บทที่ 9...1/3
ภาวิตมาถึงร้านอาหารย่านชานเมืองที่จิณณ์เป็นฝ่ายนัดเขามาพบ มีคนในร้านไม่มากนักทำให้ทำตัวสบายๆ ได้ เบื้องหน้าทั้งสองดูเหมือนมิตรแท้ทางธุรกิจ แม้จะมีลูกค้าคนละกลุ่มกัน แต่ในความเป็นจริงก็แค่ทำตามบทบาทของสถานการณ์รอบตัวเท่านั้น การเกลียดไม่จำเป็นต้องแสดงออกต่อหน้า
จิณณ์มาถึงก่อนสักพักแล้ว บนโต๊ะมีอาหารเพิ่งปรุงเสร็จ ภาวิตยิ้มร่าเข้าไปทักทาย ‘เพื่อน’ ท่ามกลางคนสนิทของทั้งสองฝ่าย
“ฉันดีใจนะที่นายมา” จิณณ์เอ่ย แม้ว่าภายในใจจะเต็มไปด้วยความโกรธ มันทำร้ายลูกชายของเขา
ภาวิตยิ้มพลางเลิกคิ้วก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวใกล้ๆ กัน คนของเขารายงานมาว่าเมื่อวันก่อนพันธินไปหาจิณณ์ แล้วหลังจากนั้นการนัดหมายจึงเกิดขึ้น เขามาเพราะอยากรู้ ไม่ได้มาเพื่อสานไมตรีที่มีเพียงฉาบฉวย การเป็นคนมีชื่อเสียงทำให้ต้องเสแสร้งในบางครั้งกับคนบางคน
“ฉันคิดว่าเรามาพูดกันตรงๆ ดีกว่า เราไม่ได้พูดเล่นกันตามประสาเพื่อนกันมานานมากแล้ว นายมีอะไรถึงอยากพบฉัน”
จิณณ์ยิ้มเพียงริมฝีปาก ใบหน้าเรียบเฉย เราสองคนมันพวกรู้ทันกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าคืนนั้นไม่มีพันแสงเข้ามาและเขาเห็นภาพจากกล้องวงจรปิดตั้งแต่แรกคงคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ว่ามันนี่แหละที่ฆ่าลูกชายของเขา
“ก็ได้ ฉันจะไม่อ้อมค้อม คืนที่ไอ้เมธตาย นายอยู่ที่ผับนั้นหรือเปล่า”
“ถามทำไม ฉันบอกนายแล้วนี่ว่าไปผับนั้น และเห็นว่าพันแสงกำลังยื้อยุดกับเจ้าเมธ” ภาวิตเล่าเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน เขาเจอจิรเมธแล้วใครจะทำไม
“งั้นเหรอ”
“เรื่องมันนานมากแล้ว อยู่ๆ ทำไมถึงถาม ไหนๆ พันแสงก็ตายไปแล้ว นายน่าจะพอใจไม่ใช่เหรอ”
คนเสียลูกชายหัวเราะเสียงต่ำๆ เขาอยากถามออกไปตรงๆ ว่าแกใช่ไหมที่ฆ่าลูกชายของเขา แต่มันง่ายเกินไป ถ้าโกหกมาได้เป็นปี แล้วมีเหตุผลอะไรจะพูดความจริงในวันนี้ เขามีอีกหลายเกมจะเล่นให้มันกระอักเลือดจากการโกหก
“นั่นสินะ ฉันหายสงสัยแล้ว ขอบใจที่มาพบ อาหารมื้อนี้ฉันถือว่าเลี้ยงที่เรามาพบกัน”
จิณณ์ลุกขึ้น ก่อนหน้านี้เขาคงกินอาหารร่วมกับคนที่สีเทาๆ พอกันได้ แต่สำหรับตอนนี้ เท่าที่ไม่ดึงปืนมายิงแสกหน้าก็นับว่าเขาใจเย็นเป็นน้ำแข็งแล้ว ภาวิตเลิกคิ้วสงสัย แต่ไม่รั้ง เรื่องแค่นี้เขาสืบได้ไม่ยากหรอก คล้อยหลังไปไม่นาน ภาวิตก็สั่งงานคนของเขาให้ตามสืบเรื่องสำคัญอย่างพันธินมาหาจิณณ์เพื่อพูดเรื่องอะไร
