ตอนที่ 748 ผสานกฎ VS ผสานกฎ
ตอนที่ 748 ผสานกฎ VS ผสานกฎ
เมื่อเซี่ยเทียนถอดแว่นตา ทุกคนก็ได้เห็นว่าดวงตาของชายชราคนนี้ได้กลายเป็นสีแดงเลือด
เซี่ยเทียนที่สวมแว่นตาอยู่นั้นดูเป็นชายชราผู้ใจดี อย่างไรก็ตามเมื่อเขาถอดแว่นตาออกอารมณ์ความรู้สึกที่เขาแสดงออกมากลับเปลี่ยนไปอย่างบ้าคลั่ง แล้วมันก็ให้ความรู้สึกคล้ายกับว่ามีชั้นหมอกสีดำพุ่งออกมาล้อมรอบร่างของชายชราผู้นี้เอาไว้
จู่ ๆ สถานการณ์ในสนามรบก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อสัตว์ประหลาดกำลังยืนเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาด
ความบ้าคลั่งที่เซียงอู๋เฉิงแสดงออกมาจัดอยู่ในระดับที่น่ากลัวมาก แต่เซี่ยเทียนที่ถอดแว่นตากลับให้ความรู้สึกที่บ้าคลั่งมากยิ่งกว่าเซียงอู๋เฉิงเสียอีก
—
“นายรู้ไหมว่าทำไมเซี่ยเทียนถึงมักจะสวมแว่นตาและนั่งสมาธิอยู่บ่อย ๆ?” เซี่ยบูหยุนกล่าวถาม
“ทำไมเหรอครับ?” เซี่ยเฟยถามด้วยความสงสัย
“นั่นเป็นเพราะว่าในตอนที่เขายังเด็ก เซี่ยเทียนมีนิสัยที่ดุร้ายมาก เคยมีศัตรูถูกสังหารภายใต้มือคู่นั้นเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้นำตระกูลคนก่อนจึงลงโทษให้เขาไปฝึกสมาธิ โดยหวังว่าเขาจะสามารถควบคุมอารมณ์ความบ้าคลั่งภายในใจของเขาได้” เซี่ยบูหยุนกล่าว
เซี่ยเฟยชะงักค้างไปเล็กน้อยเมื่อเขาได้รู้ว่าเซี่ยเทียนคือผู้ที่มีนิสัยโหดร้ายมากที่สุดในตระกูล ทั้ง ๆ ที่รูปลักษณ์ภายนอกของชายคนนี้ดูเป็นชายชราใจดีที่สงบนิ่งมาก มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าในตอนที่เขายังเด็กเขาเป็นนักรบที่โหดร้ายมากแค่ไหน
“ตระกูลมูนวอร์ดคงจะคิดว่าพวกเขาเจอคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอ แต่น่าเสียดายที่พวกเขาคิดคำนวณผิดไปเยอะเลย” เซี่ยบูหยุนกล่าว
—
เมื่อเซี่ยเทียนถอดแว่นตาออกจิตสังหารของเขาก็ปกคลุมทั่วทั้งร่างเซียงอู๋เฉิงในทันที
ท้ายที่สุดเขาก็คือผู้ที่กระหายเลือดมากที่สุดในตระกูล และเมื่อเขาถูกศัตรูกดดันมันก็จำเป็นจะต้องทำให้เขาถอดแว่นตาของตัวเองออกมา
เซียงอู๋เฉิงก้าวเท้าถอยหลังตามสัญชาตญาณอย่างต่อเนื่อง เพราะมันสัมผัสได้ว่าจู่ ๆ ชายตรงหน้าก็เปลี่ยนเป็นศัตรูที่น่ากลัว
ฮ่า ๆ ๆ ๆ!
