STARCIN ภาคที่ 8 Freight ตอนที่ 12 เล่นลิ้น
ซึฮากิและเหล่าร่างโคลนช่วยกันตรวจสอบความเสียหายและจำนวนกองทัพศัตรูที่สังหารได้ ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้พวกเซนได้พักผ่อนส่วนแคทเทอรีนก็ไปนั่งปั้นน้ำแข็งต่อ
สภาพเรือยังปกติรวมทั้งเวทมนตร์ประทับที่ทำไว้ก็ยังใช้ไม่หมดด้วย ถึงจะชนะสงครามขนาดย่อม ๆ ได้ แต่ถ้าอีกฝั่งยังต้องการไล่ล่าพวกเราเดี๋ยวก็ต้องมีการปะทะกันอีกแน่ ๆ
“ยังทำงานอยู่เหรอ?” ฟรานเดินเข้ามาในห้องควบคุมอันเงียบสงัด
“อืม พยายามคิดหาวิธีอยู่ว่าต่อจากนี้จะทำยังไงดี ตอนนี้สองจิตสองใจว่าจะพยายามเจรจาอีกครั้งหรือทำสงครามยึดน่านน้ำนี้ให้มันจบ ๆ ไปเลย”
“ลองคุยกับท่านเคนอะไรนั่นอีกรอบดีไหม?”
“นั่นคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดและเราก็ต้องให้มนุษย์เงือกพวกนั้นลงไปส่งข่าวให้ คนที่เห็นว่าพวกเขามาญาติดีกับฝั่งเราฉันก็กำจัดไปแล้วเพราะฉะนั้นการลงไปที่ดินแดนคงไม่เป็นปัญหา ยกเว้นเคนจะสูญเสียอำนาจของตนเองไปแล้ว”
“ถ้างั้น...ฉันจะไปตามพวกเขาให้”
ฟรานวิ่งหน้าตั้งออกไปตามมนุษย์เงือกทั้งสามให้มาที่ห้องควบคุม ข้อความสั้น ๆ ที่พวกเขาได้รับก็คือขึ้นมาคุยกันอีกรอบ แม้มันจะดูไร้มารยาทแต่เพราะสถานการณ์อันเคร่งเครียดเหล่านี้ทำให้ซึฮากิต้องดำเนินการโดยเร็ว
10 มิถุนายน พ.ศ.2576
“พวกนายชนะจริง ๆ สินะ ฉันก็พอจะเดาได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนั้นแต่ไม่นึกเลยว่าจะสังหารจ้าวทะเลได้จริง ๆ” เคนนั่งตัวเปียกโชกขยับหนวดไปมาเหมือนสุนัขที่สะบัดหางเพราะดีใจ
“ตกลงที่จ้าวทะเลคนอื่นก้าวก่ายเข้ามาในเขตนี้ก็เพราะการประกาศสงครามจากเมอร์สินะ แล้วคิดยังไงถึงได้ให้ข้อเสนอแปลก ๆ แบบนั้นกับพวกเขาล่ะ? หรือก็แค่อยากยืมมือพวกเราในการกำจัดเสี้ยนหนามให้”
“ไม่เอาน่าฉันก็แค่อยากรู้ศักยภาพของพวกนายก็เท่านั้นเอง แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ...จ้าวทะเลเหล่านั้นมีฝีมือพอที่จะจมเรือพวกนายไหม?”
