บทที่ 4...1/2
วันนี้เป็นวันเสาร์ อรอินทุ์ไม่ได้มีนัดไปสัมภาษณ์ที่ไหน ส่วนพ่อไปตรวจสุขภาพประจำปี เธอเลยไม่รีบทำอาหารเช้าให้ตัวเอง แต่เลี้ยงเฉาก๊วย หมาไทยหางดาบสีดำทั้งตัว ยกเว้นขาหน้าทั้งสองที่เป็นสีขาวกับตรงจมูกก่อน เห็นหงิมๆ น่ารักแบบนี้ แต่ถ้าคนแปลกหน้าเข้ามามันกัดไม่เลี้ยงเหมือนกัน
พอทำอาหารเช้าให้ตัวเองเสร็จ คนทำกลับไม่มีอารมณ์จะกินเลยออกมารดน้ำต้นไม้ให้พ่อเผื่อว่าเห็นดอกไม้สวยๆ จะอยากอาหารขึ้นมาบ้าง ยัยเฉาก๊วยวิ่งมาโฉบน้ำแล้วสะบัดใส่
“ฉันไม่เศร้าเท่าไหร่หรอกนะเฉาก๊วย ไม่ต้องพรมน้ำให้ฉันแก้ซวย” เธอตะโกนใส่พลางวิ่งหลบมันไม่งั้นได้อาบน้ำอีกรอบแน่ๆ มันวิ่งรอบๆ ตัวเธอก่อนจะวิ่งไปยังประตูที่เชื่อมระหว่างสองบ้าน มีใครคนหนึ่งกำลังเดินมา
“เฮ้ย!”
พออรอินทุ์หันไปมองก็เห็นยัยเฉาก๊วยกำลังโผเอาขาหน้ากอดเอวของพันธินไว้ เธอตายแน่ถ้าเขาถูกกัดขึ้นมา แต่พอมองอีกทีเฉาก๊วยไม่ได้จะกัด แต่มันกำลังทักทายตามประสาหมาต่างหาก
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเฉาก๊วย นี่เธอไปสนิทกับกับคุณธินตั้งแต่เมื่อไหร่ฮึ”
“ช่างมันเถอะ มันคงจะอารมณ์ดีละมั้ง” พันธินจับขาหน้าของเฉาก๊วยแล้วดึงมันมานั่งที่ม้านั่งด้วยกัน มันจ้องหน้า พอปล่อยมือก็นั่งลงพิงขาของเขา
อรอินทุ์ยิ้ม วันนี้เฉาก๊วยดูสงบเสงี่ยมดี ไม่ทำให้แม่มันขายหน้า
“คุณธินมาที่นี่ทำไมคะ”
“มาไม่ได้เหรอ” เขาถามกลับไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจอะไร
“ก็คุณธินไม่เคยมา มีแต่โทรเรียกให้พ่อไปหา” ที่ผ่านมาเป็นอย่างนั้น คนที่มาบ้านหลังนี้บ่อยๆ มีแต่พันแสงคนเดียว
“ลุงอิชย์ไปไหนล่ะ ฉันมาเยี่ยม วันก่อนเลขาบอกฉันว่าช่วงนี้พ่อของเธอดูเพลียๆ อย่ามองอย่างนั้นฉันไม่ได้ขอให้ลุงอิชย์ทำงานเกินเวลา”
“ไปตรวจสุขภาพค่ะ บ่ายๆ คงจะกลับ เอาไว้ฉันบอกพ่อให้นะคะว่าคุณธินมาหา”
อรอินทุ์เงียบเพราะหมดเรื่องจะคุย เธอไม่รู้ว่าพันธินชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร จะรดน้ำต้นไม้ต่อก็ไม่เหลือต้นไม้ให้รดแล้ว เธอเดินไปปิดก๊อกน้ำ แต่ว่าเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้เดินกลับบ้านไปอย่างที่คิด
“เธอกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ ตอนฉันเดินมาเห็นเธอทำหน้าเครียดๆ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก” พันธินถามขึ้น ตอนนี้เขาอยากพักสมอง การอยู่ที่บ้านคงไม่สามารถพักสมองได้เมื่อได้ยินเสียงความคิดของคนทั้งบ้าน
คนถูกถามขมวดคิ้วมองพันธินอย่างไม่เข้าใจนัก มาไม้ไหนเนี่ย เขาเคยสนใจด้วยหรือว่าเธอทำหน้ายังไง คิดอะไร กลับมาคราวนี้เขาแปลกไป ดูเป็นมิตรขึ้น ไม่เหมือนผีดิบอย่างเมื่อก่อน
“ว่าไงล่ะ ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า”
‘คนตกงานจะให้นั่งยิ้มทั้งวันหรือไงล่ะ’
อรอินทุ์ก้มหน้ายิ้มขืนพูดไปอย่างที่คิด มีหวังโดนพันธินโกรธ หรืออาจไม่โกรธ แต่เธอคงถูกย้อนให้ปวดหัวจี๊ดก็ได้
“ฉันมีเรื่องไม่สบายใจค่ะ แต่ไม่คิดว่าต้องเล่าให้คุณธินฟัง มันก็แค่ความฟุ้งซ่านของคนตกงาน แล้วที่สำคัญฉันคิดว่าคุณคงมีเรื่องให้ปวดหัวอยู่แล้ว”
พันธินยิ้มกว้าง ถ้าเธอจะพูดตรงกับที่คิด บางทีเขาคงไม่ต้องรอว่าเธอคิดยังไง เมื่อก่อนเขาคิดว่าอรอินทุ์เป็นผู้หญิงที่ไร้ความนุ่นมวล ไม่อ่อนโยน ไม่อ่อนหวาน ตอนนี้คงต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ บางทีคนพูดไม่รื่นหู แต่จริงๆ แล้วชื่นที่ใจ
“งั้นเหรอ ขอบใจที่บอก บางทีฉันก็คิดว่าการถามไถ่เรื่องไม่สบายใจเป็นเรื่องที่พอจะทำได้กับคนที่น่าจะไว้ใจได้อย่างเธอกับลุงอิชย์”
อรอินทุ์ยิ้มแทนตอบ คนหน้าหินเหมือนผีดิบ จริงๆ แล้วก็ผู้ชายธรรมดาๆ เพียงแต่เขาคือ พันธิน วิวัสวาน เท่านั้นเอง แต่ไอ้ตรงเท่านั้นเองเนี่ยแหละที่ทำให้เราเหมือนอยู่กันคนละชั้น ถึงจะเลิกทาสไปนานมากแล้ว แต่สังคมสมัยนี้แยกคนจากเงินในบัญชี ถ้าเทียบกันแบบนั้น เธอกับเขาก็คนละชนชั้นกันน่ะสิ นี่เธอคิดอะไรเป็นตุเป็นตะเนี่ย ชักหิวแล้วแฮะ
‘ชวนกินข้าวด้วยกันจะดีไหมนะ เขาจะคิดว่าทอดสะพานให้หรือเปล่า?’