เซี่ยเทียนส่งเสียงหัวเราะพร้อมกับเงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้า ราวกับว่าอารมณ์ทุกอย่างถูกปลดปล่อยออกมาหลังจากถูกเก็บกดเอาไว้เป็นเวลานาน
“ฉันไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานมากแล้ว ขอบใจแกมาก ในที่สุดฉันก็ไม่จำเป็นจะต้องซ่อนตัวตนของตัวเองเอาไว้อีกต่อไป” เซี่ยเทียนจ้องมองไปยังเซียงอู๋เฉิงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ฟุบ!
ร่างของเซี่ยเทียนหายไปจากตำแหน่งเดิมอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะใช้ดาบในมือจู่โจมออกไปตรง ๆ
เป้ง!
นับตั้งแต่เซี่ยเทียนถอดแว่นตา การต่อสู้ที่แท้จริงมันก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
เมื่ออาวุธของทั้งสองฝ่ายปะทะกันร่างของเซี่ยเทียนก็หายไปอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวขึ้นด้านบนเหนือศีรษะของเซียงอู๋เฉิง และเขาก็ยังคงจู่โจมด้วยวิธีการอันเรียบง่ายแต่กลับให้ผลลัพธ์ที่รุนแรง
ตูม! ตูม! ตูม!
หลังจากเซี่ยเทียนถอดแว่นตาของเขาออก มันก็ไม่เพียงแต่อารมณ์ของเขาที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น เพราะความเร็วของเขามันก็เพิ่มขึ้นไปจากเดิมด้วย
ชายชราจู่โจมเข้าใส่เซียงอู๋เฉิงอย่างต่อเนื่องหลายพันครั้งต่อวินาที และการโจมตีของเขาก็ทำให้เหล่าบรรดาผู้ชมเริ่มรู้สึกตื่นตระหนก
ตอนแรกเซียงอู๋เฉิงสามารถติดตามความเร็วของอีกฝ่ายและป้องกันได้อย่างทันท่วงที แต่ในตอนนี้ทุกครั้งที่เซี่ยเทียนโจมตี มันจะเริ่มมีหลุมอุกกาบาตเกิดขึ้นจากการที่ทั้งสองฝ่ายได้ปะทะกัน
อ๊ากกก!
เซียงอู๋เฉิงเงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมกับร้องคำรามออกมาอย่างกังวล แต่น่าเสียดายก่อนที่เขาจะระบายความคับข้องใจออกไปได้ พื้นที่บริเวณแก้มของเขาก็ถูกฟันจนเกิดแผลเปิดฉีกปากของเขาออกเป็นทางยาว
ร่างกายของเซี่ยเทียนสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง และมันก็ไม่ใช่อาการที่เกิดขึ้นจากความเหนื่อยล้า แต่มันเป็นเพราะว่าเขากำลังรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นเลือดของศัตรู
ในตอนนี้ไม่เพียงแต่ใบหน้าของเซียงอู๋เฉิงเท่านั้นที่มีบาดแผล เพราะทั่วทั้งร่างกายของเขาก็มีบาดแผลที่เกิดจากรอยบาดปรากฏขึ้นอยู่จนทั่ว
การจู่โจมของเซี่ยเทียนเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นไปเพียงแค่ไม่กี่วินาที แต่มันกลับทิ้งรอยแผลเอาไว้ทั่วทั้งร่างของศัตรูมากกว่า 10,000 รอย
น่าเสียดายที่ปฏิกิริยาตอบสนองของเซียงอู๋เฉิงรวดเร็วเกินไป ทุกครั้งก่อนที่การโจมตีของเซี่ยเทียนจะเจาะทะลุไปจนถึงกระดูก เขาก็จะถูกบล็อกการโจมตีเอาไว้ซะก่อน ไม่อย่างนั้นเซียงอู๋เฉิงก็คงจะถูกเขาสังหารไปได้ตั้งนานแล้ว
