ทุกคนส่ายหน้า พี่เชอร์หน้าเครียดมองคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างขอความช่วยเหลือ
“อีก 5 นาทีจะถึงเวลาแสดง…” พาเฟ่ต์ที่ยืนอยู่ข้างฉันเอ่ยขึ้นลอยๆ ฉันหันไปมองเธอด้วยสีหน้าจะร้องไห้ คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดีเมื่อเกิดเหตุการณ์คับขันเช่นนี้
“เวลาแค่นี้เดินไปเอาไมค์ที่ห้องดนตรี แล้วรีบเดินกลับมาคงไม่ทันแน่ๆ แล้วเราจะต้องทำยังไงดีล่ะคะอาจารย์?” รุ่นพี่รองหัวหน้าชมรมถามขึ้น ก่อนที่คำพูดที่ฉันไม่อยากได้ยินจะหลุดออกมาจากปากของรุ่นพี่ “หรือมีอีกทางหนึ่งก็คือ ให้ซินนามอนไม่ต้องแสดงไปเลย”
“ไม่ได้นะคะ!” เสียงของพาเฟ่ต์ขัดรุ่นพี่ “ซ้อมด้วยกันมาขนาดนี้แล้ว แค่ไมค์มีปัญหาตัวเดียวมันก็ไม่ต้องถึงขั้นให้เพื่อนออกจากการแสดงนี่คะ มันต้องมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้สิ…”
“แล้วมีวิธีไหนอีกล่ะ หือ?” เสียงของโรสแมรี่ถามขึ้น พาเฟ่ต์หันไปมองผู้รับตำแหน่งเซนเตอร์ตาเขียว ก่อนจะยกมือขึ้นเป็นสัญลักษณ์ห้ามไม่ให้เธอพูดอะไรออกมาอีก
สถานการร์เริ่มตึงเครียดมากขึ้น บวกกับเวลาที่ค่อยๆ ผ่านไปทีละนิด ไม่นานก็มีคุณครูคนหนึ่งก้าวฉับๆ ขึ้นมาบนเวที พร้อมกับยื่นไมโครโฟนอันหนึ่งมาให้ฉัน ฉันเอ่ยขอบคุณเบาๆ ก่อนจะรับไมโครโฟนที่หน้าตาเหมือนกับอันเก่าที่ฉันถืออยู่มาจากมือครูและยื่นอันที่เสียคืนให้ ก่อนที่คุณครูคนนั้นจะเดินลงเวทีไป
“โล่งไปที ถือว่าฟาดเคราะห์ก่อนแสดงแล้วกันนะ” พี่เชอร์หันมาพูดด้วยสีหน้าโล่งใจ ก่อนที่ทุกคนจะเข้าไปยืนประจำที่ และเสียงอินโทรของเพลงก็เริ่มขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือของผู้ชมข้างล่างเวที
เสียงโรสแมรี่เริ่มร้องนำ ตามมาด้วยเสียงร้องประสานของพวกพาเฟ่ต์ ดนตรีหยุดไปเล็กน้อยและก็เป็นหน้าที่ของนักร้องเสียงหลักอย่างฉันที่จะต้องร้องประสานไปกับเซนเตอร์ ความรู้สึกตื่นเต้นที่เคยมีหายไปแล้ว เหลือไว้แค่สมาธิ กับใจที่จดจ่ออยู่กับเสียงเพลง
ฉันย้อนนึกถึงเหตุการณ์ระหว่างการซ้อมตั้งแต่วันแรกจนถึงวันซ้อมเสมือนแสดงจริง ก็รู้สึกว่าเวลาที่ผ่านมา ฉันร้องเพลงได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควรเมื่อเทียบกับตอนที่ฉันกำลังยืนอยู่บนเวทีในขณะนี้ อารมณ์เพลงที่ไม่เคยเข้าใจ บัดนี้ได้ถูกถ่ายทอดออกมาหมดสิ้นด้วยเสียงที่ออกมาจากคอของตัวเองที่ประสานไปกับเสียงของทุกคนอย่างเป็นธรรมชาติ และโดยที่ไม่รู้ตัว ดวงตาของฉันเหลือบไปมองเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตอนที่ดนตรีกำลังเริ่มบรรเลงท่อนบริดจ์ก่อนเข้าท่อนฮุกสุดท้าย ฉันจึงตวัดสายตากลับมามองตรงไปข้างหน้าเช่นเดิม ใช่แล้ว พาเฟ่ต์พูดถูก ความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของการร้องเพลง เมื่อเราไม่มั่นใจจะทำให้เสียสมาธิ และดีไม่ดีอาจจะทำให้ร้องเพี้ยน ร้องไม่ถูกจังหวะ หรือที่เลวร้ายกว่านั้น อาจจะถึงขั้นลืมเนื้อได้
