ตอนที่ 747 เซี่ยเทียนถอดแว่น

-A A +A

ตอนที่ 747 เซี่ยเทียนถอดแว่น

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 747 เซี่ยเทียนถอดแว่น

เซี่ยเทียนถอยหลังไป 2 ก้าวพร้อมกับยกมือขึ้นมาจับแว่น ขณะมองไปยังศัตรูตรงหน้าด้วยแววตาที่เคร่งเครียด

ตอนนี้เขาไม่สามารถบอกได้จริง ๆ ว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าของเขามันคืออะไรกันแน่ เพราะรูปลักษณ์ภายนอกอีกฝ่ายดูเหมือนจะเป็นสัตว์ประหลาดมากกว่าที่จะเรียกว่าเป็นมนุษย์

ปัจจุบันเซียงอู๋เฉิงมีร่างกายที่ดำเมี่ยม ทั่วทั้งร่างของเขามีเส้นเลือดสีแดงเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ดวงตาทั้งสองข้างเป็นสีขาวซีดและคล้ายจะมีเลือดไหลออกมาจากเบ้าตาตลอดเวลา ผมเผ้าสีขาวยาวปลิวว่อนและมีเล็บยาวที่ให้ความรู้สึกอันแหลมคม

บนร่างของเซียงอู๋เฉิงไม่มีร่องรอยความเป็นมนุษย์เหลืออยู่อีกต่อไป คล้ายกับว่าชายคนนี้เคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณราวกับสัตว์ป่า และทันทีที่เขาได้หลุดออกมาจากกรงเซียงอู๋เฉิงก็ส่งเสียงร้องคำรามเพื่อข่มขู่ศัตรู

เหล่าบรรดาผู้ชมต่างก็จับจ้องมองไปยังเซียงอู๋เฉิงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว และพวกเขาก็ไม่สามารถคาดเดาได้จริง ๆ ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับชายชราคนนี้กันแน่

“นั่นมันเซียงอู๋เฉิงจริง ๆ เหรอ?”

“ตระกูลมูนวอร์ดทำอะไรกับเขาลงไป ทำไมจักรพรรดิกฎผู้สง่างามถึงกลายเป็นสัตว์ประหลาดได้แบบนี้?”

“คราวนี้ตระกูลสกายวิงน่าจะตกอยู่ในอันตรายแล้ว ลองดูจิตสังหารที่ปล่อยออกมาจากร่างของเซียงอู๋เฉิงสิ ฉันว่าเซี่ยเทียนไม่น่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้”

เหล่าบรรดาผู้ชมต่างก็เริ่มพูดคุยกันและแม้แต่ผู้ดำเนินการแข่งขันอย่างกลุ่มมังกรฟ้าก็กำลังมองไปยังสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด

แม้ว่าหลาย ๆ คนจะรู้สึกหวาดกลัว แต่อารมณ์นั้นก็ไม่มีทางเกิดขึ้นกับนักรบของตระกูลสกายวิง แม้ว่าเซี่ยเทียนจะสวมแว่นตาที่หรูหราแต่มันก็ไม่สามารถบดบังแววตาอันโหดร้ายที่หลบอยู่ภายใต้แว่นตาชิ้นนั้นได้

เมื่อศัตรูปลดปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างเต็มกำลัง เซี่ยเทียนก็โต้กลับด้วยการปลดปล่อยจิตสังหารที่ทรงพลังไม่แพ้กันกลับไป

จิตสังหารของทั้งสองฝั่งคล้ายกับไฟกับไฟอันโหมกระหน่ำที่กำลังพยายามแผดเผาซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ตามจิตสังหารของทั้งคู่กลับถูกหยุดเอาไว้ตรงกลางพอดิบพอดี คล้ายกับว่าจิตสังหารของพวกเขามีความทรงพลังเท่าเทียมกัน

เซี่ยเทียนเป็นราชากฎขั้นที่ 1 ซึ่งมีระดับพลังต่ำกว่าเซียงอู๋เฉิงอยู่ 2 ขั้น และมันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงการที่เซียงอู๋เฉิงได้กลายเป็นสัตว์ประหลาดไปแบบนี้ แต่ถึงกระนั้นจิตสังหารของเซี่ยเทียนก็ยังรุนแรงมากพอที่จะต่อต้านจิตสังหารของอีกฝ่ายหนึ่งได้

ระหว่างที่จิตสังหารของทั้งสองฝ่ายกำลังปะทะกัน เซียงจินเฉิงก็กำลังมองไปยังการต่อสู้ด้วยร่างกายอันสั่นเทา