อย่างไรก็ตามอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นในการโจมตีก่อนหน้านี้ก็ทำให้เซี่ยเทียนได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นเดียวกัน มันจึงทำให้ร่างกายของทั้งคู่ต่างก็ชุ่มโชกไปด้วยเลือดสีแดง
แม้ว่าร่างกายจะบาดเจ็บสาหัสแต่เซี่ยเทียนก็ยังยกใบดาบที่เปื้อนเลือดของศัตรูขึ้นมา จากนั้นเขาก็เริ่มเลียเลือดเข้าไปในปากพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย คล้ายกับว่าเขาไม่รู้สึกถึงอาการเจ็บปวดบนร่างกาย แต่กำลังมีความสุขจากการที่ได้ปลดปล่อยความคลั่งของตัวเองออกมา
—
“แข็งแกร่งมาก! ตอนนี้ความเร็วของผู้อาวุโสน่าจะถึง 1 ล้านเมตรต่อวินาทีแล้วใช่ไหมครับ?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ไม่ใช่! ความเร็ว 1 ล้านเมตรต่อวินาทีเป็นความเร็วสูงสุดในตอนที่เซี่ยเทียนกำลังสวมแว่นอยู่ต่างหาก ตอนนี้ความเร็วของเขาพุ่งสูงขึ้นจนเกือบจะถึง 2 ล้านเมตรต่อวินาทีแล้ว” เซี่ยบูหยุนกล่าว
‘2 ล้านเมตรต่อวินาที!! ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมฉันถึงมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของเขา ความเร็วระดับนี้มันจะน่ากลัวมากเกินไปแล้ว’ เซี่ยเฟยคิดภายในใจอย่างตกตะลึง
ความเร็วในระดับนี้เป็นความเร็วที่ทำให้เซี่ยเทียนสามารถวิ่งรอบโลกได้ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น และมันก็เป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการว่ามนุษย์ผู้อ่อนแอจะสามารถทำความเร็วในระดับนี้ได้ยังไง
—
สถานการณ์ในสนามรบเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้เหล่าบรรดาผู้ชมแทบที่จะไม่มีโอกาสได้พักหายใจ
หลังจากการเผชิญหน้าในช่วงสั้น ๆ เซียงอู๋เฉิงก็เริ่มทำการโต้ตอบกลับไปอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็ยังคงใช้การจู่โจมในพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อทำลายความได้เปรียบทางด้านความเร็วของเซี่ยเทียน
เมื่อพบกับลูกไม้เดิม ๆ เซี่ยเทียนก็เริ่มเปลี่ยนกลยุทธ์ในการต่อสู้ด้วยเหมือนกัน ซึ่งนอกเหนือจากการใช้กฎแห่งความเร็วแล้วเขายังใช้กฎมิติออกมาในการต่อสู้อีกด้วย
ร่างของเซี่ยเทียนเคลื่อนไหวออกไปนอกระยะการโจมตีของเซียงอู๋เฉิงอย่างฉับพลัน ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็ทำการสะบัดข้อมือเพื่อจู่โจมด้วยคลื่นมิติฉีกขาด
ในฐานะหนึ่งในตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในดินแดนกฎ นอกเหนือจากตระกูลสกายวิงจะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องการใช้กฎแห่งความเร็วแล้ว พวกเขายังสามารถใช้กฎมิติและกฏแห่งสสารได้อีกด้วย
การต่อสู้เริ่มน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเซียงอู๋เฉิงยังคงพยายามใช้การจู่โจมแบบวงกว้างเพื่อจู่โจมเข้าใส่เซี่ยเทียน ขณะที่เซี่ยเทียนใช้ความเร็วเว้นระยะห่างหลบการโจมตีออกไป และได้ใช้คลื่นมิติในการจู่โจมโต้กลับ