เสียงดนตรีหยุดลง ตามมาด้วยเสียงปรบมือกึกก้องจากผู้ชมทั้งหอประชุม พวกเราโค้งคำนับเป็นการขอบคุณก่อนจะพากันเดินลงมาจากเวทีเพื่อดูการแสดงอีกชุดที่จะตามมา ก่อนที่พิธีเปิดจะเสร็จสิ้นลงและกลับไปเรียนคาบแรกตามปกติ
“สุดยอดเลยจ้ะทุกคน ขอบคุณที่เหนื่อยกันมาจนถึงวันสุดท้ายน้า บราโว! เยี่ยมมากๆ เลย! ที่เราซ้อมกันมาไม่สูญเปล่าจริงๆ” เสียงของหัวหน้าชมรมเอ่ยขอบคุณพวกเรา ทุกคนยิ้มออกมาอย่างมีความสุขที่การแสดงสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ฉันนึกถึงภาพที่จินตนาการเอาไว้ อืม… มันก็ไม่ผิดจากที่ฝันไปเท่าไร แค่อาจจะไม่เหมือนกันนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก การแสดงออกมาได้ดีขนาดนี้ก็ดีใจมากๆ แล้วล่ะ
“เธอทำได้ดีมากเลยนะ ซินนามอน” พาเฟ่ต์พูด ขณะที่กำลังเดินกลับห้องเรียนด้วยกัน ฉันยิ้มแหยก่อนตอบ
“ไม่ขนาดนั้นหรอกจ้ะ เพราะคำแนะนำของพาเฟ่ต์ต่างหากล่ะ ช่วยฉันได้เยอะเลย”
“เธอก็พูดเกินไป” พาเฟ่ต์พูดเรื่อยๆ “ฉันไม่ได้ช่วยอะไรสักหน่อย”
“ใครบอกว่าไม่ช่วยล่ะ?” ฉันยิ้มออกมาก่อนเฉลย “ที่บอกว่าให้ร้องอย่างมั่นใจไง จำไม่ได้เหรอ?”
“อ๋อ ตอนนั้น” เธอพยักหน้า “ฉันก็แค่แนะนำไปตามความจริงเท่านั้นแหละ”
“ให้ตายเถอะซินนามอนเนี่ย ทำไมก่อนแสดงไม่เช็คไมค์ให้ดีก่อนฮะ!” โรสแมรี่ขัดขึ้นเสียงดัง ฉันสะดุ้งน้อยๆ ถ้าเธอไม่พูดขึ้นมาฉันคงลืมว่าเธอก็อยู่ตรงนั้นด้วย
“ฉันก็เช็คแล้วน้าตอนอยู่ในห้องดนตรี ก็ปกติดีนี่นา…”
“ไม่รู้แหละ ถ้าแสดงคราวหน้าก็เช็คให้แน่ใจก่อน จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก เข้าใจไหม นี่ดีนะที่ครูคนนั้นเอาไมค์อีกอันมาให้เปลี่ยน ไม่งั้นละก็เธอแย่แน่”
“นี่ โรส” พาเฟ่ต์ขัดขึ้นอย่างหมดความอดทนเต็มที “เธอจะไปโทษซินนามอนคนเดียวมันก็ไม่ได้ เพราะตอนอยู่ในห้องดนตรี ฉันเองนี่แหละที่ยืนอยู่ข้างซินนามอน แล้วก็เห็นกับตาเลยว่าไมค์ยังใช้ได้ดีไม่มีปัญหาอะไร แต่พอขึ้นมาบนเวทีมันก็เป็นแบบที่เห็น ใช่หรือเปล่าล่ะ?” หันมาถามฉันในประโยคท้าย ฉันไม่รู้จะตอบอย่างไรเลยได้แต่พยักหน้ารับ
“เหตุสุดวิสัยน่ะจ้ะ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ไม่ต้องไปคิดมากหรอกนะ” ฉันพูดเบาๆ หวังให้เพื่อนทั้งสองคนนี้หยุดทะเลาะกันเสียที โรสแมรี่สะบัดหน้าก่อนจะเดินเข้าห้องของตัวเองไปพร้อมกับพาเฟ่ต์
