Element King (My Hero Academia-Realm of Tales AU) บทที่ 10 วีรกรรมของอิซึคุ
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่วิลเลินที่มีอัตลักณ์ทำให้ร่างกายเป็นโคลนเหนียวออกอาละวาด มันจะจับพวกเด็ก ๆ มาดูดพลังชีวิต แต่ยังไงซะ สามไร้เทียมทานอย่างผม อลัน และโทชิโนริ ก็ต้องเข้าไปปราบมันให้ได้ ในเคสนี้ อิซึคุที่ผมเจอเมื่อวานเป็นเหยื่อของเจ้าโคลนเหนียว! ผมเห็นว่านี่คงปล่อยไว้ไม่ได้แน่นอน ผมเลยรีบเข้าไปใช้ไพ่กรีเนดการ์ดโจมตีตัดจังหวะ แล้วอลันกับโทชิโนริก็เข้ามาขับไล่วิลเลินโคลนเหนียวออกไปด้วย
หลังจากที่ไอ้โคลนเหนียวถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว ผมเข้าไปพยุงร่างของอิซึคุที่หมดสติ ผมเขย่าตัวให้เขาตื่นขึ้นมา และเขาก็ตื่นทันที คือพอดีว่าพวกเราท็อปทรินิตี้มาในชุดลำลอง ไม่ใด้มาในเครื่องแบบฮีโร่เลย พอตื่นปุ๊บอิซึคุก็ตกใจปั๊บ ถอยกรูดเลย
“แข็งแรงแบบนี้ค่อยหายห่วงหน่อย” อลันพูด
“ขอโทษด้วยนะที่ต้องมาโดนลูกหลงตอนที่สู้กับพวกวิลเลินแบบนี้” โทชิโนริพูด “ปกติจะไม่พลาดแบบนี้แต่นี่เป็นนอกเวลางาน สงสัยคงจะไม่ชิน ก็เลยมีมึน ๆ กันบ้างล่ะนะ”
“เอาล่ะ แต่ยังไงซะ พวกเราก็จับมันได้อยู่แล้ว” ผมพูด จากนั้นก็โชว์ขวดน้ำที่วิลเลินโคลนเหนียวอยู่ข้างใน
แต่อิซึคุกำลังถูกความตื่นเต้นเข้าครอบงำเข้าเสียแล้ว เพราะไม่นึกเลยว่าเขาจะได้เจอกับพวกเราท็อปทรินิตี้ตัวเป็น ๆ ครบสามคนเลย เขาจะหาสมุดมาขอลายเซ็น พวกเราก็เซ็นให้เขาไปเรียบร้อยแล้วครับผม ในสมุดที่หล่นจากกระเป๋าเนี่ยแหละ
“ถ้างั้น พวกเราจะเอาเจ้านี่ไปมอบตัวกับตำรวจก็แล้วกัน” โทชิโนริพูดถึงเจ้าโคลนเหนียวส่วนหนึ่งที่เก็บไว้ในขวดน้ำ “แล้วเจอกันที่หน้าจอทีวีนะ”
“อ้าว ทำไมอ่ะครับ” อิซึคุถาม
“มืออาชีพจะต้องแข่งกับเวลาเสมอน่ะนะ” อลันตอบ
“เดี๋ยวก่อนครับ ผมมีเรื่องจะบอกครับ” อิซึคุพูด
“เอาล่ะ จากนี้ไปก็...” โทชิโนริพูด แล้วจากนั้นก็กระโดดออกไป “ฝากเชียร์กันด้วยนะ!!!”
“โอเค ไปกันเถอะ” ผมบอก
“อ้าว ว่าแต่เด็กผมเขียวเมื่อกี๊หายไปไหนแล้วอ่ะ?” อลันถาม
“อ๋อ มิโดริยะคุงน่ะเหรอ?” ผมบอกอลัน แล้วชี้ไปที่โทชิโนริที่ตอนนี้อิซึคุเกาะขาไว้อยู่ “เห็นเกาะขาออลไมท์อยู่นู่นน่ะ”
“เอ้า! เวรกรรม!” อลันอุทานแล้วสยายปีกบินตามโทชิโนริไปทันที และก็ถึงทีของผมที่สยายปีกราชาแห่งธาตุและปีกปีศาจบินตามอลันและโทชิโนริไปด้วย พอเห็นสภาพใบหน้าของอิซึคุที่ปะทะกับกระแสลมนี่ผมรู้สึกว่าเขาดูไม่จืดเอาเสียเลย
“ปล่อยฉันนะหนุ่มน้อย!!” โทชิโนริร้องและพยายามสลัดอิซึคุให้ปล่อยเขาไป “จะติ่งก็ให้มันมีกรอบหน่อยสิ! ติ่งไม่เลือกกาลเทศะเลย!”
“ถ้าปล่อยไปตอนนี้ผมตกลงไปตายแหง ๆ เลยคร้าบ!” อิซึคุตอบ
“เออ ก็จริงสินะ” โทชิโนริบอก
และการที่ลมปะทะกับหน้าของอิซึคุ ทำให้คำที่เขาพูดออกมาฟังไม่เป็นภาษาแล้ว ฟังไม่รู้เรื่องเลย
“โอเค ๆ เข้าใจแล้ว” โทชิโนริตอบอิซึคุ “เพราะงั้นปิดปากเถอะเหงือกน่าเกลียดมาก เหงือกแห้งหมดแล้ว”
“เอ้า แล้วจะเอายังไงล่ะออลไมท์” อลันพูด “จะให้ไปส่งที่ไหนดีล่ะ?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” โทชิโนริตอบ “เฮ้อ เลยกลายเป็นคนมีภาระไป”
แต่แล้ว โทชิโนริก็กระอักเลือดออกมา เขากลัวว่าจะเสียภาพลักษณ์ตัวเอง เลยให้ไปลงจอดสักที่หนึ่ง...
พอลงจอดที่ดาดฟ้าตึกแห่งหนึ่งแล้วเรียบร้อย อิซึคุก็อยู่ในสภาพที่กลัวเพราะหวาดเสียวอย่างหนัก
“ช่วยตัวเองไปเถอะนะ” โทชิโนริพูด “ถ้าคุยกับคนในตึก เขาก็จะพาเธอกลับไปเองล่ะนะ พอดีว่าฉันไม่มีเวลาจริง ๆ ต้องขอตัวไปก่อนนะ”
แต่อิซึคุยังไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะบอกโทชิโนริเรื่องอะไรสักอย่างนั่นก็คือ...