อรอินทุ์มาที่ตึกเอ็มไพร์ กรุ๊ป สำนักงานใหญ่ก่อนเวลาที่แจ้งในใบประกาศเกือบครึ่งชั่วโมง รอไม่ถึงห้านาทีธนิดาก็ลงมาจากรถแท็กซี่ ส่วนพิพัฒวันนี้ทำงานที่เก่าเป็นวันสุดท้าย สองสาวเลยต้องออกทัพหางานใหญ่กันก่อน การเปิดบริษัทเป็นไปด้วยดีและเป็นไปตามกฎหมายเมื่อสัปดาห์ก่อน ออฟฟิศนั้นเปิดใช้งานแล้ว ส่วนงานทำบุญเปิดออฟฟิศใหม่ได้ทำแน่ แต่เป็นสัปดาห์หน้า การที่เธอกับเพื่อนๆ พอจะมีชื่อเสียงที่ดีจากผลงานที่ทำ ทำให้ถึงจะเป็นบริษัทน้องใหม่ก็ใช่ว่าไม่น่าเชื่อถือ อีกทั้งโฆษณาที่อรอินทุ์เป็นคนคิดตอนทำงานกับบริษัท Leoness เพิ่งได้รับรางวัล ยิ่งเป็นการการันตีถึงความสามารถได้ แต่สมพงศ์ก็ได้หน้าไปเช่นกัน
อรอินทุ์รผิดคาดจากที่คิดไม่น้อย เธอเตรียมตัวมารับศึกหนักเพราะอาจมีบริษัทมาขอเสนองานไม่ต่ำกว่าสิบบริษัท แต่มาถึงจริงๆ กลับมีแค่สาม รวมทั้งบริษัท Dream glow ของเธอและเพื่อนๆ
“มีบริษัทมาเสนอตัวไม่กี่รายแฮะ อย่างนี้ค่อยเห็นโอกาสหน่อย” ธนิดาถอนใจโล่งอกนิดๆ นึกว่าจะมีคู่แข่งมากกว่านี้เสียแล้ว
อรอินทุ์หัวเราะพลางชี้ไปยังผู้เสนอตัวรายล่าสุดซึ่งกำลังเดินออกมาจากลิฟต์ ไม่นึกเลยแฮะว่าจะเจอกันเร็วแบบนี้
“ก็บริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่มาเองแบบนั้น เป็นดาจะมาให้เหนื่อยไหมล่ะ”
สมพงศ์กับเบญญาออกจากลิฟต์มาด้วยกัน แน่ล่ะ ถ้างานนี้บริษัท Leoness ไม่มาสิแปลก ธนิดาเบ้ปาก เห็นแล้วอากาศดีๆ หายไปเกือบหมด
“เบื่อจังแฮะ ทำไมเจ้านายเก่าของอรไม่ปล่อยๆ งานให้คนอื่นบ้างก็ไม่รู้”
“อย่างนี้แหละดีแล้ว เวลาชวดโฆษณาตัวนี้จะได้เป็นข่าวดัง ฉันอยากแก้แค้นพวกนั้นด้วยสมอง งานนี้แหละเหมาะ เจ็บแรงดี” อรอินทุ์ไม่รู้ว่าเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหน อย่างน้อยงานโฆษณาคราวที่แล้วของเอ็มไพร์ กรุ๊ป เธอก็เป็นหนึ่งในทีมคิดเรื่องราวจนออกมาเป็นโฆษณาล่ะน่า
“โอเค สู้กันด้วยสมองสักตั้ง”
สองสาวเดินออกมาจากที่นั่ง จะว่าจงใจให้เจ้านายและเพื่อนร่วมงานเก่าเห็นก็ได้ แล้วพลาดเสียที่ไหน เบญญาเดินมาหาแล้วมองคู่แข่งที่ดูไร้ภาษีตั้งแต่หัวจรดเท้า ที่ได้ยินว่าอรอินทุ์เปิดบริษัทโฆษณาคงเป็นเรื่องจริงสินะ