“เอาตรง ๆ คนที่ชื่อไคน่าจะเป็นปัญหาใหญ่สุดในสามคนนั้นเลย ความสามารถฟื้นฟูเหล่านั้นทำให้ต้องกำจัดให้แหลกเละจนไม่เหลือแกนกลางอีก แต่ถ้าแคทเทอรีนมีสติ...ตั้งใจกำจัดจริง ๆ ก็คงไม่เป็นปัญหานัก” ซึฮากิเหลือบมองแคทเทอรีนด้วยสายตาเย็นชาเล่นเอาเธอสะดุ้งตกใจและหันหน้าหนีทันที
“จริงสิ ฉันพอจะจำได้แล้วว่าเธอคือใคร...จักรพรรดินีทุ่งสีขาวผู้ปกครองอาณาจักรนอด ทำไมถึงมาอยู่กับคนที่เลเวลต่ำกว่าแบบนี้ล่ะ?” หนวดลื่น ๆ เหล่านั้นเคลื่อนผ่านทุกคนไปอยู่ตรงหน้าแคทเทอรีนและกระดิกไปมาเสมือนการทักทาย
“ไม่ต้องยุ่งเรื่องส่วนตัวจะได้ไหม” แคทเทอรีนถลึงตามอง พอเคนเห็นเช่นนั้นจึงยิ้มบางและเก็บหนวดกลับมาที่เดิม
“กลับเข้าเรื่องกันดีกว่า สรุปก็คือเดี๋ยวจ้าวทะเลคนอื่นก็จะมาเพื่อแย่งชิงอาณาเขตอยู่เรื่อย ๆ ดังนั้นสนธิสัญญาว่าด้วยการเดินเรือเพื่อค้าขายในน่านน้ำคงต้องเปลี่ยนกันสักหน่อย”
“ยังไงก็ได้ฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องการแย่งชิงอาณาเขตอยู่แล้ว” เขาพูดด้วยท่าทางผ่อนคลายสบายใจพลางหยิบของกินเข้าปากตลอดการประชุม
“ถ้างั้น...สิ่งที่จะเพิ่มลงไปในสนธิสัญญามีเพียงข้อเดียว พวกเราและพันธมิตรสามารถกำจัดผู้ที่ประสงค์ร้ายหรือมีแนวโน้มที่จะประสงค์ร้ายได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านการขออนุญาตจากใคร”
“แค่นั้นเหรอ? ทำตามใจไปเถอะจะเอาทหารของฉันมาร่วมด้วยไหมล่ะ?”
“ถ้ามีมนุษย์เงือกมาเปิดเส้นทางการเดินเรือให้ก็จะทำอะไรได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าเป็นเรื่องกำลังรบเราคงไม่อยากยืมมือคนอื่นนักหรอก ลำพังแค่พวกเราก็มีกำลังพอในการกำจัดจ้าวทะเลแล้ว”
“อืม ๆ ว่าแต่...มีอะไรกินอีกไหม?” เคนหยิบของว่างกินเรื่อย ๆ จนหมดโต๊ะและยังทำหน้าตาซื่อ ๆ มาขอของกินเพิ่มอีก
หลังจากจัดประชุมเสร็จพวกเซนก็แยกไปพักผ่อนซึ่งจะเหลือแค่เคน ซึฮากิและมนุษย์เงือกทั้งสามที่ยังนั่งอยู่ในห้องประชุมกับอาหารเต็มโต๊ะที่เคนหยิบกินไม่หยุดมือ
“นี่คุณกินไปขนาดนั้นยังไม่อิ่มอีกเหรอ?” ซึฮากิถาม
“ก็มันอร่อยนี่นา ปกติพวกเรากินแต่อาหารเดิม ๆ จนจะเบื่ออาหารตายก่อนโดนคนอื่นจัดการอีก”
“กิจัง ฉันมองเห็นฝั่งแล้ว” ฟรานเดินกลับมาบอกให้ทราบหลังจากออกเดินไปเล่นข้างนอกมา
“ถ้างั้นฉันจะสั่งการร่างโคลนแล้วนะ” ซึฮากิเดินไปที่ห้องควบคุมเพื่อนำเรือเข้าเทียบท่าซึ่งเคนก็ได้แอบมองจากด้านหลังประตูสงสัยระบบแปลก ๆ เหล่านั้น
หลังจากเอาเรือเทียบท่าสำเร็จเซนก็วิ่งออกมาเป็นคนแรกพร้อมกับยืดเส้นยืดสาย
“พื้นดิน !” หลังจากยืดเส้นเสร็จเขาก็ทิ้งตัวลงนอนบนพื้นทั้งอย่างนั้น
“พึ่งอาบน้ำมา ! แล้วก็มาเล่นเลอะอีกแล้ว” คานะเร่งฝีเท้ามาเพื่อเขกหัวสั่งสอนเซน
“ขอโทษครับคุณแม่...” คานะดึงหูเซนบังคับให้ลุกขึ้นแต่โดยดี
ขณะเดียวกันพวกมนุษย์เงือกก็ได้กวาดสายตามองวิวทิวทัศน์ของแผ่นดินใหญ่ที่ไม่เคยขึ้นมาเหยียบ ด้วยความสงสัยเคนจึงกระโดดจากเรือมาที่ฝั่งทำให้เศษดินเปรอะเปื้อนเหมือนหมึกคลุกฝุ่น
เรือจอดซะโล่งโจ้งเลย ถ้าพวกจ้าวทะเลบุกมาตอนเราไม่อยู่มีหวังเรือจมแน่ ๆ
ซึฮากิใช้หินสื่อสารติดต่อไปที่เมือง “ซึฮากิพูด ช่วยส่งหัวหน้างาน ช่างฝีมือและคนงานมาสิบคนที แล้วก็วัสดุสำหรับทำโรงจอดเรือซึ่งหัวหน้างานจะรู้อยู่แล้วว่าต้องใช้อะไรบ้าง”
“ครับคุณซึฮากิ แล้วก็...ถึงจะไม่ใช่เรื่องด่วนแต่ก็มีจดหมายจากอาณาจักรเซียมาด้วยครับ” โคตอบกลับน้ำเสียงดูไม่มั่นใจ
“อืม พวกเรากำลังจะกลับไปที่เมืองเร็ว ๆ นี้ พวกเซนอาจจะไปถึงก่อนเพราะฉันจะอยู่ควบคุมการสร้างโรงจอดเรือด้วย”
“รับทราบครับ...”