“ต่อให้ผมไม่มีอัตลักษณ์ก็ยังเป็นฮีโร่ได้หรือเปล่าครับ?” อิซึคุถาม “คนที่เกิดมาแล้ว (ถูกมองว่า) ไร้อัตลักษณ์ จะเป็นแบบคุณได้ไหมครับ?”
แต่ทว่า โทชิโนริก็ค่อย ๆ กลับคืนสภาพจากร่างกล้ามมาเป็นร่างผอมแห้ง ระหว่างที่อิซึคุก็พูดไปเรื่อย ๆ ว่า
“เพราะว่าผมไร้อัตลักษณ์ และไม่ใช่แค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว ผมถูกคนล้อเลียนอยู่ตลอดเวลา เพราะอย่างนั้นถึงได้คิดว่าการช่วยเหลือผู้คนเป็นสิ่งที่ดีงาม ได้ช่วยเหลือผู้คนด้วยรอยยิ้ม ผมเองก็อยากจะเป็นฮีโร่ให้ได้คุณเหมือนกันนะครับออลไมท์!”
แต่พออิซึคุหันมามองโทชิโนริอีกที ก็พบว่าเขากลายเป็นร่างผอมแห้งเหมือนกับที่ผมเล่าให้คุณผู้อ่านฟังไปหลายรอบแล้วล่ะครับ ทำให้อิซึคุสะพรึงสองต่อ ต่อแรกคือหวาดเสียวที่โทชิโนริกระโดดสูงเกินไป ต่อที่สองคือต้องเจอกับสภาพที่แท้จริงของเขานี่คือแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย
“ผอมกะหร่องเลย! แล้วเมื่อกี๊... ตัวปลอมเหรอ ผอมชะมัดเลย!” อิซึคุถาม
“หมดสภาพ...ฉันคือออลไมท์ตัวจริงแหละ” โทชิโนริตอบและกระอักเลือดให้อิซึคุเห็นต่อหน้าเลย
ก็แหงล่ะครับ อิซึคุไม่คุ้นกับสภาพที่แท้จริงของโทชิโนริมาก่อน ในขณะที่ผมกับอลันเห็นสภาพอย่างนี้เป็นประจำ
“เป็นไปไม่ด้ายยยย!!!” อิซึคุกรีดร้องด้วยความผวา
“ให้ลองนึกถึงคนที่แขม่วท้องอยู่ที่สระว่ายน้ำสิ ลักษณะของฉันจะเป็นแบบนี้แหละ” โทชิโนริอธิบาย
“เหลวไหลทั้งเพ!!” อิซึคุตะโกน เขายังไม่เคยเจอสภาพที่แท้จริงของฮีโร่ที่เขาคลั่งไคล้มาตลอดมาก่อน
“ไม่จริงน่า ออลไมท์ผู้ไร้เทียมทาน ช่วยผู้คนด้วยรอยยิ้มสุดเท่คนนั้น...” อิซึคุพึมพำเนื่องจากยังไม่หายผวา
“รอยยิ้มที่ไม่เกรงกลัวใครน่ะเหรอ?” โทชิโนริว่า “เห็นจนได้สินะ อย่าไปโพสต์ลงโซเชียลเน็ตเวิร์กนะเดี๋ยวโป๊ะแตกหมด”
ว่าแล้ว โทชิโนริก็ดึงเสื้อขึ้นให้เห็นบาดแผลใหญ่ที่สีข้างด้านซ้าย ทำให้อิซึคุผวาอีก
“เมื่อห้าปีก่อนน่ะฉันได้แผลนี้มาตอนที่สู้กับศัตรู” โทชิโนริอธิบาย “ระบบหายใจของฉันถูกทำลาย และต้องผ่าเอากระเพาะอาหารออกไป แถมยังเจอกับผลข้างเคียงหลังผ่าตัดอีก ทำให้ฉันผอมแห้งแบบนี้แหละ ขีดจำกัดของฉันในการเป็นฮีโร่ทำได้แค่วันละสามชั่วโมงเท่านั้นแหละ”
“เป็นไปไม่ได้น่า” อิซึคุอุทาน “ห้าปีก่อนนั่น ตอนที่คุณ, เอเลเมนท์คิง และเอเลเมนท์เมจิกเชี่ยนสู้กับท็อกซิกเชนซอว์งั้นเหรอ?”
“ใช่” ผมตอบ “จริง ๆ พวกเราก็โดนเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าออลไมท์จะหนักที่สุด เพราะเขาเป็นสายแท็งค์ประจำกลุ่มท็อปทรินิตี้”
“มันก็เลยทำให้พวกเราอดเป็นห่วงสภาพของออลไมท์ในตอนนี้ไม่ได้เลย” อลันบอก
“แต่เจ้าบ้านั่นก็ยังฆ่าพวกเราไม่ได้” โทชิโนริพูด “เรื่องนี้ไม่ได้ถูกบอกไปสู่สาธารณชน เพราะฉันห่วงภาพลักษณ์ ขอให้ไม่ต้องประกาศออกไป ฉันจะต้องช่วยผู้คนด้วยรอยยิ้ม เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ ที่จะไม่มีวันถูกความชั่วร้ายโค่นลงได้ ฉันจึงต้องหัวเราะและยิ้มกลบเกลื่อน ต่อให้มีแรงกดดันของฮีโร่ และลบความกลัวที่เกิดขึ้นในใจของฉันให้ได้
“เหล่าฮีโร่ต่างก็เสี่ยงชีวิตอยู่ตลอดเวลา” โทชิโนริพูด “ถ้าจะให้ตอบคำถามว่าถ้าไม่มีอัตลักษณ์จะเป็นฮีโร่ได้หรือไม่ คงตอบว่าไม่ได้หรอก ถ้าเธออยากจะช่วยคนอื่นมากขนาดนั้น จะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ ถึงจะโดนหาว่าเป็นผู้ที่ทำได้แค่รับตัววิลเลินก็เถอะ แต่ก็เป็นงานที่ดีอยู่เหมือนกัน การมีความฝันมันไม่ใช่เรื่องผิดหรอก แต่ต้องไม่ลืมมองความเป็นจริงนะ”
ประเด็นก็คือ ผมได้ยินคำพูดของโทชิโนริแล้วรู้สึกไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง มาปฏิเสธความรู้สึกแบบนี้มันดูทำร้ายจิตใจเด็กเกินไปนะ
แต่ไอ้โคลนเหนียวตัวเดิมยังไม่หยุด เพราะการกระโดดสูงครั้งนั้นทำให้โทชิโนริเผลอทำขวดหล่นและมันก็หลุดออกมาอาละวาดต่อ ซึ่งไอ้ที่หลุดออกมาไม่ใช่อะไรหรอก มีคนเตะขวดกระเด็นไปแตกที่ไหนก็ไม่รู้เนี่ยแหละ ผมรีบดิ่งพสุธาลงจากดาดฟ้าตึกแล้วไล่ตามมันไป จนกระทั่งมันเผชิญหน้ากับคัตซึกิ หัวหน้าแก๊งเกรียนประจำห้อง และเป็นคนที่เตะขวดโคลนเหนียวนั่นโดยบังเอิญด้วย ผมมองเขาตอนแรกผมนึกในใจว่า นี่สินะ บาคุโก คัตซึกิ ผมรู้เลยว่าเขาน่าจะเรียนที่เดียวกับอิซึคุ แต่เขาแต่งตัวไม่ถูกระเบียบเลย คัตซึกิยืนจังก้าเผชิญหน้ากับไอ้โคลนเหนียว ซึ่งผมก็ตามมาดูข้างหลังด้วย เขากร่างและท้าเจ้าโคลนเหนียวประมาณว่า “เฮ้ย! แกน่ะ! มาสู้กับฉันหน่อยเป็นไง! ไอ้กระจอก!!”