—
“ไอ้คนเจ้าเล่ห์!!” เซียงจินเฉิงทุบหน้าต่างอย่างแรงจนทำให้บานหน้าต่างของยานรบเกือบที่จะแตกออกจากกัน
เซียงอู๋เฉิงคือน้องชายแท้ ๆ ของเซียงจินเฉิง ซึ่งการที่น้องชายของเขาได้กลายเป็นสัตว์ประหลาดแบบนี้ มันก็ทำให้เขารู้สึกทุกข์ใจมากพอแล้ว แต่การที่เซียงอู๋เฉิงต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ มันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกทุกข์ใจมากขึ้นกว่าเดิม
“ไม่ต้องห่วง ตอนนี้เซียงอู๋เฉิงกำลังจะสูญเสียการควบคุมสติสัมปชัญญะไปอย่างสมบูรณ์แล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเคลื่อนไหวโดยสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียว เมื่อนั้นเขาก็จะแสดงด้านที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองออกมา” เซียงหลี่จิงกล่าวขึ้นมาเบา ๆ
—
การเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองฝ่ายกินเวลาไปนานหลายวินาที และเซียงอู๋เฉิงก็กำลังถูกเซี่ยเทียนทรมานจนร่างกายแทบจะกลายเป็นเพียงแค่ก้อนเนื้อ
แต่ในระหว่างที่ทุกคนกำลังคิดว่าเซียงอู๋เฉิงจะพ่ายแพ้อยู่นั่นเอง จู่ ๆ เขาก็เริ่มทำการรวมพลังในชนิดที่ทุกคนไม่เคยคาดคิด
“เขากำลังผสานพลัง!” ผู้ชมคนหนึ่งอุทานขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก เมื่อเขาได้เห็นลำแสงที่เกิดจากการรวมพลังของกฎแห่งสสารและกฎมิติเล็ดลอดออกมาจากร่างของเซียงอู๋เฉิง
“การพยายามผสานพลังแบบนี้มันจะก่อให้เกิดผลกระทบกับร่างกายสูงมาก คราวนี้เขาคงพยายามทุ่มกำลังอย่างสุดชีวิตเพื่อกำจัดศัตรูแล้วสินะ”
“ถึงแม้ว่าเซียงอู๋เฉิงจะเป็นจักรพรรดิกฎ แต่เขาก็คงไม่สามารถปิดกั้นไม่ให้พลังกฎที่ผสานกันกัดกินร่างกายของเขาได้อยู่ดี แม้ว่าเขาจะได้รับชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ผลลัพธ์ที่ตามมามันก็คงจะก่อให้เกิดความเสียหายกับร่างกายของเขาไปตลอดกาล”
ผู้ชมทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลระดับสูงของตระกูลขนาดใหญ่ พวกเขาจึงมีข้อมูลที่ไม่ธรรมดาและทุกคนก็สามารถสังเกตเห็นถึงความผิดปกติบนสนามรบได้อย่างรวดเร็ว
ตระกูลใหญ่ทุกตระกูลต่างก็มีแผนกวิจัยการใช้พลังกฎเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าการผสานพลังคือหนึ่งในหัวข้อหลักของการวิจัยในทุกตระกูล และผลสรุปที่พวกเขาได้ก็คือหากใครต้องการที่จะผสานกฎแห่งมิติเข้ากับกฎแห่งสสาร คนคนนั้นก็ควรจะต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งมาก เพื่อไม่ให้พลังของกฎกัดกร่อนร่างของผู้ใช้จนก่อให้เกิดความเสียหายตามมาในภายหลัง
อย่างเร็วที่สุดผู้ที่จะใช้พลังนี้ก็ควรจะต้องมีพลังในระดับจักรพรรดิกฎขั้นสูงเสียก่อน การที่จักรพรรดิกฎขั้นต้นอย่างเซียงอู๋เฉิงพยายามผสานกฎทั้งสองเข้าด้วยกัน มันจึงไม่ต่างไปจากการที่เขาพยายามจะฆ่าตัวตาย
ตูม!