“เฮ้ย ๆ เจ้าแฟรงค์มันกลับมาแล้วนี่ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นมันก็เลยนึกว่าไปแอบอยู่ไหนสักที่อีก” เซนชี้นิ้วตะโกนลั่น
“ตอนที่มีการปะทะฉันให้มันออกไปสำรวจรอบ ๆ ที่อยู่ไกลกว่าคลื่นโซน่า กล้องส่องทางไกลหรือแม้แต่เวทมนตร์ตรวจจับก็ด้วย ส่วนพวกเครื่องบินก็ใช้สำหรับจู่โจมเลยไม่อยากแบ่งกำลังออกไปสำรวจที่อื่นสักเท่าไร”
“แหม ฉันก็อยากได้สัตว์เลี้ยงเก่ง ๆ แบบเจ้าแฟรงค์บ้างเหมือนกัน ถ้าเอาที่แบบขี่ได้หรือบินได้จะดีมากเลย”
“เจ้าปุยก็บินได้นะ” ฟรานอุ้มกระต่ายสีขาวขึ้นมาบนอ้อมอกและโยนมันขึ้นไปด้านบนเพื่อให้มันบิน
“แต่มันขี่ไม่ได้น่ะสิ”
“บินเองก็ได้ไม่ใช่หรือยังไง?” คานะกล่าวด้วยท่าทางหงุดหงิดมองค้อนใส่เซน
เซนหัวเราะเยาะก่อนจะกล่าวต่อ “อย่าน้อยใจไปเลยเดี๋ยวฉันพาเธอทัวร์เที่ยวบินนรกให้เอง...” พูดไม่ทันขาดคำคานะก็ชกหมัดเข้าปากจนเซนกระเด็นหน้าทิ่มดิน
“คนเขายิ่งหงุดหงิดอยู่จะมากวนประสาททำไมวะ !”
“ใจเย็น ๆ ก่อนสิ เอาไว้กลับเมืองเราไปเดินช้อปปิ้งกันดีกว่า” ฟรานกระโดดกอดจากด้านหลังพยายามลากตัวคานะออกไป
พอคานะออกไปเซนก็ดึงหัวตัวเองออกมาจากพื้นซึ่งเต็มไปด้วยดินและหนอนยั้วเยี้ย
“อะไรใครช้อปปิ้งนะ?”
ซึฮากิถึงกับถอนหายใจให้กับความบ้าบอของเซนที่ไม่เคยเปลี่ยนไปแม้จะแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหน
“ถึงจะเห็นพวกนายสองคนทะเลาะกันเป็นประจำอยู่แล้วก็เถอะ แต่พักหลังมานี้เหมือนคานะจะโกรธจริง ๆ นะ” ซึฮากิพาเซนเดินแยกออกมาเพื่อความเป็นส่วนตัว
“ฉันก็ไม่รู้ หรือว่าจะเป็นช่วงนั้นของเดือนมั้ง”
“อืม...ก็เป็นไปได้เพราะผู้หญิงมักจะมีอารมณ์แปรปรวนตอนเป็นช่วงนั้นของเดือน”
“แล้วฉันต้องทำยังไงเล่าหรือก็แค่อยู่เงียบ ๆ ไปเลยดีไหม?”