“สกายวิงมันฝึกนักรบขึ้นมาด้วยวิธีการไหนกันแน่ ทำไมจิตสังหารของเซี่ยเทียนถึงเทียบเคียงกับจิตสังหารของเซียงอู๋เฉิงได้?” เซียงจินเฉิงพูดพร้อมกับกัดฟัน

“นี่แหละคือความน่ากลัวของสกายวิง” เสียงที่นิ่งเฉยดังขึ้นมาจากด้านหลัง ซึ่งผู้พูดก็ไม่ใช่ใครอื่นใดเลยนอกเสียจากเซียงหลี่จิงผู้เดินทางมาจากเผ่าเทพ

แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะทำการแจ้งข้อความของบรรพบุรุษไปให้กับเซียงจินเฉิงแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เดินทางกลับไปแต่ซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบ ๆ บนยานอวกาศ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบรรพบุรุษของตระกูลมูนวอร์ดยังรู้สึกไม่สบายใจกับการแข่งขันในวันนี้

“พวกเราไม่สามารถใช้สามัญสำนึกปกติตัดสินความแข็งแกร่งของนักรบสกายวิงได้ แต่นายก็ไม่จำเป็นจะต้องกังวลมากเกินไป เพราะหลังจากดื่มน้ำยาขวดนั้นเข้าไปน้องชายนายก็ควรจะมีพลังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับนายแล้ว” เซียงหลี่จิงกล่าวต่อหลังจากนี้เงียบไปครู่หนึ่ง

“พลังของเขาเพิ่มขึ้นมา 2 ขั้นเลยเหรอครับ?” เซียงจินเฉิงกล่าวถามด้วยความประหลาดใจ

“น้ำยาขวดนั้นถือได้ว่าเป็นน้ำยาในตำนานของเผ่าเทพที่ถูกปรุงขึ้นมาจากใบนางฟ้าอมตะ” เซียงหลี่จิงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

ใบนางฟ้าอมตะถือได้ว่าเป็นสมุนไพรวิเศษที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับนักรบได้เป็นอย่างมาก และสารสกัดจากใบของต้นนางฟ้าอมตะเพียงแค่ใบเดียว มันก็มากพอที่จะก่อให้เกิดน้ำยามหัศจรรย์

อย่างไรก็ตามต้นนางฟ้าอมตะก็เป็นสมุนไพรที่มีอยู่น้อยมากแม้แต่ภายในเผ่าเทพ มันจึงถือว่าเป็นสมุนไพรที่ถูกดูแลเอาไว้อย่างเข้มงวด หากใครคิดจะปรุงน้ำยานางฟ้าอมตะขึ้นมาก็จำเป็นจะต้องลงทะเบียนกับทางเผ่าเทพเสียก่อน แม้กระทั่งหลังจากการใช้งานผู้ที่ครอบครองน้ำยาที่ลงทะเบียนก็จำเป็นจะต้องรายงานเรื่องการใช้น้ำยา พวกเขาถึงจะมีสิทธิ์ในการครอบครองน้ำยาขวดต่อไป

“บรรพบุรุษส่งน้ำยาที่ล้ำค่าขนาดนี้มาเลยงั้นเหรอ?” เซียงจินเฉิงแอบรู้สึกประหลาดใจอยู่อย่างลับ ๆ และเขาก็ไม่รู้ว่าสาเหตุที่น้องชายของเขามีรูปลักษณ์แบบนี้ มันเป็นเพราะผลข้างเคียงของการใช้น้ำยานางฟ้าอมตะหรือไม่

“ที่น้องชายของนายเป็นแบบนั้น มันไม่ใช่เพราะน้ำยานางฟ้าอมตะเพียงอย่างเดียวหรอก แต่มันเป็นเพราะเซียงอู๋เฉิงหลงเชื่อคำโกหกของเซี่ยเฟยและฝึกฝนกฎมิติในแนวทางที่ย้อนกลับ ซึ่งเมื่อมันได้รวมกับผลของน้ำยานางฟ้าอมตะ มันเลยทำให้เขากลายเป็นแบบนี้” เซียงหลี่จิงกล่าวขณะที่เขาสังเกตเห็นความสงสัยในแววตาของเซียงจินเฉิง

“ความจริงฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการที่เซียงอู๋เฉิงกลายเป็นแบบนี้ มันจะช่วยเพิ่มพลังให้กับเขาได้มากเท่าไหร่ แต่นักปรุงยาในเผ่าเทพได้แจ้งฉันมาแล้วว่าเซียงอู๋เฉิงไม่มีทางกลับมาเป็นแบบเดิมได้อีกแล้ว” 