เซี่ยเทียนจู่โจมเข้าใส่เซียงอู๋เฉิงอีกครั้งแล้วมันก็ก่อให้เกิดการระเบิดที่รุนแรง
อย่างไรก็ตามการโจมตีในคราวนี้ไม่สามารถที่จะสร้างความเสียหายให้กับเซียงอู๋เฉิงได้ เพราะพลังมิติของเขาถูกทำลายหายไปก่อนที่มันจะได้สัมผัสกับร่างของศัตรู
การผสานกฎเป็นเทคนิคระดับสูงที่ไม่เพียงจะทำให้ผู้ใช้ได้รับพลังที่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่ร่างกายของพวกเขายังจะได้รับการป้องกันระดับสูงติดตัวมาอีกด้วย ท้ายที่สุดวิธีการนี้ก็คือการผสานพลังของกฎทั้งสองชนิดเข้ากับร่างกายของตัวเอง ร่างกายของผู้ผสานกฎจึงมีอำนาจในการป้องกันติดตัวมาโดยอัตโนมัติ
เซี่ยเฟยมองไปยังสนามรบด้วยความกังวล เพราะโอโร่เคยบอกกับเขาแล้วว่าการผสานกฎเข้าด้วยกันแบบนี้จะทำให้พลังของผู้ใช้เพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างก้าวกระโดด แล้วมันย่อมทำให้ทางฝั่งเซี่ยเทียนตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ
เมื่อเห็นว่าการจู่โจมไม่สามารถทำร้ายศัตรูได้ เซี่ยเทียนก็หยุดการเคลื่อนไหวและจ้องมองไปทางเซียงอู๋เฉิงด้วยแววตาอันเย็นชา
พริบตาต่อมามันก็เริ่มมีแสงสีขาวจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนร่างของเขา แน่นอนว่าแสงสว่างที่เกิดขึ้นแบบนี้เกิดจากการผสานพลังกฎเข้าด้วยกัน
จักรพรรดิกฎทั้งสองต่างก็ใช้เทคนิคการผสานพลังกฎเข้ากับร่างกายของตัวเอง ซึ่งมันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทั้งคู่ต่างก็พยายามต่อสู้อย่างสิ้นหวัง
เซี่ยบูหยุนกำหมัดแน่นโดยไม่พูดอะไร ขณะที่ทุกคนต่างก็มองไปยังภาพสถานการณ์ตรงหน้าด้วยดวงตาอันเบิกกว้าง
1 วินาที, 2 วินาที, 3 วินาที …
ทุกวินาทีต่างก็ให้ความรู้สึกราวกับเวลาผ่านไปนานนับร้อยปี
ทั้งเซี่ยเทียนและเซียงอู๋เฉิงต่างก็ยืนอยู่นิ่ง ๆ เพื่อหลอมรวมพลังกฎเข้ากับร่าง และทำให้แสงสว่างรอบ ๆ ตัวของพวกเขาทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ตูม!
ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายรวบรวมพลังจนเสร็จ มันก็ก่อให้เกิดการระเบิดพลังอันน่าหวาดกลัว และทำให้แสงสว่างอันเจิดจ้าถูกระเบิดออกมาทำให้ทุกคนต้องหลับตาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เมื่อเซี่ยเฟยลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภาพที่เขาเห็นตรงหน้าก็ไม่ใช่ดาวเคราะห์อีกต่อไป แต่เป็นท้องฟ้าอันมืดมิดที่มีเศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนล่องลอยอยู่ในอวกาศ
ดาวเคราะห์ทั้งดวงถูกทำลายลงไปแล้ว!!
“ฉันขอภาวนาให้น้ำยาทะลุจุดเดือดของนายใช้ได้ผลก็แล้วกันนะ” จู่ ๆ โอโร่ก็กล่าวขึ้นมาในระหว่างที่เซี่ยเฟยกำลังจมอยู่กับอาการตกตะลึง
***************
อย่าบอกนะว่าจบแล้ว ผลการตัดสินคู่นี้คือยังไง?
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 267
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น