“อา...เอาเป็นว่าถ้าคานะอยากทำอะไรก็ตามใจไปก่อนเลย ถ้าเธออารมณ์ดีขึ้นเมื่อไรก็ค่อย ๆ คุยกัน”
“โอเค เอาตามนั้น”
หลังจากออกไปคุยกันเสร็จพวกเขาก็กลับมารวมกลุ่มอีกครั้ง
“ตกลงแล้ว...พวกคุณจะตามมาทั้งอย่างนี้เลยเหรอ?” ซึฮากิขมวดคิ้วถามพวกเคน
“ทำไมล่ะ? ในเมื่อนายทำสนธิสัญญาผูกมิตรกับเราแล้ว กะอีแค่การมาเยี่ยมเยือนคงไม่เป็นอะไรหรอก”
“ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นหรอกแต่ถ้าพวกคุณจะไปที่เมืองเราก็ต้องเตรียมน้ำทะเลไว้ด้วยสิ ถึงคุณเคนจะอยู่บนบกได้นานแต่สุดท้ายก็ต้องลงน้ำอยู่ดีโดยเฉพาะมนุษย์เงือกสามคนนั้นที่ต้องนอนติดอ่างน้ำตลอดเวลา”
“ไม่มีปัญหาหรอก” เคนใช้มานาดึงน้ำทะเลมาเก็บไว้ในรูปแบบลูกโป่งที่ลอยอยู่เหนือหัว ชายที่คนภายนอกเห็นแล้วสั่นกลัวกลับกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะกล่าวต่อ
“เดี๋ยวฉันเป็นคนเก็บน้ำไว้เอง ถ้าจะเติมเมื่อไรก็ค่อยบอก”
พวกเขาต่างก็เงยหน้ามองลูกโป่งน้ำขนาดยักษ์ที่มีขนาดพอ ๆ กับบ้านหลังหนึ่งพลางระแวงว่ามันจะหล่นใส่หัวเมื่อไร
“เอางั้นก็ได้...ถ้ามันไม่แตกกลางทางนะ”
หลังจากนั้นพวกฟรานก็พากันเดินทางกลับเมืองไปล่วงหน้าและเป็นไกด์พามนุษย์เงือกเดินเล่นไปด้วย สายตาของชาวเมืองต่างจับจ้องมายังคนแปลกหน้าแปลกเผ่า บางคนก็ปิดบ้านหนีเพราะรู้ว่าพวกนั้นคือเผ่าอะไรแต่บางคนก็เลือกที่จะเชื่อในตัวพวกเซน
“ฮัลโหล ! เด็ก ๆ อยู่กันไหมเอ่ย?” เซนตะโกนทักทันทีที่มาถึงบ้านหลักแต่ก็ไร้เสียงตอบรับ
“ถ้าเป็นคิโนริพวกเธอไปฝึกที่ดันเจี้ยนกันน่ะ คงจะใกล้กลับแล้วมั้ง” โคที่กำลังกลับมาพอดีจึงเปิดประตูบ้านให้ เขาพกจดหมายมาฉบับหนึ่งที่มีตราประทับของราชาโอบาเพื่อมาส่งให้ซึฮากิ
“ดีครับลุงโค” เซนยังคงทักทายอย่างเป็นกันเอง
“สวัสดีครับ แล้วก็ไม่ต้องเรียกลุงก็ได้นะครับ”
ขณะเดียวกันซึฮากิก็ยังทำหน้าที่คุมงานอยู่ที่ท่าเรือไม่ไปไหน คนงานทั้งเผ่าเอลฟ์และเผ่าคนแคระใช้เวทมนตร์ทุ่นแรงทำงานทำให้โรงจอดเรือสร้างได้อย่างรวดเร็ว
“ช่วงนี้คุณดู...จะว่ายังไงดีนะ ดูเข้ากับผู้คนได้ง่ายขึ้นนะครับ” หัวหน้างานกล่าว
“เหรอ...คงเพราะได้ทำงานกับคนอื่นบ่อย ๆ ก็เลยต้องปรับตัว จะว่าไปภรรยาของคุณเมนเดลพึ่งคลอดลูกนี่ครับ คุณสามารถลาพักได้นะถ้าอยากใช้เวลากับครอบครัว”
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณซึฮากิ พอทำงานเสร็จผมก็ได้กลับไปหาลูกเมียทุกวันอยู่แล้ว”
“นั่นสินะ อย่าลืมไปลงทะเบียนมีบุตรด้วยนะครับเพราะทางเราจะมีสวัสดิการให้ รวมทั้งได้เข้าเรียนโรงเรียนตั้งแต่สามขวบเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการในเรียนรู้และได้พบปะเพื่อน ๆ ด้วย”
“มีด้วยเหรอครับ ผมก็ไม่ค่อยได้อ่านรายละเอียดอะไรพวกนั้นเท่าไร ปกติพวกเราก็อยู่กันเองไม่มีระบบกลางอย่างที่คุณซึฮากิใช้หรอกครับ”
“เหรอครับ แล้วถ้าผมจะขยายเมืองและควบรวมกับเมืองของเผ่าอื่นด้วยคิดว่าดีไหมครับ?”