“มาทำอะไรหรืออร ถ้าจะมาเป็นหนึ่งในตัวเลือกแล้วล่ะก็นะ พี่คิดว่าอรกลับไปดีกว่า เสียเวลาเปล่า” สมพงศ์ส่ายหน้า เสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“ไม่ล่ะค่ะ อรตั้งใจมาแล้ว” อรอินทุ์ยิ้ม ถามว่ามั่นใจไหม บอกเลยว่ามาก แต่ก็อดที่จะนอยด์นิดๆ ไม่ได้ ทีมงานของเธอมีแค่สามคน หากรวมพนักงานที่รับเพิ่มมาอีกสามคน รวมๆ กันก็แค่หกคน แต่คนของสมพงศ์มีเกือบยี่สิบคนที่เป็นพนักงานประจำ
“แน่ใจเหรอ” เบญญาส่ายหน้าเบ้ปาก “คงได้แค่มาเสนองานเท่านั้นแหละ บริษัทโฆษณาที่ควรทำพวกคัทเอาท์กับยาทาเท้า ตอนนี้จะยกระดับมาทำโฆษณาบริษัทยักษ์ใหญ่ ฝันไปหรือเปล่ายัยอร”
“ถ้ากลัวก็หยุดพูดไปได้เลย” อรอินทุ์ย้อนแบบปรายตามอง
“อ้อ ฉันก็ลืมไปว่าพ่อเธอเป็นใคร คิดจะใช้เส้นสายงั้นสิ”
“ปากแย่ๆ คิดแย่ อรอย่าไปสนใจ ไปนั่งรอในห้องดีกว่า อยู่ตรงนี้ก็รำคาญพวกคันปากเปล่าๆ” ธนิดาชักโมโหแทนเพื่อน เธอรู้ดีอรอินทุ์ไม่ใช่คนแบบนั้น
“นี่เธอว่าฉันเหรอ”
“ก็ไม่รู้สินะ” ธนิดาทำหน้ากวนๆ ยักไหล่ใส่เบญญา แล้วจับมืออรอินทุ์ให้เดินไปด้วยกัน ขืนอยู่ตรงนี้ต่อมีหวังเธอนี่แหละได้ชกใครคว่ำ
สมพงศ์เดินไปที่มุมรับแขก สายตายังคงมองอรอินทุ์อย่างเสียดาย แต่เพราะเบญญาอยู่ตรงนี้ทำให้เขาทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้ และที่สำคัญวันนี้เราเป็นคู่แข่งกัน ทำไมอรอินทุ์ถึงได้ดูมั่นใจนัก นี่ต่างหากที่ควรกังวล
“ฉันไม่สบายใจเลย ถ้าอรเอาจริงขึ้นมาก็ไม่แน่”
เบญญายิ้มเหี้ยมๆ การทำงานโฆษณาแข่งกันด้วยสมอง แต่เธอไม่เกี่ยงวิธีอรอินทุ์ก็เก่งพอตัว แล้วเรื่องอะไรจะยอมให้คนเก่งมาเป็นคู่แข่งลอยหน้าลอยตา
“กลัวไปทำไมคะ เบญมีวิธี รูปในมือถือที่คุณพงศ์ถ่ายมายังไงล่ะคะ รับรองยัยอรได้มาแค่วันนี้เท่านั้นแหละ”
สมพงศ์ยิ้มได้ทันที เขาลืมรูปที่อุตส่าห์ไปถ่ายไว้ได้ยังไง เรื่องราวรักสามเศร้าของดารามีนักข่าวคนไหนบ้างไม่สนใจ หากเพิ่มมือที่สี่เข้าไปเรื่องราวจะยิ่งน่าติดตาม หวังผลได้มากกว่าข่าว หากบริษัทของอรอินทุ์ได้งานนี้เหตุผลคงไม่พ้นเรื่องเส้นสายและการเอาตัวเข้าแลกเท่านั้น วงการโฆษณากว้างก็จริง แต่ก็ไม่แคบ เขารู้จุดอ่อนของคู่แข่งแล้วเรื่องอะไรจะไม่ใช้
อรอินทุ์เจออุปสรรคแล้ว คราวนี้จะหาทางผ่านไปได้ยังไงนะ
ปล. เดี๋ยวโบว์จะส่งต้นฉบับนิยายให้ทาง MEB เพื่อลงเป็น E-BOOK ถ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วจะมาแจ้งให้ทราบกันนะคะ
จะมา up เรื่อยๆ นะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านค่ะ
อัมราน_บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 193
แสดงความคิดเห็น