“กินข้าวด้วยคนสิ เธอคงมีข้าวเหลือให้ฉันบ้างใช่ไหม”
คนถูกขอแกมถามสะดุ้งโหยง เพิ่งคิดในใจ แล้วจู่ๆ เขามาขอกินข้าวด้วย มีองค์หรือเลี้ยงพวกลูกกรอกหรือเปล่า หญิงสาวส่ายหน้าจนผมสะบัดพลิ้ว เขาจะมีของพวกนั้นได้อย่างไงกันเล่า ว่าแต่เขากินได้จริงๆ เหรอ กับข้าวบ้านของเธอน่ะพื้นๆ ไม่ใช่เลิศรสจากเชฟมือรางวัลอย่างที่เขากินทุกวันหรอกนะ
ไข่เจียวหมูสับ แกงเขียวหวานกับหมูทอดที่พ่อเคยบอกอรอินทุ์บ่อยๆ ว่าถ้าแก่กว่านี้ฟันคงไม่ไหวเพราะหมูแข็งจนเหมือนฝากระดาน แต่พันธินกลับกินไม่บ่นสักคำ อีกทั้งข้าวที่ตักให้พูนจานก็หมดเกลี้ยงอีกด้วย เฉาก๊วยนั่งอ้อนอยู่ที่ขาของเขา พออดรนทนไม่ไหวพันธินก็ขอส่งไข่เจียวให้มันสวาปามไปชิ้นใหญ่ พี่น้องคงมีบางเรื่องที่ทำเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ตอนเธอไปทำงานเขาแอบมาเล่นกับเฉาก๊วย แต่พอเธอกลับบ้านแกล้งทำไม่สนใจมันหรือเปล่านะ
“ขอบใจสำหรับอาหารเช้า เอาไว้วันหลังฉันจะเลี้ยงข้าวเธอบ้าง” จริงๆ แล้วพันธินก็อยากชวนอรอินทุ์ไปกินข้าวด้วยกันที่บ้าน แต่เสียงความคิดของเธอทำให้คิดว่าไปที่อื่นน่าจะดีกว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธออ้อมแอ้มตอบอย่างเกรงใจ(ตัวเอง) อดไม่ได้ก็เลยยิ้ม
“ยิ้มอะไรของเธอ”
“ไม่รู้ตัวหรือคะว่ามันเป็นครั้งแรกที่คุณธินมากินข้าวที่นี่ ก่อนหน้านี้พ่อชวนเท่าไหร่คุณธินก็ไม่เคยมา”
พันธินพยักหน้าไม่ปฏิเสธ ที่ผ่านมามันเป็นอย่างนั้น แต่ต่อไปจากนี้อะไรก็ตามที่เขาอยากทำ เขาก็จะทำ การผ่านความตายมาทำให้รู้แล้วว่าชีวิตคนเราไม่ได้ยาวอะไรเลย การตายเกิดขึ้นได้ทุกชั่วลมหายใจ
“นั่นสินะ ฉันว่ามากินข้าวบ้านเธอก็สบายใจดี เธอเองคงไม่ชอบเท่าไหร่เวลาที่ถูกเรียกไปที่บ้านของฉันไม่ใช่หรือ เมื่อก่อนฉันไม่ได้รู้สึกแบบนี้ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่ากินข้าวกับโต๊ะตัวเล็กๆ สบายใจกว่ากินข้าวกับโต๊ะตัวยาวๆ เพียงแค่คนเดียว”
อรอินทุ์มองพันธิน สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความสงสัย เขารู้ได้ยังไงว่าเธอคิดแบบนั้น หรือว่าคุณแสงบอก แต่เธอไม่เคยบอกเขาสักหน่อยว่าคิดยังไง
‘ตอนเกิดอุบัติเหตุเกิดการสลับวิญญาณหรือเปล่า คิดอะไรเนี่ย นั่นมันมีแต่ในละคร’
“ทำไมมองฉันแบบนั้น” พันธินกลั้นยิ้ม เรื่องแบบนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับเขาสักหน่อย ยัยนี่โตแต่ตัวชัดๆ
“ช่างมันเถอะค่ะ ฉันคิดบ้าๆ แค่นั้นเอง”
“ขอบใจมาก ฉันไปล่ะ”
ร่างสูงเดินกลับไปที่ประตูบานเล็กที่เชื่อมบ้านสองหลังที่ภายนอกต่างกันราวกับอยู่คนละโลก