“ท้ายที่สุดผลกระทบจากการใช้พลังแบบย้อนกลับ มันก็ทำให้พลังงานภายในร่างเกิดอาการแปรปรวน และเมื่อพลังงานถูกเสริมความแข็งแกร่งจากน้ำยานางฟ้าอมตะ มันเลยทำให้เขากลายเป็นสัตว์ประหลาดที่เสียสติไปแบบนี้”

“ฉันคิดว่าคราวนี้นายคงจะต้องเตรียมใจเอาไว้แล้วล่ะ เพราะไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง แต่ท้ายที่สุดน้องชายของนายก็อาจจะ…”

“เซี่ยเฟยมันกล้าดียังไงมาโกหกน้องชายของฉัน! จำเอาไว้เลยว่าฉันจะต้องทำให้แกทรมานยิ่งกว่าพบเจอกับความตาย!!” เซียงจินเฉิงร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธ

ความเป็นจริงเซียงหลี่จิงไม่ได้สนใจความเป็นอยู่ของพี่น้องคู่นี้มากนัก เพราะหน้าที่ของเขาคือการทำยังไงก็ได้ให้ตระกูลได้รับชัยชนะในการแข่งขันครั้งนี้ ดังนั้นถ้าหากว่าความตายของเซียงอู๋เฉิงสามารถทำให้ตระกูลได้รับชัยชนะกลับมาได้ เขาก็พร้อมที่จะเสียสละจักรพรรดิกฎของตระกูลโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว

ท้ายที่สุดตระกูลมูนวอร์ดก็ไม่ได้มีทัศนคติเหมือนกับตระกูลสกายวิงที่ต้องออกมาปกป้องสมาชิกภายในตระกูลทุกคน และในความคิดเห็นของเขาการที่สกายวิงประกาศสงครามกับมูนวอร์ดเพียงเพราะต้องการจะปกป้องเซี่ยเฟยเพียงคนเดียว มันก็เป็นเพียงแค่การตัดสินใจของพวกคนบ้าก็เท่านั้น

ตระกูลขนาดใหญ่มากมายภายในดินแดนกฎพร้อมที่จะเสียสละสมาชิกของตระกูล ตราบใดก็ตามที่มันทำให้ตระกูลของพวกเขาสามารถอยู่รอดในดินแดนอันโหดร้ายแห่งนี้ได้ ดังนั้นถึงแม้ว่าแนวคิดของสกายวิงจะดูเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างดี แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงตระกูลที่มีแนวคิดแบบนี้ก็ถูกทำลายลงไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว

‘ถ้าหากว่านายจะโทษใครสักคนก็โทษน้องชายของนายเถอะ ถ้าหากว่าเขาไม่ได้เชื่อคำพูดของเซี่ยเฟย ผลลัพธ์สุดท้ายมันก็คงจะไม่กลายเป็นแบบนี้’ เซียงหลี่จิงคิดกับตัวเองภายในใจ

เซี่ยเฟยกับเซี่ยบูหยุนมองสถานการณ์ในสนามรบด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ได้รู้เลยว่าสาเหตุครึ่งหนึ่งที่ทำให้เซียงอู๋เฉิงกลายเป็นแบบนี้นั่นก็เพราะคำโกหกของเขา

ย้อนกลับไปในตอนที่เซียงอู๋เฉิงพยายามหลอกถามความลับของกฎแห่งความโกลาหล เซี่ยเฟยก็โกหกอีกฝ่ายกลับไปว่าพลังที่เขาได้ใช้ออกมาเกิดขึ้นจากการใช้กฎมิติในรูปแบบย้อนกลับ 

โดยในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เซียงอู๋เฉิงก็พยายามฝึกฝนตามวิถีของเซี่ยเฟย แต่เมื่อเขาได้รับผลของน้ำยานางฟ้าอมตะ มันจึงทำให้พลังงานไปในร่างของเขาเกิดอาการคลั่งขึ้นมา จนทำให้เขาไม่สามารถควบคุมสติสัมปชัญญะของตนเองได้อีกต่อไป

ตูม!

