บทที่ 2 เพื่อนคนแรก
กิจกรรมการรับน้องก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ จบสิ้นสุดวัน ทิวากลับมานอนแผ่หลาลงบนเตียงที่ห้องด้วยสภาพอิดโรย เพราะเหนื่อยกับกิจกรรมรับน้องวันนี้มากทิวาจับตรงข้อมือของตัวเองที่ถูกผูกติดมัดกับเพื่อนคนใหม่ทั้งวัน เธอคิดว่าให้เธอนั่งอ่านหนังสือเป็นยี่สิบชั่วโมงต่อกันยังไม่เหนื่อยเท่านี้เลย แต่ทิวาก็รู้สึกว่ากิจกรรมวันนี้ดีจริง ๆ เพราะมันทำให้เธอได้เพื่อนใหม่ ‘เพื่อนคนแรก’ ในรั้วมหาวิทยาลัย บัดดี้ที่ถูกจับมัดให้ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ ไม่ว่าจะไปทำกิจกรรมอะไรก็ต้องทำด้วยกัน จนทำให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มจำเธอและเพทายได้ เพราะไม่รู้ว่าจะขำหรือสงสารดีที่ถูกมัดติดกันแบบนั้น เล่นเกมก็ลากกันไปลากกันมาก ดูแล้วก็ดูทุลักทุเลน่าดู
...พักเที่ยง...
“นายเรียนคณะอะไรหรอ”
“บริหารฯ ”
“เฮ้ย จริงดิ เราก็อยู่บริหารสาขาอะไรหรอ”
“การตลาด”
“เราก็การตลาด” ทิวาทำตาโต รู้ว่าเรียนคณะบริหารธุรกิจก็ดีใจแล้ว ยิ่งรู้ว่าเรียนคณะเดียวกันอีกยิ่งอยากจะกระโดดขึ้นเพื่อแสดงความดีใจ เพราะเรียนเหมือนกันแบบนี้ก็มีโอกาสที่จะเป็นเพื่อนกันได้ยาว ๆ ในอนาคต
“หรอบังเอิญจังเลยนะ ว่าแต่มึงเข้ามารอบไหนอ่ะ” เพทายใช้คำเรียกทิวาว่ามึงเพราะพอรู้ว่าเรียนคณะ สาขาเดียวกันก็แสดงว่าคงต้องมีโอกาสได้เจอกันบ่อย ๆ ในอนาคต เขาไม่เคยใช้คำเรียกเพื่อนว่า เธอ หรือแทนตัวเองว่าเรา มันรู้สึกกระดากปาก แล้วถ้าต้องอยู่ด้วยกันบ่อย ๆ สักวันนึงก็ต้องเผลอพูด กูมึงแน่ ดังนั้น ก็พูดมันตั้งแต่ตอนนี้แหละ จะได้สนิทกันง่ายขึ้นด้วย
“อะ อ้อ ระ ...กะ ...เราสอบชิงทุนได้อ่ะ” ทิวาตอบตะกุกตะกัก พอได้ยินคำแทนตัวเองของเพทายก็รู้สึกสตั้นนิดหน่อย เลยพานไม่รู้ว่าจะต้องใช้คำแทนตัวเองว่าอะไร แต่ก็ใช้เราไปเพราะคำว่ากู มันไม่ยอมหลุดออกจากปาก ทิวาไม่ได้เป็นคนเรียบร้อย แต่ปกติทิวาไม่ได้พูดกูมึงกับเพื่อน เลยรู้สึกเก้อๆ กังๆ ที่จะพูด เพทายเห็นทิวาพูดตะกุกตะกักก็รู้สึกขำนิดหน่อย
“ไม่ต้องแทนตัวเองว่าเราหรอก พูดกูมึงไปเลย เพราะเรียนสาขาเดียวกัน ยังไงก็ต้องเจอกันบ่อย ๆ จะได้สนิทกันง่ายขึ้นด้วยไง” ทิวายิ้มแห้งให้แต่ก็พยักหน้ารับ เพราะเธอก็เป็นเหมือนกับกิ้งก่าที่พร้อมจะปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์อยู่แล้ว แล้วอีกอย่างเขาบอกว่าถ้าพูดแล้วจะสนิทกันง่ายขึ้นด้วย ซึ่งก็ตรงกับความคิดของทิวาที่อยากหาเพื่อนให้ได้สักคนก่อนเข้าเรียน จะได้ไม่ดูเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบนั่งเหงา ๆ ในห้องเรียน เพราะไม่รู้จักใคร