ผมว่าคงไม่ต้องให้ผมอธิบายหรอก คุณก็รู้อยู่แล้วว่าคัตซึกิตัดสินใจผิดพลาดมาตั้งแต่ตะโกนท้าให้มันมาสู้กับเขาแล้วเนี่ย ผมก็ยืนรอดูฝีมือของคัตซึกิว่าจะเก่งสมกับที่โม้ไว้หรือไม่ ปรากฏว่าแป้กสนิท เพราะสุดท้ายคัตซึกิก็โดนเจ้าโคลนจับไว้ ซึ่งการได้ขโมยพลังจากคัตซึกิครั้งนี้ ทำให้พวกฮีโร่คนอื่น ๆ ที่มีเทียร์น้อยกว่าแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่ช่วยผู้บาดเจ็บที่อยู่ในย่านที่เกิดเหตุเท่านั้น
ส่วนผมที่เพิ่งมาถึงก็ได้สยายปีกเอเลเมนท์คิงออกมาแล้วเข้าไปใช้ไพ่สเปดส์กรีเนดการ์ดถล่มเจ้าโคลนเหนียวนั่น แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้มันยอมปล่อยคัตซึกิไปได้ ส่วนคนอื่น ๆ (อลันกันโทชิโนริ) ก็ตามผมมาจนถึงที่เกิดเหตุด้วย แต่พวกเขาไม่สามารถช่วยผมได้ เพราะว่าโทชิโนริรู้สึกผิดที่ทำขวดที่เก็บไอ้โคลนเหนียวหล่นตอนที่กระโดดสูงแล้วอิซึคุเกาะขาไว้ อิซึคุก็ไม่ต่างกันหรอกครับ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุแล้วเห็นเจ้าโคลนเหนียวที่จับคัตซึกิไว้แล้วกำลังสู้กับผมก็รู้สึกผิดไม่แพ้กันที่เป็นคนทำให้ขวดที่เก็บไอ้โคลนเหนียวตก
แต่พวกประชาชนทั่วไปเมื่อรู้ว่าไอ้โคลนเหนียวนั่นเคยเผชิญหน้ากับพวกเราท็อปทรินิตี้มาก่อน เลยสงสัยว่า ทำไมผมถึงมาแค่คนเดียว แล้วอีกสองคนที่เหลือไปไหน...
ทันใดนั้น...
อิซึคุก็รีบพุ่งเข้าไปแล้วขว้างกระเป๋านักเรียนเข้าไปที่ไอ้โคลนเหนียวแล้วแกะเอาเพื่อนของเขาออกไป สร้างความตกใจให้กับทุกคนในย่านนั้นอย่างมาก แต่ไอ้โคลนเหนียวไม่ยอมแพ้ แล้วง้างมือมาหวังจะฆ่าอิซึคุ แต่ผมไหวตัวทันด้วยการจั่วฮาร์ทชีลด์การ์ดออกมาเพื่อสร้างบาร์เรียร์หุ้มรอบตัวเขาไม่ให้เขาได้รับอันตราย
แต่ตอนนั้นเอง โทชิโนริกับอลันก็เข้ามารับการโจมตีไว้ด้วยพอดี
“ฉันนี่มันน่าสมเพชจริง ๆ” โทชิโนริรำพันกับอิซึคุ “อุตส่าห์สั่งสอนเธอแล้วแท้ ๆ แต่ตัวเองไม่ทำตามเสียเอง!”
“ปล่อยเด็กนี่ไปนะ!!” อลันตะโกนแล้วคว้าตัวคัตซึกิออกมาจากเจ้าโคลนเหนียว ส่วนผมเองก็ใช้ไพ่กรีเนดการ์ดสารพัดสัญลักษณ์ในการเข้าไปตัดกำลัง
“พวกมืออาชีพจะต้องทุ่มสุดตัวเสมอ!!” โทชิโนริตะโกน “ดีทรอยต์...สแมช!!!”