“ถ้าเป็นเผ่าคนแคระคงไม่มีปัญหาหรอก ก่อนมาอยู่ที่นี่พวกโกนก็เอาแต่พูดเรื่องคุณซึฮากิทั้งวันเลยโดยเฉพาะเครื่องไม้เครื่องมือแปลก ๆ ที่ได้ลองใช้แล้วติดใจกันหมด”
“สงสัยต้องส่งร่างโคลนไปเจรจาสักหน่อย ยังไงก็ต้องสร้างโรงเรียนกลางอยู่แล้วเดี๋ยวก็ต้องทำถนนเชื่อมทุก ๆ เมืองเพื่อให้เดินทางสะดวก แต่ตอนนี้ยังไม่มีงบและทรัพยากรมากพอดังนั้นการควบรวมอาณาเขตของเผ่าอื่นก็ดูเป็นทางเลือกที่ดีกว่า”
“ถ้าจะทำอย่างนั้นอย่างน้อยก็ต้องมีการประชุมกับคุณวาเลี่ยมที่มีอาณาเขตมากที่สุดด้วย ตั้งแต่ที่ผ่านช่วงสงครามมาได้ปกติพวกเราก็จะต่างคนต่างอยู่มากกว่า”
“อืม หวังว่าจะเป็นไปได้ด้วยดีนะ”
หลังจากนั้นสิบชั่วโมงโรงจอดเรือก็สร้างเสร็จเสียที เหล่าคนงานเดินทางกลับกันทันทีเหลือเพียงแค่ร่างโคลนของซึฮากิที่ทำหน้าที่ขับเรือเข้าโรงจอดเรือและเป็นเจ้าหน้าที่สังกัดโรงจอดเรือไปในตัว
“กลับมาแล้ว” ซึฮากิยืนคอยอยู่หน้าประตูบ้านที่มืดสนิท ทั้ง ๆ ที่เซนก็อยู่แต่ในบ้านกลับเงียบสงบมันยิ่งน่าแปลกใจเข้าไปใหญ่
ก็อยู่กันนี่นาแถมยังกำลังรวมตัวทำอะไรสักอย่างอีก สงสัยจะอยากเล่นอะไรแผลง ๆ อีกแล้วสินะ ซึฮากิใช้เวทมนตร์ตรวจจับเห็นสัญญาณชีพและออร่ามานาอัดแน่นกันอยู่หลังประตู
“สงสัยจะไม่อยู่กัน” เขาแกล้งพูดลอย ๆ และเปิดประตูเข้าไปโดยที่ด้านหลังประตูมีพวกเซนเตรียมกระโจนหลอกให้ตกใจ
วินาทีที่พวกเขากำลังจะกระโดดออกมาหลอกซึฮากิก็หายไปเสียก่อน ขณะที่กำลังมึนงงก็มีใครบางคนสะกิดจากด้านหลัง
“สนุกกันไหม?” เสียงเบา ๆ ที่เหมือนพูดอยู่ข้างหูทำเอาพวกเซนสะดุ้งตกใจไปตาม ๆ กัน
“เฮ้ย ! นี่นายทำไปได้ยังไงวะ”
“ก็แค่ใช้ร่างโคลนเปิดประตูและทำให้สลายไปทันที ส่วนฉันก็เข้าทางหน้าต่างข้าง ๆ เนี่ยแหละ”
“โห่...มีเวทมนตร์ตรวจจับเลยเล่นจ๊ะเอ๋ไม่ได้เลย”
“ใช่ ๆ” คิโนริเองก็พยักหน้ารัว ๆ เห็นด้วย
“พวกคิโนริก็พอว่าอยู่ แต่นายไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะเซน” ซึฮากิถอนหายใจสั้น ๆ กล่าว
“โธ่...ดูฉันสิกิ ฉันเป็นเพียงหนุ่มน้อยวัยใสเองนะ” สีหน้าแววตาออดอ้อนเหมือนสาวน้อยในหนังทำให้คนอื่นขนลุกไปทั้งตัว
“คนเขาจะอ้วกกันหมดแล้วเนี่ย” คานะดึงหูและลากตัวเซนกลับห้องไปสองคน
“ขอโทษครับ...”