“แต่มึงสอบชิงทุนได้นี่คงจะเรียนเก่งใช่ย่อยเลยอ่ะดิ เพราะที่นี่ไม่ว่าใครก็อยากมาเรียน โดยเฉพาะได้เรียนฟรีแล้วด้วย คู่แข่งคงจะเยอะน่าดู” เพทายพูดต่อ
“อืม คงเป็นเพราะอ่านหนังสือเตรียมตัวเยอะมากกว่าอ่ะ ระ ...กูไม่ได้เป็นคนหัวดีอะไรหรอก” ทิวาตอบตามความจริง เกือบเผลอพูดแทนตัวเองว่าเราออกมา
“งั้น มึงก็คงจะขยันมาก ๆ ” เพราะจริง ๆ ถึงจะเรียนเก่งแต่ก็ใช่ว่าจะสอบชิงทุนกันได้ง่าย ๆ เพราะคนอื่นก็เก่งเหมือนกัน แต่ทิวาบอกว่าเธอไม่ได้หัวดี ถ้าเธอไม่ได้ถ่อมตัวก็แสดงว่าต้องขยันอ่านหนังสือมากจริง ๆ ทิวายิ้มรับคำพูดของเพทาย
เพทายมองดูทิวาที่ใช้ตะเกียบคีบเส้นอย่างทุลักทุเลก็รู้สึกหงุดจึงเลื่อนมือไปแก้ปมผ้าที่ผูกแขนทั้งสองคนติดกันอยู่
“เฮ้ย จะทำอะไรอ่ะ” ทิวาท้วงเมื่อเห็นว่าเพทายกำลังแก้ปมผ้าที่ผูกมือทั้งสองคนอยู่ เธอกลัวถูกทำโทษตามคำที่พี่เลี้ยงน้องใหม่ขู่ไว้
“ก็มึงถนัดขวาไม่ใช่หรอ ย้ายข้างผูกแปปเดียวพี่เค้าไม่รู้หรอกน่า” เพทายมองดูทิวามาซักพักแล้วเธอพยายามใช้ตะเกียบคีบเส้นผัดไทยมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่ได้สักที ก็ทำให้คิดได้ว่าเธอคงถนัดขวา แล้วมือขวาเธอก็ถูกมัดอยู่กับมือซ้ายของเค้าอยู่ พอแก้ปมผ้าเสร็จเพทายก็ถือกล่องข้าวของตัวเองย้ายมานั่งอีกฝั่งของเพทาย
“อ่ะ มึงช่วยกูมัดด้วย” เพทายบอกเมื่อเห็นว่าทิวายังนั่งอยู่เฉย ๆ
“แต่มึงก็ถนัดขวาไม่ใช่หรอ” ทิวาเดา เพราะคนส่วนมากถนัดขวา แต่ก็ใช้มืออีกข้างช่วยเพทายมัดปมผ้า
“ไม่เป็นไรหรอกของกูเป็นข้าว ใช้ช้อนมันง่ายกว่าใช้ตะเกียบ” เพทายตอบแบบไม่ใส่ใจ แต่ทิวาก็แอบอมยิ้มไม่คิดว่าเขาจะใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ ตาก็ลอบมองเพทายไปด้วย เพทายเป็นผู้ชายตัวไม่สูงมาก ทิวาเดาว่าน่าจะร้อยเจ็ดสิบห้า ร้อยเจ็ดสิบหกเซนติเมตรได้ ผิวขาวอมชมพูเป็นธรรมชาติ ทิวาคิดว่าผู้หญิงหลายคนที่กินยาที่ช่วยให้ขาวพวกนั้น ถ้าได้มาเห็นผิวพรรณของเพทายคงจะตาร้อนผ่าวเพราะอิจฉาผิวพรรณที่สายงามที่ได้มาจากธรรมชาตินี้ หน้าตาก็เกลี้ยงเกลา แล้วก็ปากเล็ก ๆ อมชมพูนั่นอีก เขา ‘น่ารักมาก’ ทิวาคิดในใจ
“….ขอบใจนะ” ทิวาพูดจากใจจริง ส่งยิ้มอ่อนให้เพทาย
หลังจากนั้นพวกเขาก็กินอาหารและพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว เรื่องเรียน และเรื่องในมหาวิทยาลัยจนหมดช่วงพักเที่ยงก็พากันเข้ากิจกรรมรับน้องใหม่ต่อ
พอทิวาคิดถึงตรงนี้ทิวาก็ผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ตื้ด ตื้ด ตื้ด ตื้ด ตื้ด ตื้ด ตื้ด ตื้ด ตื้ด ตื้ด