ในใจลึกๆ ของฉัน เคยคิดอยากให้พวกเราสามคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน คุยกันได้ปกติเหมือนกับเพื่อนทั่วๆ ไป ไม่ต้องมีใครทะเลาะกับใครให้ต้องมาคอยห้ามทัพ และก็เป็นฉันที่ต้องมาปวดหัวกับความสัมพันธ์แบบติดลบระหว่างเพื่อนทั้งสองคนนี้อยู่เรื่อยไป
แต่ฉันก็ยังมีความหวังเล็กๆ ว่าสักวัน ทั้งโรสแมรี่และพาเฟ่ต์จะต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้แน่นอน แม้ว่าความหวังนั้นอาจจะริบหรี่เต็มทีก็ตาม
(วาฟเฟิลบรรยาย)
วิชาก่อนคาบพักกลางวันวันนี้คุณครูปล่อยเร็วกว่าปกติ 10 นาที ในห้องมีคนหายไปส่วนหนึ่งโดยเฉพาะเพื่อนชมรมศิลปะ เพราะต้องไปช่วยดูความเรียบร้อยของงานประกวดซึ่งจัดอยู่ที่ตึกศิลปะ ที่อยู่ข้างตึกเรียนของพวกเรานี่แหละค่ะ แถวที่ฉันนั่งอยู่เหลือแค่ฉันกับซินนามอน 2 คน จึงดูโล่งไปถนัดตา ฉันจึงชวนเพื่อนสาวผมสีโกโก้มานั่งด้วยกันซะเลย
“แถวเรานี่เงียบจังเลยเนอะ” ซินนามอนพูดขึ้นหลังจากพวกเราเดินออกมาจากห้องเพื่อลงไปหาข้าวกินที่โรงอาหาร
“ใช่เลย ว่าแต่ พวกเราจะไปดูมาการงหรือเปล่าล่ะ?” ฉันถามความเห็น ซินนามอนพยักหน้าเห็นด้วย และพวกเราก็ตัดสินใจว่าจะไปหาร้านอะไรที่แถวสั้นๆ กินไปก่อน เพราะถ้าไปช้าอาจไม่ทันให้กำลังใจเพื่อนก่อนเวลาแข่งก็ได้
พวกเราเดินมาเรื่อยๆ จนมาถึงทางเข้าโรงอาหาร และซินนามอนก็หันไปทักใครคนหนึ่งที่เดินสวนมา
“อ้าว พาเฟ่ต์!” ฉันหันไปมองตามเสียง นึกแปลกใจว่าน้องสาวตัวเองมาเดินอยู่แถวนี้ตั้งแต่เมื่อไร คนที่ถูกเรียกหันกลับมา แล้วเดินมาหาพวกเรา
“ซินนามอน พะ…พี่” ฉันยิ้มให้น้องสาวฝาแฝด เมื่อหันมองหน้าเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เห็นว่าสีหน้านั้นตกตะลึง ซินนามอนมองฉันสลับกับพาเฟ่ต์หลายรอบ จนฉันเองนึกเห็นใจว่าเธออาจจะมองจนตาลายได้
“ตกใจอะไรขนาดนั้นน่ะ หือ?” พาเฟ่ต์เย้า ซินนามอนอ้าปากค้าง ไม่นานก็ตั้งสติได้ก่อนถามเบาๆ
“พะ… พี่เหรอ?”
“ไม่ต้องตกใจหรอกจ้าซินนามอน ฉันกับพาเฟ่ต์ เราเป็นฝาแฝดกันน่ะ” ฉันมักจะพูดแบบนี้ทุกครั้งเมื่อมีคนเห็นพวกเราเดินมาด้วยกันแล้วแยกไม่ออก ความจริงบุคลิกพวกเราไม่เหมือนกันเลยนะคะ
“เธอไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลยเหรอ? เห็นสนิทกับมาการงนี่ นึกว่ารู้แล้วซะอีก” พาเฟ่ต์ถาม
“ก็ได้ยินมาบ้าง แต่ไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องจริงนี่นา” ซินนามอนตอบ ฉันยิ้มจนตาหยีก่อนพูดว่า
“ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำแหละน้า หรือเธอคิดว่ากำลังฝันอยู่เหรอ?”
ซินนามอนเอามือหยิกแก้มตัวเองก่อนร้อง “ฉันไม่ได้ฝันนี่นา”
“ก็ไม่ใช่ฝันน่ะสิ แล้วแยกออกหรือเปล่าล่ะ ระหว่างฉันกับพี่วาฟเฟิลน่ะ?”