เสียงหัวเราะลั่นจากเคนทำให้ทุกสายตาจับจ้องไปที่เขา “พวกชาวแผ่นดินชอบทำอะไรแบบนี้สินะ” เนื้อตัวเปียก ๆ ของเขาทำให้บ้านเละเทะไปหมดจนต้องถูพื้นทุก ๆ นาที
“ถ้าคุณอยู่ที่นี่แล้วลูกโป่งน้ำที่เก็บไว้ล่ะ?”
“อ้อ ฉันใส่ไว้ในถังหลังบ้านแล้ว ตอนขามามีแต่คนมองเต็มไปหมดเลยนะจะบอกให้”
“อืม...พวกคุณหาห้องพักกันได้เลย ยังไงวันนี้ผมขอไปพักผ่อนก่อนนะครับ”
11 มิถุนายน พ.ศ.2576
ซึฮากิตื่นขึ้นมาเห็นฟรานนั่งรออยู่ข้าง ๆ เหมือนมาเฝ้าไข้ไม่มีผิด
“มีอะไรเหรอ?”
“นี่เป็นจดหมายจากราชาโอบาซึ่งมีการจ่าหน้าซองถึงเราทั้งสองคน” ฟรานยื่นจดหมายให้แต่พอซึฮากิจะหยิบเธอก็ดึงกลับไปก่อน
“ไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนเถอะ” รอยยิ้มยียวนที่เหมือนกวนประสาทแต่กลับดูขี้เล่นไม่น่ารำคาญอย่างที่คิด
ซึฮากิลุกขึ้นไปเตรียมเสื้อผ้าพร้อมอาบน้ำและยังถอดเสื้อผ้าทั้ง ๆ ที่ฟรานก็ยังอยู่ในห้อง
“นี่นายออกกำลังกายมาตลอดเลยสินะ ตอนนั้นที่เราอยู่ด้วยกันนายก็เป็นคนสอนฉันออกกำลังกายด้วยเหมือนกัน แต่พอไปอยู่กับพ่อแม่ใหม่เขาก็ไม่ค่อยชอบสักเท่าไร” ฟรานกวาดสายตามองเรือนร่างหนา ๆ ของซึฮากิที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแต่หากใส่เสื้อก็ยังซ่อนรูปได้ไม่เหมือนพวกนักเพาะกาย
“คนเราจำเป็นต้องออกกำลังกายเพื่อพัฒนาร่างกายไว้ตลอด ถ้าไม่เพื่อความแข็งแกร่งก็เพื่อช่วยชะลอหรือยืดอายุของอวัยวะสำคัญ ๆ หลายอย่าง” พูดจบเขาก็เข้าห้องน้ำไปอาบน้ำอย่างสบายใจเหมือนอยู่กับเพื่อนสนิทไม่อายเลยแม้แต่น้อย
พออาบน้ำเสร็จซึฮากิก็มานั่งลงข้าง ๆ เพื่อรออ่านจดหมาย
“ก่อนอื่น...นายรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าฉันเข้ามาในห้อง แล้วทำไมถึงยังหลับต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยล่ะ?” ฟรานยิ้มอย่างมีเลศนัยยื่นหน้าเข้าประชิดเพื่อมองเข้าไปในดวงตาแสนเย็นชาดวงนั้น
“อืม เพราะเธอไม่เป็นอันตรายกับฉัน ฉันก็เลยไม่จำเป็นต้องไล่หรือทำอะไร”
“แหม...คำตอบยังคงตรงไปตรงมาไม่เปลี่ยนเลยนะ ถ้างั้นมาเปิดจดหมายกันดีกว่า”
พวกเขานั่งอ่านจดหมายด้วยกันซึ่งมีเนื้อหาเรียกตัวอาจารย์ซึฮากิและผู้กล้าฟรานกลับมาที่แอสต้า เนื่องจากจะมีการคัดสรรสวรรค์ในอีกหกเดือนข้างหน้าจึงอยากให้บุคลากรผู้มีความสามารถมาเตรียมตัวให้พร้อม
“นัดล่วงหน้าหกเดือนเลยเนี่ยนะ?”