เสียงโทรศัพท์สั่นขึ้นจากสายเรียกเข้า เพราะตั้งระบบสั่นไว้ ทิวางัวเงียตื่นขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์แอนดรอยด์เครื่องเก่าที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงขึ้นมา โทรศัพท์ราคาไม่กี่พันเครื่องนี้เธอเก็บเงินซื้อเองตั้งแต่อยู่มอสี่ จากการรับสอนพิเศษให้เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาในโรงเรียนเก่า ถ้าเป็นโรงเรียนแถวบ้านคงไม่มีผู้ปกครองคนไหนมีเงินจ้างให้เธอสอนพิเศษ แต่ทิวาเรียนอยู่ที่โรงเรียนที่มีชื่อเสียงระดับจังหวัดในตัวจังหวัด ที่มีลูกคุณหนูแถบนั้นมาเรียนเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ทิวาพอจะมีรายได้ไว้ใช้จ่ายในช่วงมัธยม ซึ่งการที่เธอเข้ามาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ได้ก็เพราะเธอสอบชิงทุนได้อีกนั่นแหละ
เมื่อเห็นชื่อของสายเรียกเข้าเข้าทิวาก็ยิ้มแก้มปริ กดรับสายอย่างอารมณ์ดี
“ฮือ กำลังคิดฮอดอยู่พอดีเลยจ้าแม่จ๋าาา” ทิวาพูดกับปลายสายด้วยภาษาอีสาน น้ำเสียงหวานหยดย้อย
“เป็นจังได๋ เรียนมื้อแรกยากบ่” ปลายสายได้ยินเสียงแสนหวานของลูกสาวก็อดยิ้มไม่ได้ เดาได้ว่าวันนี้คงผ่านไปได้ด้วยดีสำหรับทิวา แม่ทิวามักจะบอกทิวาเสมอว่าให้ตั้งใจเรียนหนังสือ เพราะวันข้างหน้าจะทำให้มีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากกว่าคนอื่น แม่ทิวาไม่ได้เป็นคนที่มีความรู้สูง จึงทำได้แค่ทำไร่ ทำสวน ทำงานที่ใช้แรงงานแค่นี้ เธอไม่อยากให้ลูกของเธอต้องลำบากเหมือนเธอ ดังนั้น จึงเคี้ยวเข็ญให้ทิวาเป็นเด็กรักการเรียนตั้งแต่ยังเด็ก และเธอก็แอบภูมิใจในตัวของลูกสาวคนนี้อยู่ไม่ใช่น้อย เพราะทิวาเรียนด้วยเงินทุนตั้งแต่อยู่มัธยมแถมยังทำงานสอนพิเศษไปด้วยทำให้แม่ทิวาไม่เคยได้ควักเงินเพื่อให้ลูกเรียนเลย มีหลายครั้งที่ทิวาได้ช่วยออกเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้านด้วยซ้ำ
“มื้อนี้ยังบ่ได้เรียนจ้า มีแต่กิจกรรมรับน้องเริ่มเรียนวันจัทร์พุ้นแหละ”
“แล้วเป็นจังได๋กิจกรรมรับน้องม่วนบ่”
“จะว่าม่วนก็ม่วนจ๊ะแม่ แต่วาว่าเหนื่อยมากกว่า อ้อ มื้อนี้วาได้เพื่อนใหม่พ้อมเด้”
“เบาะ เป็นจังได๋ เป็นตาดีบ่”
“กะน่ารักดีจ้า เป็นผู้ชาย เขาเป็นทายาทธุรกิจโรงแรมห้าดาวตั้งหลายแห่ง หาววว” ทิวาอวดเพื่อนใหม่พร้อมกับอาการหาวที่ยังรู้สึกนอนไม่พอ ก็เมื่อวานเธอตื่นเต้นที่จะได้ร่วม กิจกรรมรับน้องจนนอนไม่ไหลับ
“กะดีแล้วที่มีหมู่ใหม่เร็วขนาดนี้ แล้วนี่หาวแบบนี้เมื่อคืนนอนบ่หลับแม่นบ่” สิ่งหนึ่งที่แม่ทิวารู้สึกเป็นห่วงลูกสาวก็คือกลัวว่าทิวาไปเรียนตัวคนเดียวไกลบ้านขนาดนี้แล้วจะเหงา แต่ก็ไม่ลืมถามถึงอาการหาวของลูกสาวอย่างรู้ใจ
“กะมันตื่นเต้นแหมะแม่” ทิวาตอบอย่างจนใจกับคนรู้ทัน
“แล้วภาคินัยเป็นจังได๋”
