บทที่ 1...1/3

-A A +A

บทที่ 1...1/3

          กลางสวนเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีขาวที่ปรานต์จำไม่ได้ว่าเข้ามาถึงได้อย่างไรกำลังมีพิธีสำคัญบางอย่างเกิดขึ้นที่ซุ้มกุหลาบสีขาวซึ่งเข้ากับชุดเจ้าสาวของ...เด็กผู้หญิงที่เขาเห็นหน้าไม่ค่อยชัด ชายหนุ่มขยี้ตาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มองอะไรผิดไปพร้อมกับความสงสัยที่กรุ่นขึ้นกลางใจว่าเด็กน้อยแค่นั้นจะมาแต่งงานได้ยัง ทว่าเมื่อเห็นชุดที่ตัวเองใส่ก็ยิ่งน่าตกใจเข้าไปอีก เมื่อเขาเองก็ใส่สูทสีขาวเหมือนกับเด็กผู้ชายอีกสามคนที่ยืนอยู่ที่ซุ้มดอกไม้เช่นกัน

          ราวกับขาทั้งสองข้างของปรานต์รับคำสั่งจากคนอื่น ทำให้เขาก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าเด็กน้อยหน้าตาหน้ารักคนนั้นแล้วกลายเป็นอีกหนึ่งในตัวเลือก เจ้าบ่าวจะมีสามคน ทั้งที่เจ้าสาวมีเพียงคนเดียวได้อย่างไร ปรานต์หยิกแขนตัวเมื่อมั่นใจว่ากำลังฝันอยู่แน่ๆ ทว่าเขากลับไม่ตื่นไปจากความฝันประหลาดที่ราวกับเคยเกิดขึ้นมาก่อนจนต้องอยู่ในพิธีแปลกประหลาดต่อไปอย่างไม่เข้าใจนัก

          ‘เลือกสิลิลลี่ว่าหนูจะเลือกใครเป็นเจ้าบ่าว’

          ปรานต์มองหาเสียงที่บอกเด็กน้อยลิลลี่ แต่เขาไม่เห็นใครอื่นอีกนอกจากเราสี่คน แล้วเป็นอีกครั้งที่เขาไม่อาจห้ามสายตาให้มองมายังลิลลี่แล้วรออย่างลุ้นระทึก ทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจมาเป็นหนึ่งในตัวเลือกสักหน่อย เรียวปากของเจ้าสาวที่ยังเป็นเด็กน้อยขยับเปิด ปรานต์ถอนใจเบาๆ แล้วรอฟังอย่างตั้งใจ

          ‘ลิลลี่ขอเลือก...’

          พูดมาเร็วๆ สิว่าเลือกใคร ปรานต์เร่งเร้าอยู่ในใจ เวลาราวกับถูกทอดให้ยาวนานออกไปจนคนรออยากตะโกนถามให้ลั่น ทว่าน้ำเสียงที่เด็กน้อยน่ารักคนนั้นได้เอื้อนเอ่ยกลับเบาหวิวจนเขาไม่ได้ยิน แม้จะพยายามเงี่ยหูฟังพร้อมๆ กับลูกบอลใบเบ้อเริ่มพุ่งตรงมาจนกระแทกใบหน้าเขาอย่างจัง!

          ปรานต์สะดุ้งตื่นภายในรถสีดำซึ่งติดฟิล์มจนทึบทำให้มองไม่เห็นว่าใครอยู่ภายในนั้น รถกำลังแล่นจากท่าเรือไปยังบ้านซึ่งโดดเด่นท่ามกลางสีเขียวของต้นไม้มากมายราวกับดินแดนลึกลับและปลอดภัย ปรานต์ถอนใจเป็นรอบที่เท่าไหร่เขาเองก็ขี้เกียจจะนับ หลังจากพ่อรู้ว่าเขาไปทำอะไรไว้ระหว่างหาเรื่องอยู่ทำงานที่กรุงเทพฯ ทำให้การถูกเรียกตัวกลับจนเป็นเรื่องเร่งด่วน ทั้งๆ ที่เรื่องราวระหว่างเขากับตฤณจบลงด้วยดีไม่มีความบาดหมางระหว่างกันแล้วก็ตาม แต่คนอย่างนายหัวใหญ่คฑาไม่มีทางยอมปล่อยผ่าน