“สงสัยจะเป็นเรื่องสำคัญน่าดูเลย” ฟรานพลิกจดหมายไปมาเผื่อจะมีข้อความลับซ่อนอยู่แต่ก็ไม่เจออะไรเลย
“การคัดสรรสวรรค์จะจัดขึ้นทุก ๆ สองปี พวกนักบวชจากวิหารศักดิ์สิทธิ์จะเดินทางไปทั่วทุกอาณาจักรเพื่อเฟ้นหาผู้มีความสามารถเข้าไปอยู่ที่นั่น”
“มันน่าไปอยู่ขนาดนั้นเลยหรือยังไงถึงได้ต้องกระตือรือร้นขนาดนี้”
“ฉันก็ไม่รู้ ข้อมูลที่มีมันน้อยมากเพราะที่นั่นมีกฎห้ามนำข้อมูลภายในออกมาด้านนอกเด็ดขาด จะบอกว่าเป็นเมืองที่ตัดขาดกับโลกภายนอกเลยก็ว่าได้ถ้าไม่นับเรื่องการคัดสรรสวรรค์”
“ฉันจะให้กิจังตัดสินใจแล้วกัน” ระหว่างที่ก้มมองจดหมายเธอก็ปัดผมตรงหน้าขึ้นมาทัดหูพร้อมกับเหลือบมองหน้าซึฮากิด้วยสายตาออดอ้อนและส่งยิ้มอันอ่อนหวานให้
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูขัดจังหวะ
“กิ ! วันนี้ตื่นสายหรือยังไง? ปกตินายต้องลุกขึ้นมาทำงานแล้วนี่” ซีโร่ตะโกนเรียกอยู่หลังประตูทำให้ฟรานขมวดคิ้วเคือง
“เขาตื่นแล้วย่ะ” ฟรานเปิดประตูพรวดพราดออกมาเกือบโดนหน้าซีโร่
“อ้อ...เป็นอย่างนี้นี่เอง” เธอยิ้มอย่างมีเลศนัยและยังยักคิ้วกวนประสาทอีก
“ไม่ต้องมาอ้อเลยเธอจงใจใช่ไหม?” ฟรานจ้องตาเขม็งถาม
“เปล่าซะหน่อย” ซีโร่ยังคงยักไหล่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“เอาล่ะ ๆ เลิกทะเลาะกันได้แล้ว ฉันจะไปหาอะไรใส่ท้องแล้วก็จะไปทำงานต่อ” ซึฮากิเดินแหวกกลางทั้งสองคนแล้วเดินจากไปทันที
ทั้งบ้านมีแค่ซึฮากิที่ออกไปทำงานขณะที่พวกเซนกำลังสนุกกับเพื่อนใหม่ พออากาศเริ่มเย็นพวกเขาก็พากันออกไปเดินเล่นรอบเมืองและแวะไปที่ตลาดซึ่งมีของกินแปลกหน้าหลายอย่างทำให้เคนและมนุษย์เงือกทั้งสามน้ำลายไหลไม่พัก
“หมูกระทะนี่ ! ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นที่โลกนี้” เซนวิ่งแจ้นไปก่อนใครไปที่ร้านอาหารที่มีการใช้กระทะย่างหมูเหมือนกับร้านในโลกเดิมไม่มีผิด
“นี่ลุง ! ลุงไปได้ไอเดียนี้มาจากไหน?” เซนเดินเข้าไปหาถึงที่ขณะที่เพื่อน ๆ นั่งรอที่โต๊ะเฉย ๆ
“อ้อ ! คุณเซนนี่เอง ตอนผมไปดูกิจกรรมสอนงานที่คุณซึฮากิจัดก็มีธุรกิจอันนี้ด้วย เขาบอกว่าทำยากแต่ในอนาคตจะเป็นที่นิยมผมก็เลยอยากลองดู” เอลฟ์หนุ่มเจ้าของร้านกล่าวอย่างเป็นมิตรยิ้มเขินเล็กน้อย
“แจ๋วเลย ๆ ผมไม่ได้กินหมูกระทะมานานแล้วเหมือนกัน”
พวกเขาเลือกโต๊ะใหญ่สุดเพราะเหล่ามนุษย์เงือกทั้งสามต้องอยู่ในอ่างน้ำและเคนก็ตัวใหญ่กว่าชาวบ้านเขาด้วย
“ขอหมึกสิบที่เลย...นายจะขยะแขยงไหมที่ฉันกินหมึก” เซนเหลือบมองเคนที่อ่านภาษาของที่นี่ไม่ได้จึงทำได้แค่รอ
“เอาเลย ปกติพวกเราก็กินพวกมันอยู่แล้วถ้าไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน”
“ตะ...แต่มันก็คือหมึกเหมือนนายเลยนะ”
“ไม่เหมือน ๆ มันก็แค่หมึกโง่ ๆ ไม่ใช่นายพันชั้นสูงแบบฉันหรอก ไม่เชื่อก็ไปถามเทพเจ้าได้เลย”
“อืม...ถ้างั้นก็สั่งมาให้เต็มที่เลย”