“สบายดีจ้าตอนนี้ภาคินัยนอนแอ้งแม้งอยู่ในกระเป๋ายังบ่เอาออกมาเบิ่งเลย” ภาคินัยเป็นชื่อของโน๊ตบุ้คที่แม่ซื้อเซอร์ไพรส์ก่อนมาเรียน ซึ่งทิวาเองก็ดีใจมากตอนแรกว่าจะเอาเงินเก็บบวกกับเงินทุนที่ได้ไปซื้อ เพราะโน๊ตบุ้คเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ในมหาวิทยาลัย แม่ทิวาบอกว่าต้องเก็บเงินเป็นปีเพื่อซื้อให้เป็นของขวัญให้ลูกสาวที่สอบชิงทุนของมหาวิทยาลัยได้ และยังตั้งชื่อให้ด้วยว่าภาคินัย เล่นเอาทิวารู้สึกตาร้อนผ่าวเพราะอิจฉาเจ้าภาคินัยขึ้นมา
“ดูแลภาคินัยดี ๆ ล่ะ เสียสละค่าขนมจะของไปซื้อให้เลยเดะนั้น แล้วนี่กินข้าวกินน้ำหรือยัง”
“แหะ ๆ ตั้งแต่กลับมากะมานอนแอ้งแม้งอยู่เทิ่งเตียงยังบ่ได้ลุกไปไสเลย” ทิวาไม่รู้ว่าเธอหลับไปนานแค่ไหน
“ถ้าจังซั่นกะไปหากินข้าว อาบน้ำ นอนซะเด้อ เดี๋ยวจะดึกก่อน”
“จ้าาา แม่จ๋า” ทิวารู้ว่าทิวาไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของแม่ แต่แม่บอกทิวาว่าสำหรับแม่แล้วทิวาก็เป็นเหมือนกับของขวัญที่ได้มาจากผู้ชายคนนั้น แม่ไม่ยอมแต่งงานใหม่เพราะกลัวว่าผู้ชายที่แต่งงานด้วยจะไม่รักทิวา แล้วถ้าแต่งงานใหม่จริงแล้วมีลูกด้วยกันมันจะทำให้ทิวาเป็นหมาหัวเน่า แม่จึงไม่ยอมแต่งงานใหม่ กลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวจนถึงทุกวันนี้ และถึงแม้ว่าทิวาจะเกิดจากความไม่ตั้งใจของแม่ แต่แม่ก็รักทิวามาก เพราะครอบครัวเรามีกันแค่สองคน การที่ทิวามาเรียนไกลขนาดนี้ก็อดที่จะเป็นห่วงแม่ที่อยู่คนเดียวไม่ได้ แต่แม่กลับบอกว่าไม่มีทิวาแม่จะได้สบายหูมากขึ้นซะงั้น
ความจริงที่ทิวาเลือกเรียนคณะนี้เพราะคิดเอาไว้ว่าอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เพื่อจะได้หาเงินได้เยอะ ๆ ครอบครัวของเธอจะได้สบายสักที ทิวาเห็นแม่ทำงานหนักตั้งแต่ยังเด็กเธออยากให้แม่ได้พักบ้าง ตอนแรกแม่อยากให้ทิวาเรียนหมอแต่ทิวาคิดว่าหมอเป็นอาชีพที่ไม่ค่อยจะมีเวลาว่าง เธออยากจะมีเวลาอยู่กับแม่จึงไม่เรียนหมอ เธอเลือกเรียนบริหารธุรกิจเพราะคิดว่าวันนึงจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง จริงอยู่การทำธุรกิจในช่วงแรกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อวันหนึ่งธุรกิจอยู่ตัวแล้วจะทำให้ทิวามีเวลาอยู่กับแม่มากขึ้น เธอจึงเลือกเรียนคณะนี้
******************************
ถ้ามีศัพท์ภาษาอีสานคำไหนที่ไม่เข้าใจถามได้เลยนะคะ เดี๋ยวมาตอบให้
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 975
ความคิดเห็น
พอได้ยินทิวาพูดออกมาเป็นภาษาอีสาน ทำเอาสะดุ้งเพราะเกินความคาดหมายกันเลยทีเดียว 55+
5555+
แสดงความคิดเห็น