แรงต่อยของโทชิโนริเกิดเป็นกระแสลมพัดไอ้โคลนเหนียวกระเด็นไปอีกครั้ง และแรงกว่ารอบที่แล้วหลายเท่าเลยล่ะ
พอทุกอย่างสงบลง ไอ้กระแสลมจากดีทรอยต์สแมชทำให้เกิดฝนตกขึ้นมาพอดี และในที่สุดพวกเราท็อปทรินิตี้ก็สามารถจัดการเจ้าวิลเลินได้สำเร็จ
จากนั้น พวกเราสามสหายก็ได้มาคุยกันหลังจากจบเหตุการณ์เหล่านี้ลง
“ฉันว่า ฉันเจอคนที่เหมาะสมที่จะสืบทอดสัญลักษณ์แห่งสันติภาพแล้วล่ะ” โทชิโนริบอก “เด็กผมเขียวคนนั้น ฉันอยากจะถอนคำพูดเพราะการกระทำของเขาเหลือเกิน ต่อให้ไร้พลังวิเศษ แต่ก็มีความกล้าที่จะช่วยเหลือคนอื่น ฉันต้องรีบไปบอกเขาแล้วล่ะ”
“ได้เลย” ผมบอก แต่ตอนที่โทชิโนริจะเดินจากไป ผมเรียกเขา “นี่ ๆ ยากิคุง”
“ว่าไง?” โทชิโนริถามผม
“ถ้าเสร็จแล้วบอกฉันด้วยนะ” ผมพูด “ว่าเขาได้บอกอะไรให้นายบ้าง”
โทชิโนริพยักหน้าแล้วเดินจากไป
ทางด้านอิซึคุที่กำลังจะกลับบ้าน ก็ได้มาเจอกับคัตซึกิซึ่งเดินมาพบกับอิซึคุอย่างไม่พอใจ “ฉันน่ะ ไม่ได้ขอให้แกช่วยสักหน่อย! ไม่ต้องมาช่วยฉันด้วย! ฉันเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว เจ้าพวกไร้อัตลักษณ์อย่ามาอวดเก่งไปหน่อยเลย! จะถ่วงบุญคุณกันนักหรือไง! อย่ามาดูถูกฉันนักนะ ไอ้เนิร์ดบ้า!!” คัตซึกิบอก จากนั้นก็สะบัดหน้าเดินจากไปทันที
หลังจากนั้นไม่นาน โทชิโนริก็พุ่งเข้ามาตัดหน้าอิซึคุด้วยร่างกล้ามแล้วก็กลับมาคืนสภาพอีกครั้ง
“ฉันมาเพื่อขอโทษน่ะ แล้วก็ฉันอยากจะเสนออะไรให้สักอย่างน่ะ” โทชิโนริพูด “ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้พบกับเธอและไม่ได้ฟังเรื่องของเธอแล้วล่ะก็ ฉันคงเป็นได้แค่คนที่ดีแต่ปากแล้วล่ะ ขอบใจมากเลยนะ”
“ไม่ใช่หรอกครับ” อิซึคุพูด “ผมผิดตั้งแต่แรกเองที่ดันไปเกะกะงานของคุณ รวมถึงเพื่อน ๆ ของคุณด้วย นอกจากนี้ผมก็พูดจาซะใหญ่โต ทั้งที่ผมก็ยังไร้อัตลักษณ์แล้วแท้ ๆ”
“นั่นสินะ” โทชิโนริบอก “ไม่ใช่ใครทั้งนั้นนอกจากเธอ ที่กลัวและไร้อัตลักษณ์ ที่ทำให้ฉันตัดสินใจลงมือ ฮีโร่เทียร์สูง ๆ ส่วนใหญ่สร้างตำนานตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน และทุกคนก็จะมีจุดร่วมที่คล้าย ๆ กัน คือการตอบสนองของร่างกายก่อนสมองจะคิดยังไงล่ะ เธอเองก็เป็นเหมือนกันใช่ไหม”
ใช่แล้วครับ บุคคลที่เด็กชายคนหนึ่งคลั่งไคล้มาตลอด ได้ช่วยเติมเต็มความฝันให้เด็กคนนั้นเป็นจริงแล้วครับ จากอดีตที่เขาได้ยินแต่เสียงแม่พร่ำขอโทษมาตลอดเวลา ที่ได้ให้กำเนิดลูกที่ (ดูเหมือน) ไม่มีอัตลักษณ์ แต่ “เธอเองก็เป็นฮีโร่ได้เหมือนกันนะ จริง ๆ” คำพูดของโทชิโนริ ได้เติมเต็มความฝันให้กลายเป็นจริงอย่างเต็มตัวแล้วครับ
แต่ก่อนอื่น...
“ถ้าเป็นเธอล่ะก็ ต้องคู่ควรรับสืบทอดพลังของฉันได้แน่” โทชิโนริพูด เพื่อทำให้อิซึคุต้องทำความเข้าใจกับการเป็นฮีโร่ในแบบฉบับที่โทชิโนริอยากให้เป็น
“สืบทอดพลัง?” อิซึคุถาม
“ทำเป็นอึ้งไปได้นะ” โทชิโนริพูด “แค่ยื่นข้อเสนอ แต่ต่อจากนี้ไปจะเป็นของจริงล่ะ ฟังนะ ข้อเสนอก็คือ มาสืบทอดพลังต่อจากฉันนี่แหละ!” พูดจบก็กระอักเลือดอีก “จะเล่าเรื่องพลังของฉันให้ฟังนะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับไหนก็จะบอกว่าเป็นการเร่งพลังบ้าง เพิ่มพลังบ้าง ตอนให้สัมภาษณ์ออกทีวีฉันก็เลี่ยงบาลีด้วยมุกตลก เพราะสัญลักษณ์แห่งสันติภาพจะต้องมีภาพลักษณ์เป็นฮีโร่โดยกำเนิดเท่านั้น แต่ฉันจะให้เธอได้รู้ความจริง อัตลักษณ์ของฉันเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเหมือนคบเพลิง เพราะฉะนั้น ต่อไปก็จะเป็นตาของเธอแล้ว”
“เดี๋ยวนะครับ” อิซึคุพูด “อัตลักษณ์ของออลไมท์เนี่ยเห็นมีการเถียงกันในอินเทอร์เน็ตว่าควรจะได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกสิ่งใหม่ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่จบสิ้นสักที แต่พอเป็นแบบนั้นมันก็ไม่ค่อยเมกเซนส์ แถมยังไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่อาจจะยังไม่ถูกบันทึกเอาไว้ หรือไม่ก็เป็นอัตลักษณ์ที่ยังไม่ถูกค้นพบ หรือจะเป็น...”