สุดท้ายพวกเขาก็กินกันจนตะวันตกดินเพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารอันแสนคิดถึงรวมทั้งเหล้าเบียร์ที่สั่งมาดื่มอย่างสบายใจ
13 มิถุนายน พ.ศ.2576
ที่ท่าเรือตรวจพบสัญญาณสิ่งมีชีวิตที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว เหล่าร่างโคลนรายงานไปยังซึฮากิแต่สิ่งมีชีวิตนั้นก็พุ่งขึ้นมาบนบกก่อน
“ฉันมาเพื่อคุยกับเจ้าของเรือลำนี้” เธอประกาศกร้าวและยืนนิ่งอยู่ริมทะเลไม่ไปไหน
“เธอเป็นใคร?” ร่างโคลนถาม
“ฉันคือจ้าวทะเลผู้มีนามว่าริน ฉันจะรออยู่ตรงนี้และสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายใคร”
รินหนึ่งในจ้าวทะเลที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ พวกเราที่เป็นแค่ร่างโคลนไม่มีทางทำอะไรเธอได้แน่ แต่อย่างน้อยสิ่งที่เธอกล่าวเมื่อกี้ก็น่าจะไม่โกหก
พวกเขาติดต่อกับซึฮากิและอธิบายเรื่องราวให้ฟังจึงลดความตึงเครียดลงได้ส่วนหนึ่ง ไม่นานเกินรอซึฮากิและพวกพ้องก็เดินทางมาถึงซึ่งมีเคนขมวดคิ้วสงสัยว่ารินขึ้นมาทำอะไรบนบก
“ฉันต้องการคุยกับคนที่ฆ่าปู่สัน”
“ฉันเอง” ซึฮากิตอบกลับทันทีและยังเดินเข้าประชิดโดยไม่แสดงท่าทีเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
ทั้งสองจ้องมองหน้าเพื่อดูปฏิกิริยาของกันและกันว่าใครจะแสดงท่าทีเกรงกลัวออกมาก่อน
“ฉันมาเพื่อคุยสองเรื่อง เรื่องแรกทำไมพวกชาวแผ่นดินถึงกล้าละเมิดสัญญา”
“พวกคุณก็ละเมิดเหมือนกันนี่?”
รินสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับ “อย่ามากล่าวหาไร้สาระ ฉันเป็นคนเริ่มการทำสนธิสัญญาเพราะเกลียดพวกแก...โดยเฉพาะการกระทำของพวกแก นายก็ด้วยเคนทำไมถึงกล้าละเมิดสัญญาที่จ้าวทะเลทุกคนให้การยอมรับแบบนี้”
“ก็มันน่าเบื่อนี่” แค่คำตอบสั้น ๆ มันก็ทำให้รินถอนหายใจส่ายหน้า
“ในเมื่อนายยืนยันคำนั้นฉันก็จะประกาศสงครามแบบเต็มตัว ต่อจากนี้อาณาเขตของนายจะไม่มีวันได้อยู่อย่างสุขสบายจนกว่าจะมาอยู่ในมือของฉัน”
“พล่ามอะไรไร้สาระไปเรื่อย จริง ๆ ก็อยากยึดอาณาเขตนี้อยู่แล้วนี่” ซึฮากิกล่าว
“เหอะ ตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้วทำไมนายถึงทำตัวเหมือนรู้ดีไปหมดเลยนะ?”
“หรือจะเถียงว่าไม่จริง?”
รินถึงกับพูดไม่ออกเพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่ถูกต้อนจนจนมุมด้วยคำพูด
“ฉันไม่สนใจคำพูดไร้สาระอะไรพวกนั้นหรอก และเรื่องที่สองก็คือปู่สันได้สั่งเสียอะไรไว้ไหม?”
“ไม่ เขาตายโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำเพราะผมระเบิดสมองของเขาก่อนได้ตอบโต้เสียอีก”
รินกัดฟันและกำมือแน่น
“เหรอ...ที่ฉันจะพูดก็มีแค่นี้แหละ ครั้งหน้าที่พวกนายลงน้ำฉันก็จะจมเรือของพวกนายเอง” พูดจบเธอก็จากไปโดยไม่ได้มีการใช้กำลังเลยสักนิด มีเพียงแรงกดดันจากคำพูดอันองอาจและแววตามองค้อนไม่พักเท่านั้น
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 120
แสดงความคิดเห็น