บทที่ 29: นี่พวกเราอยู่ในสนามรบกันอยู่หรือไง!
“ก่อนอื่นข้าต้องขอบคุณแม่ทัพน้อยมู่หรงสำหรับความช่วยเหลือที่ท่านมีให้เมื่อวานนี้” เฟิ่งมู่ชิงเปลี่ยนเรื่องพูดและยกจอกสุราบนโต๊ะขึ้นมาคารวะอีกฝ่าย
มู่หรงผิงถิงเองก็ยกจอกสุราตอบรับด้วยมือข้างเดียวพลางกล่าวว่า “นั่นเป็นเรื่องเล็กน้อย”
ทันทีที่บุตรสาวของแม่ทัพเจิ้นหนานพูดจบ นางก็ยกจอกสุราขึ้นมาชนกับอีกฝ่ายก่อนจะยกดื่มหมดจอกในอึกเดียว
เฟิ่งมู่ชิงที่ได้เห็นท่าทางนั้นก็ยิ้มแล้วยกจอกสุราของตัวเองขึ้นดื่มเช่นกัน
ความหมายของนามมู่หรงผิงถิงนั้นทั้งอ่อนโยนและสุภาพ ถึงแม้ว่าภายนอกนางอาจจะดูร่าเริงมาก แต่ทุกการกระทำของนางกลับสงบนิ่ง หากจะให้เปรียบเทียบ นางก็เป็นเหมือนกับน้ำนิ่งไหลลึก นั่นจึงทำให้หญิงสาวมองไม่ออกว่าแม่ทัพน้อยผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่
“สุรานี้รสชาติไม่เลว” ความหวานของสุราพร้อมกับกลิ่นหอมยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในปากของมู่หรงผิงถิง ขณะนี้นางรู้สึกเพียงว่ารสชาติที่ค้างอยู่ในลำคอดูเหมือนจะไม่หายไปง่าย ๆ นางจึงเอ่ยปากชมออกมา
สุราที่หมักกันทางตอนใต้นั้นมีรสชาติเข้มมาก พอดื่มเข้าไปก็จะรู้สึกร้อนผ่าวตั้งแต่คอไปจนถึงท้อง แต่รสชาติของสุราที่นี่ดูเข้มกว่าแต่มันกลับถูกกลบด้วยกลิ่นหอมและมีรสชาติที่แตกต่างออกไป
นี่ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่นางได้ดื่มสุราแบบนี้
“นี่คือเหล้าดอกสาลี่ เป็นสุราที่เหมาะสำหรับผู้หญิง พอดื่มเข้าไปแล้วมันไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายด้วย” เฟิ่งมู่ชิงเห็นว่าอีกฝ่ายชื่นชอบสุรานี้มากจึงเติมให้นางอีก 1 จอก
“ถ้าท่านชอบก็เชิญดื่มได้ตามสบาย”
“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ” มู่หรงผิงถิงตอบรับอย่างเป็นธรรมชาติก่อนจะจิบสุราต่อไป
“ครั้งนี้ท่านแม่ทัพน้อยมาเพื่อเข้าร่วมการประลองที่ลานประลองหมื่นบุปผาโดยเฉพาะอย่างนั้นหรือ?” เฟิ่งมู่ชิงเอ่ยปากถามแบบเป็นกันเอง
เท่าที่นางได้ข่าวมา ในอดีตเฟิ่งหวานหว่านเป็นเพียงคนเดียวที่ทำผลงานในการประลอง แต่มู่หรงผิงถิงเก่งกว่าฝ่ายนั้นมาก แล้วเหตุใดนางถึงไม่เคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนเลย
“ข้าได้รับคำสั่งจากสำนักให้เดินทางมาที่เป่ยอี้ แล้วบังเอิญมาถึงตรงกับเทศกาลหมื่นบุปผาพอดี ข้าก็เลยไปร่วมสนุก”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ในขณะเดียวกัน เสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือที่ดังกึกก้องในห้องโถงเสริมให้บรรยากาศโดยรอบดูครึกครื้นมากยิ่งขึ้น
ภาพตรงหน้าทำให้เฟิ่งมู่ชิงรู้สึกว่าสิ่งที่นางลงทุนลงแรงไปนั้นประสบความสำเร็จด้วยดี ส่งผลให้รอยยิ้มบนใบหน้าของนางยิ่งดูสดใสจริงใจมากขึ้น
นางรู้สึกขอบคุณความพยายามของตัวเองรวมถึงทุกคนที่ร่วมมือร่วมแรงกันอย่างแข็งขัน มิฉะนั้นนางอาจจะไม่สามารถฟื้นฟูหอหงโหลวนี้ได้
แต่แล้วจู่ ๆ ห้องโถงก็เงียบสงบเหมือนอยู่ในป่าช้า หญิงสาวจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางหันไปมองรอบ ๆ เพื่อหาสิ่งผิดปกติ ก่อนจะพบเข้ากับร่างสองร่างที่กำลังเดินเข้ามาข้างใน
พลันดวงตาของเฟิ่งมู่ชิงเบิกกว้างเพราะความตกใจ
ทำไมสองคนนี้ถึงมาด้วยกันได้?