เซียงอู๋เฉิงเป็นฝ่ายเริ่มจู่โจมก่อนโดยการตวัดมือออกไป จนทำให้พื้นที่มิติถูกฉีกกระชากเป็นชิ้น ๆ

เซี่ยเทียนที่รอคอยโอกาสอยู่แล้วหายตัวไปจากตำแหน่งเดิมในทันที และในวินาทีต่อมาทั่วทั้งร่างของเซียงอู๋เฉิงก็ถูกล้อมรอบไปด้วยเส้นแสงแห่งดาบ

เร็วมาก!

ภายใต้ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้เซี่ยเทียนทำการตวัดดาบออกไปอย่างนับจำนวนไม่ถ้วน และเนื่องมาจากความเร็วของเขาอยู่ในระดับที่สูงมาก มันจึงทำให้สายตาของคนโดยทั่วไปไม่สามารถติดตามการเคลื่อนไหวของเขาได้

ภาพที่ปรากฏขึ้นหลังจากนั้นคือเงาดำ 2 เงาพุ่งเข้าปะทะกันไปมา จนก่อให้เกิดพายุอันรุนแรงพัดฝุ่นทรายขึ้นมาจากพื้นและมีเสียงต่อสู้ดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามรบ

“เร็วมาก! สมแล้วที่เขาเป็นนักรบจากสกายวิง”

“เดี๋ยวก่อน มันดูเหมือนจะมีอะไรแปลก ๆ เซียงอู๋เฉิงไม่ใช่เห็นนักรบสายความเร็วอย่างสกายวิงสักหน่อย แล้วเขาสามารถติดตามจังหวะการโจมตีของเซี่ยเทียนได้ยังไง?”

“นั่นสิ เซียงอู๋เฉิงสามารถป้องกันการจู่โจมของเซี่ยเทียนได้จริง ๆ หรือว่าระดับพลังของเขามันจะเพิ่มสูงขึ้นอีกแล้ว?”

เหล่าบรรดาผู้ชมต่างก็อุทานขึ้นมาด้วยความตกตะลึง เพราะเซียงอู๋เฉิงสามารถป้องกันการจู่โจมของเซี่ยเทียนได้อย่างดีเยี่ยม

ตระกูลสกายวิงคือตระกูลที่เชี่ยวชาญเรื่องความเร็วมากที่สุดในจักรวาล ซึ่งนอกเหนือจากที่พวกเขาจะสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างว่องไวเท่านั้น ประสาทสัมผัสของพวกเขายังอยู่ในระดับที่ว่องไวอย่างน่าหวาดกลัวอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้เองการจู่โจมของพวกเขาจึงเป็นการจู่โจมอย่างบ้าคลั่ง จนทำให้สกายวิงได้รับฉายาว่าตระกูลดาบคลั่งของเผ่าเทพในที่สุด

หากศัตรูของสกายวิงไม่ใช่นักรบที่มีพลังอยู่ในระดับที่เหนือกว่ามากจริง ๆ เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไปพวกเขาก็จะไม่สามารถต่อต้านพายุดาบอันทรงพลังของสกายวิงได้

อย่างไรก็ตามเซียงอู๋เฉิงก็ได้แสดงให้ทุกคนประจักษ์แล้วว่าเขามีประสาทสัมผัสที่รวดเร็วอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดา จนทำให้เขาสามารถป้องกันการจู่โจมของเซี่ยเทียนได้อย่างสมบูรณ์

มูนวอร์ดสามารถติดตามจังหวะการจู่โจมของสกายวิงได้!!

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ชมจากตระกูลอื่น ๆ รู้สึกตกใจเท่านั้น เพราะเหล่าบรรดานักรบสกายวิงก็ยังรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมากอีกด้วย

ตูม!

ทันใดนั้นเองเซียงอู๋เฉิงก็เริ่มใช้พลังของเขาออกมาบ้าง และความเร็วในการใช้พลังของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าความเร็วของเซี่ยเทียนเลย

พื้นที่หลายพันกิโลเมตรบนดาวเคราะห์อันรกร้างเต็มไปด้วยฝุ่นควันอย่างฉับพลัน และเซี่ยเทียนก็ถูกล้อมรอบไปด้วยพลังกฎอันรุนแรงของศัตรู

หากเซี่ยเทียนเปรียบเสมือนเส้นแสงที่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยความเร็วอันน่าหวาดกลัว เซียงอู๋เฉิงก็คงจะเปรียบเสมือนเทพแห่งการทำลายล้างที่สามารถทำลายได้ทุกสรรพสิ่ง

แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความเร็วในระดับเดียวกันกับเซี่ยเทียน แต่เขาก็มีการโจมตีแบบวงกว้างที่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูล

ปกติการจู่โจมในพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่สามารถที่จะทำอะไรนักรบความเร็วสูงอย่างสกายวิงได้ เพราะพวกเขาสามารถใช้ความเร็วหลบหนีออกไปนอกระยะการโจมตีและกลับมายังสนามรบได้ทุกเมื่อ

อย่างไรก็ตามเมื่อเซียงอู๋เฉิงจู่โจมออกมาได้อย่างรวดเร็ว เซี่ยเทียนที่มีความได้เปรียบทางด้านความเร็วก็ไม่สามารถที่จะหลบหลีกไปจากพื้นที่การโจมตีในครั้งนี้ได้อีกต่อไป

คลื่นนน!