          ในฐานะทายาทเพียงคนเดียวของคฑาทำให้ปรานต์ถูกอารักขาในเรื่องของความปลอดภัยเสมอ ยิ่งเมื่อรู้ว่าเขาเพิ่งถูกยิงมาทำให้นอกจากชานนที่แทบจะตามเป็นเงา ตอนนี้เลยเพิ่มเงามาอีกสองคน ช่างเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับปรานต์ไม่น้อย แต่ก็พอเข้าใจหัวอกของพ่อได้ นานมาแล้วเขาเคยมีพี่ชายแต่ก็ตายไปแล้ว จนถึงตอนนี้ยังจับคนวางแผนฆ่าไม่ได้ ทำให้เขาเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ของพ่อ แม้ว่าตอนนี้คู่แข่งทางธุรกิจจะกลายเป็นเพื่อนทางการค้าไปบ้างแล้วก็ตาม แต่ยังคงต้องระวังในเรื่องของความปลอดภัยจากคมกระสุนอยู่ดี

          รถจอดตรงหน้าบ้านสไตล์โคโลเนียลสองชั้นซึ่งชาวบ้านสมัยก่อนมักเรียกว่าตึกฝรั่ง รอบๆ มีระเบียงกว้างที่มีเสามารองรับชายคาเรียงตัวกันสวยงาม ตัวบ้านสีครีมงาช้าง ผนังไม้ตีซ้อนเกล็ดสลับกับผนังปูน ตรงชายคามีบัวปูนปั้นรูปหงส์ กรอบประตูเป็นทรงโค้งส่วนหน้าก็ฉลุลายดูไม่เหมือนบ้านของพวกมาเฟียในหนังเท่าไหร่

ปรานต์ลงมาจากรถแล้วเดินเร็วๆ ไปห้องทำงานของพ่อโดยมีชานนเดินตามมาอย่างเคย พอเปิดประตูห้องกลับไม่พบใคร พ่อไม่ได้รอบ่นเขาอยู่งั้นหรือ

          “พ่อไปไหนล่ะนน”

          “ไม่ทราบครับคุณปรานต์  เดี๋ยวผมจะไปถามจากสาวใช้แล้วกันนะครับ” ชานนบอกกำลังจะออกไปจากห้อง คฑาก็เดินเข้าบ้านมาพอดี

          “ตามพ่อมาเจ้าปรานต์  ตอนนี้มีเรื่องสำคัญรอแกอยู่ ส่วนเรื่องอื่นๆ พ่อจะเฉ่งแกทีหลัง”

          ปรานต์เลิกคิ้วอยากจะหัวเราะเพราะที่เขาถูกสั่งให้กลับจากเรื่องร้อนๆ แต่กลับมีเรื่องที่ร้อนกว่าเนี่ยนะ ถึงจะสงสัยแต่เขาก็เดินตามคฑาไปยังห้องรับรองที่ยามนี้มีจารวีมารออยู่ในชุดพยาบาล แต่กลับไม่อยู่ที่โรงพยาบาลแฮะ

          “นั่งลงแล้วให้หนูรวีเก็บตัวอย่างเลือดของปรานต์ไป แล้วถ้าว่างเมื่อไหร่ไปโรงพยาบาลตรวจพวกสุขภาพด้วย พ่อจำเป็นต้องใช้” คฑาสั่งแถมยังนั่งรออย่างกับกลัวลูกชายหนี

          ปรานต์นั่งลงใกล้ๆ กับจารวีซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก หญิงสาวทำหน้ายิ้มๆ พลางคว้าแขนของเขาไปเตรียมเชือด ชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดจะขัดขืนอยู่แล้ว เพียงแต่สงสัยว่าพ่ออยากได้ผลเลือดกับผลตรวจสุขภาพของเขาไปทำอะไร

          “มามุกไหนน่ะพ่อ กลัวผมเป็นโรคร้ายหรือไงครับ”

          คฑาหัวเราะ “เออ! สิวะ เรื่องนี้สำคัญมากไป อยู่กรุงเทพฯ ตั้งหลายเดือน ถ้าติดโรคอะไรมาจะได้แก้ไขทัน”

          “ผมไม่ประมาทขาดนั้นหรอกพ่อ อยากรู้แค่นี้บอกผมดีๆ ก็ได้ ไม่ต้องรบกวนให้รวีมาเลย ผมเกรใจ”

          “ไม่เป็นไรเลยนะปรานต์  สุขภาพของปรานต์สำคัญที่สุดใช่ไหมคะคุณลุง” จารวีหันมายิ้มเอาใจคฑาเต็มที่เพราะเธอก็แทบเป็นลูกสาวอีกคนของบ้านหลังนี้อยู่แล้ว ส่วนปรานต์ก็เหมือนพี่ชายของเธอ

          “ถูกต้องที่สุดเลยล่ะหนูรวี”

          “มีอะไรที่ผมต้องรู้มากกว่าต้องตรวจเลือดไหมพ่อ บอกตรงๆ ผมไม่เชื่อหรอกว่าพ่อแค่ห่วงผมอย่างสุดซึ้งน่ะ”