การพึมพำด้วยความสับสนของอิซึคุ ทำให้โทชิโนริแปลกใจอย่างมากที่เด็กผมเขียวมองวันฟอร์ออลในทางที่แปลกไปจากที่เป็นจริง
“เธอนี่มันมองโลกในแง่ร้ายจริง ๆ” โทชิโนริพูด “นอนเซนส์!!” นั่นแหละ อิซึคุถึงตื่นจากการพึมพำครั้งนั้น “ฉันอาจจะปกปิดไว้หลายเรื่องแต่ก็ไม่ได้โกหก และนี่คืออัตลักษณ์ที่ฉันได้รับสืบทอดมา มันถูกขนานนามไว้ว่า วันฟอร์ออล
“ผู้ที่รับพลังเอาไว้ จากนั้นจึงส่งต่อให้กับอีกคน อีกคน แล้วก็อีกคน มันคือพลังใจหาญกล้าที่ตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องให้ช่วย ถูกถักทอเป็นรูปร่าง”
“แล้วทำไมถึงเอาของแบบนั้นให้ผม ทำเพื่อผมขนาดนั้น” อิซึคุถาม
“ที่จริงฉันก็ตามหามานานแล้ว คนที่จะสืบทอดพลังนี้ ถ้าเป็นเธอล่ะก็จะต้องสืบทอดได้แน่ ๆ คนไร้อัตลักษณ์ที่ใฝ่ฝันจะเป็นฮีโร่และเหมาะสมจะเป็นมากที่สุดเหนือกว่าใคร” โทชิโนริพูด แล้วพอเห็นว่าเด็กผมเขียวน้ำตาเอ่อล้นมาอีกครั้ง เขาก็ร้องไปว่า “ไม่ต้องมาร้องไห้ซ้ำสองหรอก! แต่มันขึ้นอยู่กับเธอนะว่าเธอจะเอายังไง”
“ขอรบกวนด้วยนะครับ!” อิซึคุตอบ
“พูดเร็วโดยไม่คิด ว่าแล้วว่าต้องตอบอย่างนี้” โทชิโนริพูด
ก่อนช่วงการสอบเข้าโรงเรียนยูเอสักสิบเดือน อิซึคุต้องฝึกฝน ซึ่งนั่นก็คือการทำความสะอาดรอบชายหาดไงครับ
“ตู้เย็นนี่มันนั่งได้สบายก้นเสียจริง ๆ แต่ถ้ามันขยับได้คงจะสบายกว่านี้แน่ ๆ” โทชิโนริพูดขณะที่นั่งบนตู้เย็นที่อิซึคุใช้ดึงจนหมดแรง
“ก็ออลไมท์หนักตั้ง 274 กิโลนี่นา” อิซึคุบอกโทชิโนริ
“เปล่า” โทชิโนริบอก “ผอมลงไปเหลือ 255 กิโลเท่านั้นเอง ถ้าเป็นร่างกล้ามน่ะนะ”
“แล้วทำไมผมต้องมาเก็บขยะริมหาดนี้ล่ะครับ?” อิซึคุถาม
“ก็เธอน่ะไม่เหมาะที่จะรับสืบทอดน่ะสิ” โทชิโนริตอบและลงจากตู้เย็นมาถ่ายรูปอิซึคุ
“อ้าวเฮ้ย!! ไม่เหมือนที่เคยคุยกันเอาไว้เลยนี่นา อ๊ากกกก!!!” อิซึคุกรีดร้อง (ฮีโร่ชาวไทยคนไหนเอาคำพูดของอิซึคุไปล้อกับเพลงของคุณอะตอมก็เชิญเลยฮะ)
“ฉันหมายถึงร่างกายของเธอต่างหากเล่า” โทชิโนริตอบ “อัตลักษณ์ของฉันน่ะ คือการนำร่างที่ถูกขัดเกลามาแล้วของคนมากมายรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ถ้าให้รับสืบทอดสุ่มสี่สุ่มห้าล่ะก็ร่างกายของเธอก็จะแตกพอดีน่ะสิ”
“งั้นก็เลยมาฝึกฝนร่างกายด้วยการทำความสะอาดงั้นเหรอ?” อิซึคุถาม
“ใช่ แต่ไม่ใช่แค่นั้นหรอก เมื่อวานไปค้นในเน็ตแล้วได้ข่าวว่าเจ้าสวนสาธารณะริมหาดมีแต่ขยะมารวมกันอย่างนี้หลายปีแล้ว” โทชิโนริตอบ
“เห็นว่ามีแต่กองขยะที่โดนคลื่นซัดมากองรวมกัน รวมถึงพวกของผิดกฎหมายที่หนีการจับกุม คนแถวนี้ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ด้วย” อิซึคุพูด
“ฮีโร่สมัยนี้มีแต่พวกที่อวดเพาว์ทั้งนั้นเลย” โทชิโนริพูด “แรกเริ่มเดิมทีงานฮีโร่ก็มีแต่การช่วยเหลือ ไม่ว่าใครจะมองว่ามันกระจอกก็ตามที แต่ก็จะละเลยจุดนี้ไปไม่ได้” เขาบดตู้เย็นออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยมือเปล่า “เราจะมาฟื้นฟูทิวทัศน์ริมทะเลแห่งนี้ นั่นแหละคือก้าวแรกในการเป็นฮีโร่ของเธอ”
“เก็บกวาดหมดนี่เลยทั้งกองเนี่ยนะ?” อิซึคุถาม
“ใช่” โทชิโนริตอบ “เธออยากจะเข้าร่วมยูเอใช่ไหม?”
“ใช่ครับ” อิซึคุตอบ “เพราะที่นั่นเป็นที่ที่ออลไมท์เคยเรียน ถ้าผมจะเรียนก็ต้องเรียนที่ยูเอนี่แหละครับ”
“แต่ว่า ก็อย่างที่เคยบอกไปนี่แหละ” โทชิโนริบอก “มันไม่ใช่งานที่คนไร้อัตลักษณ์จะทำได้ง่าย ๆ หรอกนะ ถึงมันจะดูเศร้า ๆ ไปหน่อยแต่มันก็เป็นเรื่องจริง ที่สำคัญ ยูเอเป็นปราการสุดโหดหินของเหล่าฮีโร่ หรือก็คือ...”
“เหลือเวลาอีกสิบเดือนก่อนสอบเข้าเรียน” อิซึคุพูด “ต้องทำให้ร่างกายเหมาะสมกับพลัง?”