ผู้มาเยือนใหม่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจวินหรูเย่กับอวี้ชิงเฟิง
ทั้งสองเป็นบุรุษผู้มีใบหน้างดงามและมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง พวกเขาจึงดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ทันทีที่มาเยือนที่แห่งนี้
ถึงอย่างไรชายคนหนึ่งก็เป็นถึงผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ส่วนอีกคนเป็นองค์ชายแห่งแคว้นหนานเยว่ ในวันธรรมดาเป็นเรื่องยากมากจริง ๆ ที่จะได้พบพวกเขา แต่วันนี้ทั้งคู่กลับมาปรากฏตัวพร้อมกันในหอหงโหลว มันช่างเป็นบุญตาของพวกเขาจริง ๆ
ทางด้านจวินหรูเย่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับอวี้ชิงเฟิงที่นี่เช่นกัน แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงเรียบเฉยไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้
เขารู้อยู่นานแล้วว่าคนที่อยู่เบื้องหลังหอหงโหลวก็คือเฟิ่งมู่ชิง มันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะต้องมาสนับสนุนพระชายาของตัวเอง คำถามก็คือ… ทำไมคนผู้นี้ถึงมาที่นี่?
พลันคำพูดของโม่อิ๋งก็ดังก้องอยู่ในหัวของชายหนุ่ม
นายท่าน ท่านจะต้องระวังองค์ชายเอาไว้ให้ดี โม่เยว่บอกว่าบุคคลนี้คิดไม่ซื่อกับพระชายา
หลังจากที่โม่อิ๋งกลับมารายงานเรื่องในวันนั้น จวินหรูเย่ก็จำได้เพียงประโยคนี้เท่านั้น เขาจำมันได้ขึ้นใจจนไม่อาจลบมันออกไปจากสมองได้อีก
เมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองได้พบกันโดยบังเอิญที่ประตูทางเข้าหอหงโหลว ซึ่งอวี้ชิงเฟิงแสดงท่าทางประหลาดใจเล็กน้อยก่อนที่มุมปากของเขาจะกระตุกเป็นรอยยิ้มจาง ๆ
ทันทีที่จวินหรูเย่เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาเกลียดใบหน้ายิ้มแย้มของชายคนนี้มาก
แม้ว่าเขาจะไม่รู้สึกกลัวอวี้ชิงเฟิง แต่อีกฝ่ายก็ถือได้ว่าเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับเขามากที่สุด
ไม่ว่าจะในแง่ของรูปลักษณ์ พวกเขาทั้งสองก็กินกันแทบไม่ลง ในด้านฐานะเขาเป็นผู้สำเร็จราชการฯ ที่มีอำนาจ ในขณะที่อวี้ชิงเฟิงเป็นเพียงตัวประกันจากหนานเยว่ ถ้าแค่เรื่องนี้เขาก็นับว่ามีดีกว่าอีกคนเล็กน้อย
นี่ยังไม่ได้นับรวมเรื่องที่เฟิ่งมู่ชิงเป็นพระชายาในนามของเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงมีข้อได้เปรียบมากกว่า
“ชิงเฟิงได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านผู้สำเร็จราชการฯ มานาน แต่ชิงเฟิงไม่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนท่านสักครั้ง ชิงเฟิงเสียมารยาทแล้ว” อวี้ชิงเฟิงเป็นฝ่ายเอ่ยปากทักทายก่อน
“องค์ชายอวี้มีเวลาว่างมาหาความสำราญในที่แบบนี้ด้วยหรือ?” จวินหรูเย่ถามกลับ
“ชิงเฟิงก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกับท่านมิใช่หรือ?”