ทั่วทุกพื้นที่ส่งเสียงดังคล้ายกับฟ้าร้องนับหมื่นครั้งส่งเสียงร้องคำรามออกมาพร้อมกัน และแม้แต่แขกที่รับชมการต่อสู้อยู่บนยานก็ยังต้องยกมือขึ้นมาปิดหูของพวกเขา

การจู่โจมก่อให้เกิดฝุ่นฟุ้งไปทั่วทั้งบริเวณและเมื่อฝุ่นควันค่อย ๆ จางลง มันก็เผยให้เห็นเซี่ยเทียนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสยืนอยู่ถัดจากเซียงอู๋เฉิงประมาณ 200 เมตร

แม้ว่าร่างกายจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เซี่ยเทียนก็ยังใช้มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาเพื่อปกป้องแว่นตาของเขาเอาไว้

มันไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมเซี่ยเทียนยังคงปกป้องแว่นตาในช่วงวิกฤติแบบนี้ คล้ายกับว่าแม้ชีวิตของเขาจะถูกทำลายแต่เขาก็ไม่อาจจะให้แว่นตาถูกทำลายไปพร้อมกับเขาด้วย

อ๊ากกก!

เซียงอู๋เฉิงส่งเสียงร้องคำรามขึ้นมาดังกว่าเดิม พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างทุบหน้าอกราวกับเขาเป็นสัตว์ประหลาดที่บ้าคลั่ง

ช็อก!

โคตรช็อก!

เซียงอู๋เฉิงสามารถจู่โจมนักรบความเร็วสูงอย่างเซี่ยเทียนได้จริง ๆ และในตอนนี้ความเร็วอันน่าภาคภูมิใจของสกายวิงก็ได้พ่ายแพ้ลงต่อหน้าพลังของเซียงอู๋เฉิงแล้ว

หากสกายวิงสูญเสียความเร็วแล้วพวกเขาจะยังเหลืออะไรอีก?

แต่ในทันใดนั้นเองจู่ ๆ เซี่ยเทียนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง และมันก็ทำให้แม้แต่ผู้ชมบนยานก็ยังได้ยินอย่างชัดเจนว่าเสียงหัวเราะนี้มันแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งมากแค่ไหน

เซี่ยเทียนค่อย ๆ ถอดแว่นออกมาจากใบหน้าของเขาอย่างช้า ๆ พร้อมกับมุมปากที่ยกรอยยิ้มขึ้นมาอย่างชั่วร้าย

เมื่อแว่นตาถูกถอดออกผู้ชมทุกคนก็ได้ตระหนักว่าตอนนี้ดวงตาของเซี่ยเทียนได้กลายเป็นสีแดงเรียบร้อยแล้ว

อารมณ์ความรู้สึกที่เซี่ยเทียนแสดงออกมาในตอนนี้ดูชั่วร้ายกว่าเดิมมาก และถ้าหากว่ามันมีเขี้ยวงอกออกมาจากมุมปากของเขา ทุกคนก็คงจะคิดว่าชายคนนี้คือปีศาจอย่างแน่นอน

ทำไมจู่ ๆ ชายชราผู้ซึ่งมีท่าทางอันสง่างามถึงได้กลายเป็นปีศาจที่ให้ความรู้สึกบ้าคลั่งแบบนี้ได้?

“ดูนั่น! เซี่ยเทียนถอดแว่นตาแล้ว! ดูเหมือนว่าดาบคลั่งของสกายวิงกำลังจะถูกปลดผนึก” มู่ฉีหยุนผู้ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลวิทเทอร์กล่าวขึ้นมาด้วยดวงตาอันเป็นประกาย เพราะเขารู้ดีว่าเซี่ยเทียนที่สวมแว่นตากับถอดแว่นตามีบุคลิกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

***************

เก็บความบ้าเอาไว้ภายในกรอบแว่นตางั้นเหรอ?

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Rights Reserved.