อรอินทุ์มองพันธินแล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง การสลับวิญญาณคงไม่เกิดขึ้นหรอก แค่เขายังจำอะไรไม่ได้ค่อยได้ พอจำเรื่องราวในอดีตได้ทั้งหมดเขาคงรู้เองว่าเคยเป็นคนอย่างไรมาก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ ไม่แน่ว่าประตูบานนั้นอาจจะต้องปิดตายเมื่อคนที่ใช้มันประจำไม่อยู่แล้ว
พันธินเดินมาถึงประตูใหญ่ของบ้าน ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวขึ้นบันได ใครบางคนที่เขาสั่งไปแล้วว่าไม่ต้องมาในวันนี้กลับมาเพิ่งออกมาจากห้องหนังสือ ปริญก้มหน้าให้เขานิดนึงและกำลังจะเดินผ่านไป ความคิดของปริญทำให้เขาต้องเรียกไว้
“เดี๋ยว คุณมาทำอะไรที่นี่”
“ผมมาหาพ่อบ้าน ตอนนี้คงต้องกลับแล้วครับ”
โกหกชัดๆ แต่พันธินก็ยอมให้ปริญกลับไป ทำไมพ่อถึงเรียกตัวปริญมาพบ ทำไมเจ้านั่นไม่คิดให้มากกว่านี้ ทำไมต้องกังวลถ้าเขาจะรู้ว่ามาที่นี่เพื่อพบใคร เขาเดินเร็วๆ ไปจนถึงห้องนอนของพ่อ แต่เปลี่ยนใจกลับไปห้องทำงานของตัวเอง ถ้าพ่อไม่ต้องการให้เขารู้คงไม่นัดปริญมาที่นี่ การได้ยินความคิดทำให้เขาคิดมากไป มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้
ในห้องพักหรูซึ่งเป็นที่หาความสุขของสมพงศ์กับเบญญามานาน ไม่มีใครรู้ความสัมพันธ์ลับๆ นี้ ในออฟฟิศทั้งสองต่างมีบทบาทต้องแสดง ทว่าในยามใดก็ตามที่ทั้งสองมาอยู่ด้วยกัน อีกบทบาทที่ไร้ผู้กำกับก็ดำเนินได้ทันทีเช่นกัน แพรพลอยไม่เคยระแคะระคายเพราะเบญญาคอยรายงานว่าอรอินทุ์กำลังคิดตีท้ายครัว การเบี่ยงเบนความสนใจได้ผลมาตลอด
การเสพสุขและวางแผนต่างๆ เกิดขึ้นในห้องนี้ เบญญาเป็นผู้หญิงที่เข้าใจอะไรได้ง่ายอย่างที่สมพงศ์ต้องการ เก่งทั้งงานและเรื่องที่ผู้ชายพอใจ รวมทั้งในเวลานี้ที่ค่ำคืนของเราช่างหอมหวานเหมือนหลายร้อยคืนที่มีร่วมกันมา
“คุณพงศ์พอใจไหมคะ เบญว่าตอนนี้ยัยอรคงนั่งหน้าเบื่อโลกอยู่กับบ้าน ไม่มีใครกล้ารับคนที่ทำร้ายเจ้านายตัวเองเข้าไปทำงานหรอก เพื่อนๆ ในวงการรู้กันหมด มันคงตกงานอีกนาน” เบญญาหัวเราะสะใจ เธอไม่ได้เกลียดอรอินทุ์เพราะหึงหวงเพียงอย่างเดียว แต่การมีคู่แข่งในที่ทำงานไม่มีใครชอบทั้งนั้น แม้จะไม่พอใจสมพงศ์ที่เจ้าชู้ แต่เขาสัญญาแล้วว่าจะไม่มีใครอีก
สมพงศ์ยิ้มสาแก่ใจ “พอใจ แต่ยังไม่ที่สุด แผลที่ได้รับ ฉันต้องเอาคืน”
“ยังไงคะ หรือว่าจะขอให้พ่อของคุณพลอยช่วย”
“ไม่ต้องหรอก เรื่องแค่นี้ฉันจัดการเองได้ ลุกขึ้นเถอะ ผมต้องไปตามนัด เดี๋ยวพลอยจะสงสัย” สมพงศ์คลายกอดจากร่างที่เขาตักตวงความสุขมาตลอดชั่วโมง