บัดนี้ดวงตาของชายหนุ่มทั้งสองประสานกันประหนึ่งมีประกายไฟเกิดขึ้นกลางอากาศ
ต่อมาจวินหรูเย่พ่นลมอย่างเย็นชาแล้วโบกมือให้โม่อิ๋งพาเขาเข้าไปข้างใน
ส่วนอวี้ชิงเฟิงที่ไม่อยากเป็นรองก็ก้าวไปพร้อมกับอีกฝ่าย
ทันทีที่ทั้งคู่เข้าไปยังห้องโถง พวกเขาก็สบเข้ากับสายตาสงสัยของเฟิ่งมู่ชิง ก่อนที่พวกเขาจะมุ่งหน้าขึ้นไปชั้นบนโดยไม่สนใจสายตาตกตะลึงของทุกคนในห้องโถง
พอพวกเขาเปิดประตูเข้าไปก็พบว่ายังมีมู่หรงผิงถิงอยู่ในห้องด้วย
จวินหรูเย่เหลือบตามองบุตรสาวของแม่ทัพเจิ้นหนานอย่างเฉยเมยก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปอยู่ข้าง ๆ เฟิ่งมู่ชิง ในขณะที่อวี้ชิงเฟิงพยักหน้าทักทายนางด้วยรอยยิ้มและนั่งลงฝั่งตรงข้าม
จากนั้นก็เกิดความเงียบงันจนน่าอึดอัดทั่วทั้งห้อง หญิงสาวเลยรีบกระแอมไอทำลายบรรยากาศแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นทันที
“ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”
เฟิ่งมู่ชิงรู้ว่านางไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้จากจวินหรูเย่ได้ และนางก็ไม่ได้อยากปิดบังด้วย แต่ใครจะไปคาดคิดว่าอีกคนจะมาเยือนที่นี่ด้วยตัวเอง
สำหรับอวี้ชิงเฟิง นางก็ไม่เคยพูดถึงหอหงโหลวกับเขาเลย แล้วจู่ ๆ เขามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?
ดูจากท่าทางแล้วเหมือนว่าเขาไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่
“ภรรยาร้องส่วนสามีก็ขับขานรับ ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องตามเจ้ามาเป็นธรรมดาอยู่แล้ว” จวินหรูเย่เหลือบมองอวี้ชิงเฟิงด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าตนอยู่เหนือกว่า
ในเวลาเดียวกัน มือขององค์ชายหนุ่มที่จับจอกสุราก็กระชับขึ้น ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเขากลับแฝงไปด้วยความนัย
“ด้วยข่าวคราวที่แพร่กระจายไปทั่วของหอหงโหลว ชิงเฟิงจึงอยากจะมาเปิดหูเปิดตาสักหน่อย เพราะชิงเฟิงได้ข่าวว่าที่นี่ไม่เหมือนเดิมและมีอะไรใหม่ ๆ ให้น่าตื่นตา”
พอจวินหรูเย่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็ยิ้มเยาะ
ถึงจะบอกว่าหอหงโหลวแตกต่างจากที่อื่น แต่มันก็ยังนับว่าเป็นหอคณิกาอยู่ดี แม้นชายหนุ่มจะใช้คำพูดสวยหรูสักแค่ไหน แต่เขาก็กำลังมาเยือนสถานที่เริงรมย์อย่างปฏิเสธไม่ได้
“เราว่าองค์ชายอวี้ดูเหมือนจะตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะ” จวินหรูเย่พยายามพูดให้อีกฝ่ายดูไม่ดี
แม้เขาจะไม่รู้ว่าอวี้ชิงเฟิงใช้วิธีการไหนในการสืบข่าวที่อยู่ของชิงชิง แต่เขาจะไม่มีวันปล่อยให้ชายคนนี้ได้มีโอกาสเข้าใกล้ชิงชิงแน่นอน
“ท่านผู้สำเร็จราชการฯ กล่าวหนักเกินไปแล้ว” รอยยิ้มขององค์ชายหนุ่มยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ยามนี้ชายทั้งสองคนเผชิญหน้ากันโดยที่ไม่มีใครยอมใครแม้แต่น้อย ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบคุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ
สำหรับหญิงสาวสองคนในห้องก็ได้แต่มองหน้ากันตาปริบ ๆ
นี่พวกเราอยู่ในสนามรบกันอยู่หรือไง!