“ถึงเวลาที่ฉันจะต้องออกโรงด้วยเมนูสำหรับการเตรียมฝึก อเมริกันดรีมแคลน มุ่งเป้าสอบผ่านฉลุย แผนการฝึกฝนที่จะทำให้การกำจัดขยะเกิดผลต่อร่างกายมากที่สุด” โทชิโนริพูดแล้วส่งเอกสารการฝึกให้อิซึคุอ่าน “ซึ่งก็ต้องให้เธอปฏิบัติในชีวิตประจำวันด้วย”
“ยันเวลานอนเลยเหรอ?” อิซึคุพึมพำขณะที่อ่านเอกสาร
“จะว่าไปมันก็หนักหนาอยู่เหมือนกันนะ” โทชิโนริแอบกระซิบอิซึคุ “จะไหวเหรอ?”
“ไหวอยู่แล้วครับ” อิซึคุตอบ “ถ้าไม่พยายามให้มากกว่าคนอื่นก็สู้ไม่ไหวอยู่ดี”
แต่นั่นแหละ ระหว่างการฝึก อิซึคุก็ได้เล่าเรื่องอัตลักษณ์ “การคัดลอกพลัง” ที่ผมอธิบายให้เขาไปแล้ว เอามาเล่าให้โทชิโนริฟัง ซึ่งโทชิโนริก็อธิบายคั่นกลางระหว่างฝึกไปว่า
“แสดงว่า เธอเองก็มีอัตลักษณ์ตั้งแต่เกิด แต่เป็นอัตลักษณ์ที่ไว้ใช้คัดลอกพลังจากคนอื่นหรือวัตถุอื่น และสามารถแบ่งปันพลังไปให้คนอื่นที่ไม่มีพลังอย่างนั้นสินะ”
“ใช่ครับ เอเลเมนท์เมจิกเชี่ยนบอกมาแบบนั้น” อิซึคุตอบ
“อืม... นอกจากเธอจะคู่ควรกับพลังของเธอแล้ว เธอจะยังมีอัตลักษณ์ที่สามารถแบ่งปันพลังวิเศษให้กับคนอื่นได้ด้วย” โทชิโนริพูด “เธอเป็นคนที่พิเศษยิ่งกว่าที่ฉันคิดอีกนะเนี่ย”
“ครับ” อิซึคุพูดและยิ้ม
และมีครั้งหนึ่งผมกับครอบครัวของอลันเคยเข้ามาเยี่ยมชมการฝึกด้วย
“ไง โทชิโนริ” อลันพูด “ได้ข่าวว่ากำลังฝึกเด็กอยู่เหรอ?”
“ใช่แล้ว” โทชิโนริพูด “หนุ่มน้อยมิโดริยะต้องฝึกฝนเพื่อสืบทอดวันฟอร์ออลให้กับฉันน่ะ”
“ว่าไง อลัน” ผมบอก “ตอนนี้ลูกชายเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“ก็ยังอยู่ดี ไม่ได้แสดงอาการแปลก ๆ อะไรเลย” อลันตอบ
“อืม...” ผมพึมพำ และหันไปมองพวกเด็ก ๆ ที่กำลังคุยกัน
“เฮ้!! นายคือมิโดริยะ อิซึคุ ที่อีธานเล่าให้ฟังสินะ” เฮนรี่พูด
“ใช่แล้ว ผมเอง” อิซึคุบอกเฮนรี่ “แล้วนายล่ะ”
“ฉันชื่อ เฮนรี่ แบรนโดเรี่ยน ลูกชายของเอเลเมนท์คิงรัชกาลที่ 161” เฮนรี่แนะนำตัว “ฉันคิดอยู่แล้วว่าฉันจะต้องเป็นผู้สืบทอดมรดกจากพ่อของฉันให้ได้”
“แล้วพวกนายว่ายังไงบ้างล่ะ?” อิซึคุถาม
“พวกเราก็ได้ไปรู้จักกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง เขาชื่อว่า ลีพุง ชิกะอิจิ” อีธานตอบ “นายไม่เคยรู้จักล่ะสิ”
“ใครเหรอ?” อิซึคุถาม
“เขาเป็นบุคคลในตำนานกลับชาติมาเกิด อย่าง ออริจินส์โคลน 394 น่ะสิ” อีธานตอบ
“อย่างนั้นเหรอ?” อิซึคุถาม “ไหน ลองเล่ามาให้ผมฟังหน่อยซิ”
จากนั้นอีธานก็ได้เล่า ๆ ๆ ๆ เรื่องประวัติความเป็นมาของเอเลเมนท์คิงว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง และสงครามอัตลักษณ์ระหว่างเอเลเมนท์คิงกับดาร์คลอร์ดมันเกิดขึ้นได้ยังไง อะไรทำนองนี้ให้อิซึคุฟัง และเขาก็ตั้งใจฟังเต็มที่
“อืม น่าสนใจดีนะ” อิซึคุพูด
“มันคือสงครามอัตลักษณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคกลาง จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่เลิกต่อสู้อีกนะ” อีธานพูด
“งั้นผมก็อาจจะมีส่วนร่วมในการต่อสู้ด้วยใช่ไหม?” อิซึคุถาม
“ใช่แล้ว” เฮนรี่ตอบ
“งั้นเอาเป็นว่า ก่อนที่เจ้าจอมมารจะกลับมาได้ เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมในทีเดียว” อีธานบอก
“อ้าว! นั่นอีธาน ลูกชายของเอเลเมนท์เมจิกเชี่ยนนี่นา!”
เสียงของผู้หญิงดังขึ้น จากนั้นสาวน้อยน่ารักที่ชื่อ เอลซ่า เทอร์เนอร์ ก็เดินเข้ามา
“เจ๊ย! เอลซ่า! มาที่นี่ทำไม!” อีธานร้อง
“แหม ๆ ก็นึกว่าเธอจะมาทำอะไรที่นี่เสียอีก” เอลซ่าพูด “มาอยู่กับเพื่อน ๆ อย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่ ๆ” อีธานตอบ
“เธอชื่ออะไรเหรอ?” อิซึคุถาม
“ฉันชื่อ เอลซ่า เทอร์เนอร์ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เอลซ่าตอบ แล้วบอกอิซึคุว่า “ฉันรู้จักเฮนรี่ที่เป็นเพื่อนสนิทของอีธานเหมือนกัน แล้วเธอล่ะ?”
“ผมชื่อ มิโดริยะ อิซึคุ” อิซึคุตอบ “เธอมีอัตลักษณ์อะไรเหรอ?”