“เมื่อไหร่คุณจะเลิกกับยัยคุณพลอยเสียที เบญมาก่อนผู้หญิงทุกคน แต่กลับต้องอยู่หลบๆ ซ่อนๆ” เบญญาตัดพ้อ ทุกครั้งที่เห็นเขาต้องไปทำเป็นรักผู้หญิงอื่น เธอโกรธ แต่ต้องทนไว้เพื่ออนาคตของเรา
“อีกไม่นานหรอก ฉันใกล้จะได้ทุกอย่างมาแล้ว ปลายปีนี้พลอยจะโอนหุ้นบริษัทเป็นชื่อของฉัน หลังจากนั้นเราก็ทำตามแผน”
“ก็ดีค่ะ แต่จำไว้นะคะ เบญเป็นคนเดียวที่รักคุณ” เบญญากอดร่างหนาไว้อย่างหวงแหน
สมพงศ์ยิ้มหยัน เขาไม่เกี่ยงอยู่แล้วใครให้ผลประโยชน์จะให้พูดหรือทำอะไรย่อมได้ทั้งนั้น แพรพลอยให้อนาคตการงาน เบญญาให้ความสุขทางกาย ส่วนอรอินทุ์ ใครจะไปคิดว่าเด็กเนิร์ดๆ พอเรียนจบมาจะสวยเอาเรื่องและสมองเป็นเลิศ ปล่อยหลุดมือไปก็โง่แล้ว
ผลการตรวจสุขภาพของอิชย์ไม่มีอะไรน่ากังวลยกเว้นความดันที่สูงผิดปกติ พันธินเลยลดงานที่ส่งมาให้อิชย์ แต่จ้างผู้ช่วยเพิ่มแทน คลื่นใต้น้ำของวิรัตน์กับพวกยังคงดำเนินอยู่ แต่ยังเป็นแบบแอบซ่อน ลุงอิชย์บอกเขาว่าวิรัตน์ต้องการต่อรองในการบริหาร ดีเหมือนกัน เขาอยากเห็นการแสดงออกของหุ้นส่วนคนนี้ การเฝ้ามองอย่างเงียบๆ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีแผนรับมือ
วันสุดท้ายของสัปดาห์พันธินมีตารางงานต้องประชุมบอร์ดบริหารในตอนเช้าและต้องเดินทางตอนสิบเอ็ดโมงตรงไปที่ระยองเพื่อเปิดโรงแรมใหม่ในเครือเอ็มไพร์ กรุ๊ป การไปของเขาในครั้งนี้เลยต้องพ่วงเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ได้บอกกับอิชย์ไปเมื่อหลายวันก่อน ทว่าตอนนี้เอกสารที่เขาให้เตรียมกลับยังมาไม่ถึง
“ลุงอิชย์ครับ ผมขอแบบที่ให้สถาปนิกออกแบบบนที่ดินของแม่”
อิชย์มองหาที่โต๊ะทำงานของตัวเอง “เอ สงสัยผมจะไม่ได้หยิบมา ใส่ซองเอกสารไว้ก็ลืม เดี๋ยวผมให้อรขับรถเอามาให้คุณธินดีไหมครับ”
พันธินนิ่งคิด วันนี้เลขาลาป่วยเสียด้วย เขาไปจัดการน่าจะง่ายกว่า “เดี๋ยวผมจะกลับไปเอาของที่บ้านเหมือนกัน ถ้างั้นผมจะไปรับจากอรเองเลยดีกว่าจะได้เดินทางไประยองต่อได้เลยไม่ต้องเทียวไปเทียวมา”
“ก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวผมโทรจะบอกให้อรไปหยิบมาจากห้องทำงาน”
“ขอบคุณครับ” พันธินวางสาย แล้วอ่านเอกสารอีกครู่หนึ่งก็ออกไปจากห้องทำงาน
ทว่าไม่ถึงสิบนาทีต่อมา ดรุณีก็มาถึง พอรู้ว่าพันธินไม่อยู่ ดาราสาวยิ้มดีใจแทนที่จะผิดหวังก่อนจะขับรถออกไป ทว่าปลายทางกลับไม่ใช่บ้านของเธอหรือของคู่หมั้น แล้วเธอไปที่ไหนกัน