          คฑากอดอกยังไม่ปริปาก จารวีเสร็จงานพอดีจึงเก็บตัวอย่างเลือดแล้วรีบขอตัวออกไปจากห้อง ปรานต์กอดอกมองพ่อ หนังตาขวาเริ่มกระตุกยิกๆ อย่างที่คนโบราณบอกว่าขวาร้ายซ้ายดีขึ้นมาทันที

          “บอกมาได้แล้วพ่อ อย่าให้ผมต้องเดาเลย”

          “ไหนๆ ตอนนี้ปรานต์ ก็โสด...” คฑาเริ่มประโยคแล้วก็หยุดเสียเฉยๆ

          “ชักไม่ค่อยดีแฮะ” ปรานต์เริ่มเดาได้ว่าพ่อจะพูดอะไรต่อ

          “ปีนี้ก็สามสิบแล้วสมควรมีเมียสักทีจะไม่ดีได้ยังไง แหวนที่ปรานต์ใส่ไว้ตรงนิ้วก้อยรู้ไหมว่ามันเคยเป็นแหวนหมั้นมาก่อน แหมข่าวดีชัดๆ”

          “อะไรนะพ่อ...”

ปรานต์มองแหวนที่นิ้วตัวเองแล้วก็ชักตะหงิดๆ เพราะพ่อสั่งให้เขาใส่ไว้ตั้งแต่เรียนจบมหา’ลัย พอเขาถามว่าของใคร พ่อก็บอกที่เล่นที่จริงว่าแหวนหมั้น เขาหัวเราะแทบตายในตอนนั้น ใครจะคิดว่าพ่อพูดจริงมาตลอด 

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะถอดออกตอนนี้แหละ”

          คฑาหัวเราะพลางยกมือห้าม “ไม่ต้องรีบๆ แกคิดจะถอดแหวนช้าไปแล้ว มาคิดทำตอนนี้มันก็ไม่เปลี่ยนอะไรหรอกว่ะ”

          “ทำอย่างนี้มัดมือชกกันนี่พ่อ แล้วผมไปยินยอมด้วยตอนไหนทำไมไม่รู้เรื่องมาก่อนเลย” ปรานต์ถามพลางเย่อแหวนสุดฤทธิ์ แต่ทำยังไงก็เอาออกจากนิ้วไม่ได้

          “ช่วยไม่ได้ว่ะ ถ้าแกแต่งงานไปก่อนหน้านี้พ่อคงลืมๆ ไปแล้ว พอดีพ่อไปเจอว่าที่เจ้าสาวของปรานต์ รายนั้นก็ยังโสด แถมนิสัยดี น่ารักเหมาะสมกับแกยิ่งกว่าสาวๆ คนไหนที่แกควงมาก่อน”

          “ใครหรือพ่อ” ปรานต์เริ่มนึกแล้วว่าลูกสาวของเพื่อนพ่อมีใครกันบ้าง แต่พ่อมีเพื่อนเยอะมาก เขาไม่มีทางเดาถูกหรอก “แล้วมันเกี่ยวกับที่ผมต้องตรวจเลือดตรงไหน”

          “เกี่ยวสิ ถ้าปรานต์ไม่มีโรคและแข็งแรงดี ปลายปีนี้ก็แต่งงานเสีย ปลายปีหน้าพ่อจะได้อุ้มหลาน” คฑามั่นใจเต็มสูบ

          ปรานต์หัวเราะลั่นห้อง “นี่ก็เดือนกันยายนแล้ว ปลายปีอยู่ชัดๆ คนนะพ่อไม่ใช่ปลากัด แค่จ้องหน้าก็ก่อหวอดมีลูกลอยเป็นแพ”

          “พ่อรู้น่า ไม่ต้องใจร้อน เสาร์นี้ว่าที่เจ้าสาวของปรานต์จะมาที่นี่ รีบๆ ไปทำความรู้จัก แล้วจีบเสียเลยก็ดีนะ”

          “ใครล่ะพ่อบอกผมมาก่อนสิ” แผนการต่างๆ เริ่มวางคร่าวๆ อยู่ในใจของปรานต์ทันที

          “หาให้เจอเองสิ เรื่องแค่นี้ไม่น่ายากสำหรับปรานต์หรอก ทีเรื่องที่ไม่ได้สั่งยากกว่านี้ยังทำได้จนถูกยิงมาเลยนี่หว่า” คฑาได้ทีวกกลับเข้าเรื่อง “หายดีแล้วใช่ไหม”

“จะอาการทรุดเพราะข่าวดีของพ่อเนี่ยแหละ” ปรานต์หัวเราะ เขาแค่ไปเคลียร์กับเพื่อนเรื่องธุรกิจ แต่มีใครไม่รู้มาลอบกัดเลยถูกยิงถากๆ มานิดหน่อยเท่านั้น แม้เขาจะสงสัยตฤณอยู่บ้าง แต่เจ้านั่นไม่น่าทำเรื่องที่ทำให้มีแต่คนสงสัยตัวเองแบบนั้นหรอก