“ฉันมีอัตลักษณ์ชีวจักรกล” เอลซ่าตอบ “ฉันสามารถเปลี่ยนส่วนไหนก็ได้ของร่างกายให้เป็นจักรกล ไม่ว่าจะเป็นทั้งตัวหรือส่วนใดส่วนหนึ่งก็เปลี่ยนได้”
“ฉันเสียวเหลือเกินว่าบางคนอาจจะคิดลึกเกินไปกับคำว่าส่วนไหนก็ได้นั่นแหละ” เฮนรี่พูด
“แต่ก็นั่นแหละ การเปลี่ยนร่างให้กลายเป็นจักรกล ทำให้ฉันได้มีความสามารถทางด้านเทคโนโลยีแทบจะทุกรูปแบบเลยล่ะ ทั้งแฮกอาวุธได้ สร้างอุปกรณ์ไฮเทคได้ และอื่น ๆ อีกมากมาย” เอลซ่าอวดสรรพคุณของอัตลักษณ์ของเธอ “แต่มันก็มีข้อเสียอยู่เพราะว่า หนึ่ง ส่วนที่เป็นจักรกลจะกลับมาเป็นกายมนุษย์อย่างเดิมหลังจากผ่านไปอย่างน้อยสองหรือสามชั่วโมง อีกอย่างคือ การกินของฉันจะแปลกกว่าชาวบ้าน ถึงแม้ฉันจะกินอาหารได้เหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่ฉันก็ต้องพกกระติกน้ำมันเชื้อเพลิงมาดื่มอยู่ตลอดเวลา เพราะอาหารที่คนปกติกินได้ มันจะกลายเป็นพลังงานไฟฟ้า ส่วนพลังงานสันดาปฉันต้องได้จากน้ำมันเชื้อเพลิงรถด้วย”
“อืม แปลกดีแฮะ” อิซึคุพูด
“เอลซ่าจะชอบตามจีบฉันไปเรื่อยแหละ” อีธานบอก
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมของโทชิโนริขัดจังหวะได้ตรงเวลาพอดี “อยากร่วมฝึกกับหนุ่มน้อยมิโดริยะด้วยก็ไม่บอกนะ หนุ่มน้อยอีธาน หนุ่มน้อยเฮนรี่ และแม่สาวเอลซ่า”
“เอ่อ...” อีธานเอ่ย “พวกเรา สลายตัว!”
เขาพาเฮนรี่กับเอลซ่าสลายตัว แต่ผม อลัน และอากิโกะเข้าไปรวบตัวได้ทันเวลาซะก่อน
“ไม่เข้าไปร่วมออกกำลังกายกับมิโดริยะคุงเหรอลูก?” ผมถามและยิ้มให้ลูกชายตัวเอง (ผมแอบมันเขี้ยวนิด ๆ นะฮะ)
“คือว่า...ผมก็อยากฝึกเหมือนกันครับ แต่จะออกกำลังกายด้วยวิธีนี้ได้เหรอครับ?” อีธานถาม
“เอาน่า ยังไงก็ร่างกายแข็งแรงเหมือนกัน” ผมตอบ “มามะ มาร่วมฝึกกับมิโดริยะคุงซะดี ๆ”
และผมกับอลันก็ลากลูกของพวกเรามาร่วมฝึกกับอิซึคุ และอากิโกะก็ลากเอลซ่ามาฝึกด้วย ถือว่าเป็นโมเมนท์ขำ ๆ ระหว่างการฝึกหนักไว้คลายเครียดแล้วกันนะครับ อิอิ
สามเดือนก่อนการสอบ อิซึคุดันแห้งกลางคันซะก่อนระหว่างที่ครอบครัวของท็อปทรินิตี้ร่วมฝึกกัน (ช่วงนี้ชิกะอิจิจะเริ่มมาร่วมฝึกด้วยครับ)
“อ้าว อิซึคุ แห้งไปก่อนแล้วรึ?” อลันพูด
“เหลือเวลาอีกแค่สามเดือนแล้วนะ แบบนี้ไม่ทันการแน่เลย” โทชิโนริพูด “จะถอนตัวไหมล่ะ กลับบ้านไปนอนยังทันนะ”
“เอ๊ะ ใช้กำลังมากไปอย่างนั้นหรือ?” ผมคิด
“คอร์สฝึกพิเศษ อเมริกันดรีมแคลน มุ่งเป้าสอบผ่านฉลุย ฉันคิดค้นขึ้นมาเพื่อให้เธอมีร่างกายที่พร้อมก่อนการสอบเข้า นี่เธอไม่ได้ทำตามสูตรฝึกอย่างนั้นเหรอ ใช้กำลังมากไปจะส่งผลตรงกันข้ามได้เลยนะ” โทชิโนริเตือน “ไม่อยากสอบผ่านหรือไง?”
“ก็ต้องอยากสิครับ” อิซึคุตอบและพยายามลุกขึ้นมา “แต่สอบผ่านอย่างเดียวมันไม่พอ ต้องพยายามให้มากกว่าคนอื่นอีก ไม่งั้นก็ตามไม่ทันแน่ เพราะผมอยากจะเป็นแบบคุณให้ได้ เป็นสุดยอดฮีโร่ให้ได้เหมือนคุณ!”
“นี่มองไกลจนถึงขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย เจ้าหนุ่มโอตาคุไฟแรงเอ๊ย ไอ้แบบนั้นก็ไม่เลวเลย แต่มันเสียฟอร์มหมดตรงที่ขาสั่นแบบนี้นี่แหละ!” โทชิโนริพูดแล้วกลายเป็นร่างกล้าม “ยังไงซะ ฉันก็เข้าใจเธอแล้ว เดี๋ยวฉันจะแก้สูตรฝึกให้ใหม่เอง”
สิบเดือนผ่านไป ร่างกายของอิซึคุเริ่มมีกล้ามมากขึ้น ในขณะที่เฮนรี่ อีธาน ชิกะอิจิ และเอลซ่านั้นร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นสัญญาณที่จะบ่งบอกว่า อิซึคุพร้อมแล้วที่จะได้รับอัตลักษณ์วันฟอร์ออล เพราะทั้งห้าเก็บกวาดขยะในชายหาดจนเกลี้ยงแม้กระทั่งนอกขอบเขตที่โทชิโนริกำหนดไว้ด้วย
“เหนื่อยหน่อยนะเจ้าหนุ่ม” โทชิโนริพูด
“ผมทำได้แล้วครับ” อิซึคุพูด “ผมทำสำเร็จแล้ว”
“แหม เอาซะตกตะลึงไปเลยนะ รู้ไหมว่าร่างกายของเธอน่ะบึกบึนขึ้นมาแล้วล่ะนะ” โทชิโนริพูด แล้วหยิบโทรศัพท์ที่เคยถ่ายภาพอิซึคุเมื่อสิบเดือนที่แล้วให้ดู “พยายามได้ดีมาก ดีมากจริง ๆ ถึงจะมองเห็นปากทางออกแค่ลาง ๆ แต่ก็เหมาะสมที่จะรับตำแหน่งผู้สืบทอดแล้ว!”