อรอินทุ์ไปหยิบซองสีน้ำตาลที่พ่อบอกแล้วรอพันธินที่ห้องรับแขก ไม่ถึงสิบห้านาทีก็มีเสียงออดดังหน้าบ้านพร้อมๆ กับเสียงเห่าของเฉาก๊วย เธอเดินออกมามองหาคนรอรับเอกสารเพราะถ้าเป็นพันธิน เฉาก๊วยมันคงไม่เห่าจนดุไม่ฟังแบบนี้หรอก ทว่าพอมองไปที่เจ้าของร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา แต่จิตใจเข้าขั้นติดลบ เธอก็ถอนใจใหญ่
“มาทำไมหรือคะ ถ้ามาผิดบ้านก็รีบๆ ไปเถอะ ที่นี่ไม่มีใครที่อยากพบพี่หรอก” ให้ตายเถอะ ตอนนี้ถ้าต้องเอ่ยชื่อเธอก็แขยงปากแล้ว
สมพงศ์ยิ้มกว้างราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้มีเรื่องมีราวจนต้องพึ่งตำรวจ ไม่สนท่าทีไม่เป็นมิตรของอดีตลูกน้อง อรอินทุ์ถอยไปจากรั้วบ้าน ถึงว่าสิเฉาก๊วยมันเห่าเหลือเกิน
“วันนี้พี่มาเพื่อขอโทษ ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม”
“ถ้าจะขอโทษก็พูดจากตรงนั้นนั่นแหละค่ะ อรคิดว่าคงไม่ดีถ้าจะให้พี่เข้ามา บอกตรงๆ ไม่ไว้ใจ”
“นึกแล้วว่าอรต้องพูดอย่างนี้” สีหน้าของสมพงศ์เผือดเศร้า
อรอินทุ์ห่อปากทึ่งๆ เออแฮะ ใครว่าผู้ชายไม่มีมารยานี่ต้องมาเจอสมพงศ์ ผู้หญิงที่มีมารยาเป็นร้อยเล่มเกวียนยังชิดซ้าย หญิงสาวกอดอกมองเขาเฉยๆ หน้ากากเศร้าๆ ของสมพงศ์เลยเปลี่ยนเป็นหน้าเดิมๆ ที่วอนโดนหมัด แถมยังจับลูกกรงทำท่าจะปีนอีก เฉาก๊วยยิ่งเห่าเสียงดัง
“ถ้าพี่ปีนเข้ามาอรจะแจ้งตำรวจ อยากเข้าคุกก็เอาเลย”
“งั้นเหรอ พี่คงต้องใจร้ายกับอรเสียแล้ว จำได้ไหมโฆษณาชิ้นนั้นพี่ส่งเข้าประกวดให้อรแล้วนะ ตอนนี้เข้ารอบสุดท้าย อีกสองสัปดาห์ก็จะประกาศผล กรรมการชอบโฆษณาชิ้นนั้นของอรกันมาก อาจได้รางวัลชนะเลิศ คิดดูสิ ถ้าพี่ถอนโฆษณาออกมาก่อน...” สมพงศ์ทำหน้าเสียดาย เขารู้อรอินทุ์มีจุดอ่อนอยู่ตรงนี้
“อย่านะ อย่าทำแบบนั้น”
“ถ้างั้นก็เปิดประตูให้พี่เข้าไปสิ เราจะได้คุยกันดีๆ เสียที”
อรอินทุ์ส่ายหน้า เธอเสียดายผลงานตัวเองก็จริง แต่คงไม่คิดสั้นให้คนอันตรายแบบนั้นมาอยู่ใกล้ๆ หรอก แต่จะทำยังไงดี ต่อยสมพงศ์ให้หมอบแล้วขึ้นโรงพักอีกรอบจะคุ้มไหม
“ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่เปิด” พันธินเอ่ยพลางเดินเร็วๆ มายืนข้างๆ อรอินทุ์ เขาพลาดเองน่าจะมาจอดรถไว้ทางนี้ แทนที่จะเดินมาหา “ผู้ชายคนนั้นไม่ได้จะถอนโฆษณาของเธอออกมาจากการประกวด ใครจะโง่ทำแบบนั้นล่ะ ในเมื่อคนที่ได้ชื่อเสียงจริงๆ น่ะเป็นบริษัทของเขาเอง”
“คุณธินรู้ได้ยังไงคะ”
พันธินจะตอบอรอินทุ์ว่ายังไงดีล่ะนี่
จะมา up เรื่อยๆ นะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านค่ะ
อัมราน_บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 157
แสดงความคิดเห็น