“ก็… แยกออก แต่ว่า… หน้าตาของพวกเธอสองคนเหมือนกันเกินไปแล้ว”
“เหมือนแค่หน้าตา แต่บุคลิกไม่เหมือนกันเลยนะ/หรอกน้า” ฉันกับพาเฟ่ต์พูดขึ้นพร้อมกัน ได้แกล้งเพื่อนให้สับสนเล่นนี่มันสนุกจริงๆ เลยแฮะ
พวกเราไปซื้อข้าวและหาที่นั่งเหมาะๆ โดยเลือกที่ใกล้ทางไปตึกศิลปะมากที่สุด เมื่อกินข้าวกันเสร็จแล้วก็เดินออกจากโรงอาหารทันที
“พาเฟ่ต์จะไปเชียร์มาการงด้วยกันไหมล่ะ?” ฉันถามน้องสาว ได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบ
“มาการงก็เพื่อนฉันทั้งคน ถ้าขอไปด้วยคงไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ได้อยู่แล้วจ้ะ ไปด้วยกันหลายๆ คนดีกว่าไปคนเดียวน้า มาการงคงดีใจแย่เลยที่เห็นเธอมาด้วยน่ะ” ซินนามอนตอบ พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆ ทันใดนั้น พาเฟ่ต์ก็หยุดชะงัก และบอกว่าให้พวกเราล่วงหน้าไปก่อน เพราะมีเรื่องที่ต้องไปจัดการ ก่อนจะเดินไปทางห้องคอมพิวเตอร์ที่เปิดเครื่องปรับอากาศทิ้งไว้แต่ไม่มีคนใช้งานเนื่องจากเป็นเวลาพักกลางวัน
“อ้าว อะไรของเขาน่ะ” ซินนามอนเอ่ยเบาๆ ฉันรู้สึกว่าต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างแน่ๆ จึงบอกให้ซินนามอนเดินไปหาพวกคัสตาร์ดก่อน ส่วนตัวเองแอบสะกดรอยตามน้องสาวไปอย่างเงียบกริบ โดยที่พาเฟ่ต์เองก็ไม่รู้ตัวด้วยว่ามีคนตามมา
ฉันสะกดรอยตามไปโดยเว้นระยะห่างเอาไว้พอให้พาเฟ่ต์ชะล่าใจว่าไม่มีคนเดินตาม น้องสาวของฉันเดินไปทางห้องคอมพิวเตอร์ แต่ไม่ได้เข้าไปในห้องอย่างที่ฉันคิด เธอเดินไปบริเวณบันไดหนีไฟที่ไม่ค่อยมีคนเดินเข้าไปเพราะเป็นมุมอับ และฉันก็ได้ยินเสียง…
“เธอจะตามฉันมาที่นี่ทำไม!” เสียงของเด็กผู้หญิงผมสีส้มคนหนึ่งพูดขึ้น ฉันหลบเข้าไปซ่อนตัวใกล้กับซอกหลืบของกำแพงห้องคอมพิวเตอร์ที่เป็นกระจก ทำให้พอจะมองเห็นเงาของทั้งสองคนที่กำลังคุยกันอยู่ได้ค่อนข้างชัดเจน
“เธอนั่นแหละมาทำอะไรอยู่ในที่แบบนี้?” เสียงของน้องสาวฉันถามกลับ
“ฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉันเถอะน่า” เธอคนนั้นพูดต่อ เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่เสียงของน้องสาวฉันจะพูดขึ้นว่า
“นั่นสินะ ฉันไม่ควรมาที่แบบนี้ด้วยซ้ำ” เงียบกันไปอีกสักครู่ ก่อนที่พาเฟ่ต์จะถามว่า “เหตุการณ์เมื่อเช้าเป็นฝีมือของเธอสินะ?”
“เปล่าซะหน่อย ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ยัยนั่นพลาดเอง ถ้าไม่มีใครช่วยก็คงไม่ได้แสดงแล้วแหละ”
“อย่างเธอน่ะมีเพื่อนสักคนก็แปลกพอๆ กับหิมะตกในฤดูร้อนแล้ว ความจริง เธอก็อยากให้การแสดงบนเวทีออกมาโดยไม่มีซินนามอนใช่ไหมล่ะ? หึ แย่จริงๆ เลยนะ” ฉันใจเต้นแรง รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีว่าเรื่องที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่อาจจะเกี่ยวกับเพื่อนฉันโดยตรง หรือไม่ก็อาจจะเป็นเรื่องอื่นที่ฉันไม่เข้าใจ และฉันเองก็ภาวนาให้เป็นอย่างหลัง
“ฉันจะมีเพื่อนสักคนก็ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยนี่ เหมือนกับเธอที่ไม่ค่อยมีคนในห้องรู้จักนั่นแหละ อ้อ แล้วฉันก็อยากจะบอกเธอเป็นครั้งสุดท้าย ว่าฉันไม่ได้เป็นคนทำไมค์ของซินนามอนพังนะ” ซินนามอน… ซินนามอนเหรอ…
“เธอไม่ทำร้ายเพื่อนแบบตรงๆ หรอก ฉันรู้” พาเฟ่ต์พูดเสียงเรียบ “แต่เมื่อเหตุการณ์ออกมาเป็นแบบนี้ มันก็เข้าทางเธอ เพราะใจจริง เธอเองก็ต้องการให้เพื่อนไม่ได้แสดงอยู่แล้ว ใช่หรือเปล่าล่ะ?”