คฑาหัวเราะดังกว่า ก่อนจะออกไปจากห้องอย่างสบายใจหลังจากทิ้งความหนักใจไว้ให้ปรานต์เสร็จสรรพ แต่คนอย่างปรานต์มีหรือที่จะจนมุม ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์เพราะไม่มีใครในยุคนี้หรอกที่อยากถูกคลุมถุงชน ถ้าเขาเจรจากับผู้หญิงที่พ่อหมายตาได้ อย่าว่าแต่งานแต่งเลย แม้แต่งานหมั้นก็คงไม่เกิดขึ้น

          “เวร...ทำยังไงก็ถอดไม่ออกเฮ้อ”

          ปรานต์มองนิ้วก้อยแดงเถือกของตัวเอง หลังจากพยายามถอดแหวนออกอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่มันเหมือนแหวนปีศาจที่สิงนิ้วของเขาจนกลายเป็นบ้านของมันไปแล้ว

          “คุณปรานต์กำลังทำอะไรอยู่หรือครับ”

          ชานนถามมาจากหน้าห้อง ปรานต์ถอนใจเซ็งๆ เลิกสนใจแหวนที่นิ้วก้อยชั่วคราวเพราะมันไม่สำคัญอะไรเลยหากว่าเขาทำให้งานแต่งงานไม่เกิดขึ้นจนได้

          “ไปสืบว่าพ่อจะหาผู้หญิงที่ไหนมาแต่งงานกับฉัน แล้วห้ามบอกพ่อล่ะว่าฉันบอกให้นายไปช่วยสืบ”

          “นายหัวใหญ่บอกว่าให้คุณปรานต์หาด้วยตัวเอง แถมยังทิ้งท้ายว่าไม่น่าหาเจอเพราะ...” ชานนแกล้งอ้ำอึ้ง

          “เพราะอะไร นายรู้อะไรก็บอกมาเลยนะ”

          ชานนยิ้มขำๆ แต่กลับถูกนายหัวอีกคนทำหน้าเคร่งใส่

          “คุณปรานต์หาว่าที่เจ้าสาวไม่เจอแน่ๆ ถ้านายหัวใหญ่ไม่เป็นคนที่บอกเอง ราคาของคำตอบคือการแต่งงานจะเลื่อนเข้ามาเร็วขึ้นอีกหนึ่งเดือน”

          “โห ทำอย่างกับจะแต่งวันนี้พรุ่งนี้”

ปรานต์ส่ายหน้าไม่ทันได้สงสัยอะไร จนกระทั่งชานนยอมคายความลับอีกเรื่องออกมาให้เขาปวดหัวจี๊ด

          “ดูเหมือนนายหัวใหญ่จะแพลนไว้สองเดือนหน้านะครับ ผมคิดว่าคุณปรานต์คงไม่อยากให้เร็วขึ้นกลายเป็นเดือนหน้าละมั้ง”

          จริงจังหรือนี่!

ปรานต์ถอนใจยาวเพราะความหวังอันน้อยนิดของเขาคือพ่อแค่อยากเอาคืนที่ไปก่อเรื่องไว้ โรคที่พ่ออยากมีลูกสะใภ้ต้องไปรักษาที่ไหนถึงจะหายนะ น่าจะพาชานนไปรักษาให้เลิกทำหน้ากวนเบื้องล่างอีกคน

          “ถ้างั้นช่วยก็ไปไกลๆ เลย ตอนนี้ถ้าพูดเรื่องแต่งงาน นายได้ถูกไล่ไปอยู่เกาะแน่ๆ”

          “แต่งไปเหอะครับ คุณปรานต์ก็ไม่ได้มีแฟนที่ไหนสักหน่อย” ชานนเสนอทำหน้าซื่อสุดฤทธิ์

          ปรานต์สูดหายใจเข้าไปจนเต็มปอด เขาก็ว่าจะไม่โมโหแล้วนะ

“ถ้าไม่อยากถูกจับหมกท้ายเกาะก็ออกไปเลย คนกำลังกลุ้มๆ อย่ามาแหย่”

          ชานนยอมทำตามแต่โดยดี แต่ยังไม่วายหัวเราะชอบใจ ปรานต์กัดฟันกรอดๆ โมโหใส่คนสนิทที่พ่อดูแลเหมือนลูกชายอีกคนไปก็ไม่มีประโยชน์ คิดหรือว่าจะมาจับเขาแต่งงานง่ายๆ ถ้าเปลี่ยนใจว่าที่เจ้าสาวไม่ได้ เขานี่แหละจะไปบวชเสียเอง

 

          พ่อจะหาเจ้าสาวให้ ปรานต์มันจะไปยอมได้ไง

        ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านค่ะ

         อัมราน_บรรพตี

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.