มู่หรงผิงถิงมองสถานการณ์ตรงหน้าออกในทันที ก่อนที่นางจะหันไปมองเฟิ่งมู่ชิงด้วยสายตาชื่นชม
ผู้ชายสองคนนี้นับได้ว่าเป็นคนที่สมบูรณ์แบบด้วยกันทั้งคู่ แต่พวกเขากำลังแอบแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงเฟิ่งมู่ชิง
แปลก มันแปลกมาก!
ตั้งแต่ที่เฟิ่งมู่ชิงเริ่มกลับมาฝึกวิชาอีกครั้ง ประสาทสัมผัสของนางก็เฉียบคมมากขึ้น ทำให้นางรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มทั้งสองกำลังทำสงครามเย็นกัน นางจึงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
“พวกท่านจะหยุดทะเลาะกันได้หรือยัง?” นางพูดขึ้นพลางหันไปมองจวินหรูเย่ก่อนจะมองไปที่อวี้ชิงเฟิง
สมแล้วที่ชายสองคนนี้เป็นดั่งเทพผู้ยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งบรรยากาศในหอหงโหลวที่รื่นเริงก็ยังไม่มีผลกับพวกเขา แต่ในทางปฏิบัติจริง ๆ นางจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในหอหงโหลวไม่ได้
เฟิ่งมู่ชิงเป็นคนเอ่ยปากทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วน ดังนั้นจวินหรูเย่กับอวี้ชิงเฟิงจึงยอมถอนสายตาหันหน้าไปคนละฝั่ง
จวินหรูเย่: ข้าไม่ควรทำให้ชิงชิงรู้สึกอับอาย ข้าจะต้องไว้หน้าชิงชิงสักหน่อย
อวี้ชิงเฟิง: ข้าไม่ควรทำให้นางรู้สึกอับอาย ข้าจะต้องไว้หน้านางสักหน่อย
ปรากฏว่าชายสองคนที่ไม่ชอบหน้ากันต่างก็มีความคิดตรงกันอย่างน่าประหลาด
เฟิ่งมู่ชิงสังเกตเห็นว่าพวกเขาไม่ค่อยถูกกัน แล้วตัวนางเองก็ไม่อยากให้สถานะเจ้าของหอหงโหลวที่แท้จริงถูกเปิดเผย นางจึงแอบถอนหายใจอยู่เงียบ ๆ
หากหญิงสาวยังนั่งอยู่ที่นี่ต่อไป แม้แต่การหายใจก็ยังต้องระมัดระวัง มันช่างเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจอย่างยิ่ง…
“เชิญพวกท่านสำราญให้เต็มที่ ข้าขอตัวก่อนล่ะ” เฟิ่งมู่ชิงลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปทันทีที่พูดจบ
เมื่อจวินหรูเย่เห็นแผ่นหลังของอีกฝ่ายหายไปจากสายตา ดวงตานิ่งเฉยของเขาก็เหลือบมองอวี้ชิงเฟิงอย่างเย็นชา ก่อนที่เขาจะพ่นลมแล้วรีบตามพระชายาไป
“ฮ่า ๆ”
องค์ชายหนุ่มยิ้มอย่างมีเลศนัย ทว่าแววตาของเขากลับอ่อนโยนกว่าเดิม
ทางด้านมู่หรงผิงถิงที่นั่งดูการแสดงอยู่เงียบ ๆ ก็แสดงท่าทีสนใจขณะที่นางดื่มสุราจอกต่อจอก
การที่นางจะได้มานั่งดื่มสุรารสชาติดีแบบนี้ในอนาคตคงจะเป็นเรื่องยาก ดังนั้นนางจะต้องใช้โอกาสนี้ดื่มให้เต็มที่
ปัจจุบันในห้องเหลือเพียงอวี้ชิงเฟิงกับมู่หรงผิงถิงเพียงสองคน พอเห็นว่าคนที่เขาตั้งใจมาหาไม่อยู่แล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะรั้งอยู่ที่นี่ต่อ ชายหนุ่มจึงบอกลาหญิงสาวแล้วเดินออกไป
“การมาเยือนเมืองหลวงในครั้งนี้ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว” แม่ทัพน้อยหัวเราะเบา ๆ แต่จอกสุราในมือนางก็ไม่เคยถูกวางลงเลย
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ชิงชิงปวดหัวเลย เสน่ห์แรงเกินต้าน 55555
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 177
แสดงความคิดเห็น