“นี่! พาเฟ่ต์! เลิกยุ่งกับฉันสักทีได้ไหม?!” เสียงของเธอคนนั้นตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ
“ฉันเลิกยุ่งกับเธอแน่ ถ้าเธอจะเลิกทำนิสัยแบบนี้” พาเฟ่ต์พูด ก่อนจะเดินออกมาจากบันไดหนีไฟ และเดินกลับไปทางเดิม ฉันรอให้น้องสาวเดินไปก่อน ตัวเองจึงเดินตามออกไปโดยทำทีเป็นสำรวจความเรียบร้อยที่กระจกห้องน้ำเพื่อไม่ให้มีพิรุธ ก่อนจะเดินกลับไปที่ตึกศิลปะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พวกเราเดินเข้าไปในตึกทันเวลาพอดี ผู้เข้าแข่งขันทุกคนกำลังนั่งรอเวลาเริ่มแข่ง ซึ่งก็เหลืออีกไม่ถึง 10 นาทีแล้ว
ฉันปล่อยให้เรื่องที่แอบไปได้ยินมาสดๆ ร้อนๆ เป็นเหมือนกับเรื่องธรรมดาสักพัก และตั้งใจว่าเมื่อมีโอกาส จะถามน้องสาวให้รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะฉันเองไม่ได้ร่วมอยู่ในพิธีเปิดเมื่อเช้าจึงไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาคุยกัน แต่ก็พอจะรู้ว่าเด็กผมส้มคนนั้นเป็นเพื่อนชมรมเดียวกันกับทั้งพาเฟ่ต์และซินนามอน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสามคนนั้นจะเป็นเช่นไรฉันก็ไม่อาจรู้ได้ จึงทำได้เพียงเป็นคนนอกคอยดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ และคอยให้ความช่วยเหลือเมื่อมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเท่านั้น
“มาการง!” พวกเราเดินเข้าไปหาเพื่อนผมม่วงที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้รอเวลาแข่ง ฝ่ายนั้นเมื่อเห็นพวกเราก็หันมายิ้มให้
“ว้าว! ซินนามอน วาฟเฟิล พาเฟ่ต์ก็มาด้วยเหรอเนี่ย?”
“ฉันบังเอิญเจอพี่ที่หน้าโรงอาหาร เลยขอตามมาด้วยน่ะ ใกล้แข่งแล้วไม่ใช่เหรอ พยายามเข้านะ” ฉันยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าทั้งมาการงและน้องสาวคุยกันได้ปกติดี ไม่มีเรื่องอะไรให้ขุ่นเคืองใจกันอีก ก่อนที่เพื่อนที่เหลือจะพูดให้กำลังใจผู้เข้าแข่งคนละประโยคสองประโยค
“ขอบคุณมากเลยน้าทุกคน ฉันจะวาดออกมาให้เต็มที่เลย!” มาการงชูสองนิ้วประกอบคำพูด ก่อนจะถูกเรียกตัวไปเมื่อถึงเวลาแข่ง
“พวกเราก็กลับกันเถอะ” พาเฟ่ต์พูด ฉันและซินนามอนพยักหน้า ก่อนจะเดินออกมาจากตึกศิลปะ และเดินกลับไปยังห้องเรียนของแต่ละคน
(ติดตามตอนต่อไป)
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 1502
ความคิดเห็น
ตอนที่ไมเสียนี่ใจหายแทนเลยนะเนี่ย
ส่วนความสัมพันระหว่างพาเฟ่กับโรสนี่ก็ยังดูคลุนเคลือ ต้องตามต่อ
ตอนนี้ยังลุ้นได้ไม่เต็มที่ เพราะไม่รู้ว่าใครจะได้คู่ใคร 55 ตัวแปลเยอะ
ดีใจที่มีคนตามนะคะ55ความสัมพันธ์ระหว่างพาเฟ่ต์กับโรสเหรอ?
อืมมม... ติดตามต่อไปเรื่อยๆ นะคะ
แสดงความคิดเห็น