“รู้สึกเหมือนโกงยังไงก็ไม่รู้นะครับที่ได้ออลไมท์ช่วยสั่งสอน มันน่าอิจฉาเกินไปแล้ว!” อิซึคุร้อง
“แหม มาร้องไห้อะไรตอนนี้ ตัวเองพยายามด้วยตัวเองแล้วแท้ ๆ” โทชิโนริคิดแล้วบอกว่า “แต่ก็ต้องแก้นิสัยขี้แยด้วยนะ เอาล่ะ ได้เวลาสืบทอดแล้ว มิโดริยะ อิซึคุ!”
“มีคนกล่าวไว้ว่า คนที่โชคดีได้รับโอกาสมาตั้งแต่แรก กับคนที่พยายามมาจนถึงจุดที่คู่ควรน่ะมันแตกต่างกัน” โทชิโนริพูด “จำเอาไว้ให้ดีนะ นี่คือพลังที่เธอเฝ้าไขว่คว้าจนได้มันมาในที่สุด”
โทชิโนริดึงเส้นผมของตัวเองออกมา แม้อิซึคุจะใช้วิธีการคัดลอกพลัง แต่ก็เพื่อการสร้างสายใยแห่งความสัมพันธ์ระหว่างกัน ดังนั้น...
“กินซะ” โทชิโนริพูดแล้วยื่นเส้นผมของตัวเองให้อิซึคุจนอีกฝ่ายงงเต้กแกมผวาไปเลย “ก็แหม มันก็แค่เอาดีเอ็นเอเข้าไปในร่างกายทางไหนก็ได้เหมือนกันแหละน่า”
“มันไม่ใช่อย่างที่คิดเลยนี่นา!!” อิซึคุร้อง
“เอ้า เวลาไม่คอยท่า” โทชิโนริบอก “เดี๋ยวไปสอบช้าจะไม่ทันการ เร็วเข้า ๆ มามะ เร็ว!”
และนั่นทำให้ชิกะอิจิ อีธาน และเฮนรี่กลั้นขำที่อิซึคุถูกบังคับให้กินเส้นผมคนอื่นเพื่อคัดลอกพลัง จนผมถึงกับต้องทำสายตาขุ่นเขียวใส่พวกเขาเพื่อไม่ให้ทั้งสามทำเสียบรรยากาศ
แต่ในช่วงเวลานั้น วิญญาณของกษัตริย์แห่งธาตุรัชกาลที่ 1 ที่จับตาดูอิซึคุมาตลอดก็ปรากฏตัวขึ้น
“สวัสดี มิโดริยะ อิซึคุ” วิญญาณกษัตริย์บอก และไม่น่าเชื่อว่า อิซึคุก็สามารถเห็นดวงวิญญาณและได้ยินเสียงวิญญาณด้วยเช่นกัน
“ฝ...ฝ่าบาท!” อลันร้อง “ท่านมาได้ยังไงครับ?”
“ข้าเห็นความพยายามของเด็กหนุ่มที่ต้องการจะเป็นฮีโร่ และมีความกล้าในการจะช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ที่เดือดร้อนโดยไม่สนว่าร่างกายของตนเองจะอ่อนแอแค่ไหนก็ตาม” วิญญาณกษัตริย์ตอบ “ฉะนั้น เมื่อเห็นว่าออลไมท์จะถ่ายโอนพลังวันฟอร์ออลไปให้เขา ข้าก็จะมอบพลังให้เขาบ้างเหมือนกัน”
นั่นทำให้อิซึคุซาบซึ้งถึงสองต่อด้วยกัน ต่อแรกคือได้วันฟอร์ออล (ผ่านการใช้อัตลักษณ์การคัดลอกพลัง) อีกต่อหนึ่งคือ การได้พลังจากราชาแห่งธาตุรัชกาลแรกสุดโดยตรงเลย และแล้วอัตลักษณ์ด้านสว่างทั้งสองก็อยู่ในตัวอิซึคุทั้งหมดแล้ว
หลังจากได้อัตลักษณ์เอเลเมนท์คิงมา และรับประทานเส้นผมของโทชิโนริไปแล้ว...
“ดีมาก กลืนไปแล้วสินะ” โทชิโนริพูด
“ทำไมถึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนไปเลยครับ” อิซึคุถาม
“มันแหงอยู่แล้ว มันจะต้องรอการย่อยเสียก่อน” โทชิโนริตอบ “เอาล่ะกว่าจะเปลี่ยนแปลงได้ก็อีกสักสองสามชั่วโมงแหละน่า ไม่เหมือนกับเอเลเมนท์คิงที่ได้ปุ๊บเปลี่ยนแปลงปั๊บ แต่ถึงจะสร้างร่างกายได้ล่ำขึ้นแต่มันก็ล่ำแบบเร่งด่วน ยังไม่ได้ทดสอบกันจริง ๆ สักที ขอให้เตรียมใจรับผลข้างเคียงของร่างกายไว้ด้วยแล้วกัน ฉันไม่มีเวลาอธิบายมากนักหรอก วันนี้พอแค่นี้”
“โอเค อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะสอบแล้วนะ” อลันพูด “เด็ก ๆ รีบไปสอบเข้าโรงเรียนได้เลยนะ พวกเราจะเป็นกำลังใจให้”
“ครับ” อิซึคุพูด จากนั้นก็รีบพาทั้งอีธาน เฮนรี่ และเอลซ่า ออกไปยังทางเข้ายูเอทันที
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 513
แสดงความคิดเห็น