บทที่ 3...2/2
การทำงานอย่างหนักเริ่มต้นหลังจากคืนนั้นและวันต่อๆ มา การเจรจาซื้อที่ดินที่กาญจนบุรีเป็นไปด้วยดีเมื่อคนของเอ็มไพร์ กรุ๊ปเร็วกว่าคนของคู่แข่ง พันธินเดินทางไปทำสัญญาด้วยตัวเองเพราะมีคนไปปล่อยข่าวเรื่องการทำโรงแรมบังหน้า แต่เบื้องหลังเปิดเป็นบ่อน การเปิดโรงแรมย่อมนำมาซึ่งตำแหน่งงานต่างๆ ที่คนในชุมชนที่มีคุณสมบัติตรงสามารถผ่านการคัดเลือกเข้าไปทำงานได้
เกิดปัญหาในสัปดาห์ต่อมาเมื่อคนโทรไปแจ้งตำรวจเรื่องการจ้างคนงานต่างด้าว แน่นอนว่าเอ็มไพร์ กรุ๊ปไม่เกี่ยวข้องในเรื่องการก่อสร้าง แต่อาจทำให้เกิดประเด็นในวงธุรกิจ แต่คนจงใจทำให้เกิดเรื่องคงผิดหวังแน่ เมื่อตำรวจตรวจสอบแล้วไม่พบการจ้างงานที่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด
ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมีเรื่องปวดหัวให้พันธินต้องแก้ไขอยู่ตลอดเวลา สิ่งหนึ่งที่เขาพบจากการฟังความคิดนั่นคือมีคลื่นใต้น้ำกำลังร่วมกันก่อตัว โดยมีคนเริ่มเป็นวิรัตน์และญาติบางคนของเขา แต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเนื่องจากหุ้นที่คนกลุ่มนั้นมีรวมๆ แล้วก็ยังไม่มากพอให้เกิดการต่อรอง
วันแรกของสัปดาห์ที่สองหลังจากเข้ามานั่งเก้าอี้ประธาน คงเป็นวันแรกที่พันธินได้นั่งพักเงียบๆ โดยที่ไม่มีเรื่องให้ต้องคิด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคิดวางแผนงานต่อ ตอนนี้สรัชได้เปิดตัวเป็นคู่แข่งอย่างเปิดเผยโดยการไปกว้านซื้อที่ดินในละแวกใกล้เคียงกับที่ดินผืนที่เอ็มไพร์ กรุ๊ปกำลังดำเนินการก่อสร้างโรงแรมอยู่
เลขาโทรมาบอกว่ามีแขกมาขอพบ แขกรายนี้ขอไม่บอกเชื่อและเข้ามาทันทีที่เขารับสายจากเลขา พันธินเลิกคิ้วมอง ถึงใครจะเข้าใจว่าความทรงจำของเขามีปัญหา แต่ว่าเขาจำผู้ชายตัวสูง หน้าตาหล่อแบบตี๋ๆ ได้
“ไงวะธิน ฉันรีบมาเลยนะนี่พอรู้ว่านายกลับมาแล้ว ทำไมไม่บอกกันบ้าง แล้วนายน่ะเปลี่ยนเบอร์ทำไมไม่บอกกันบ้าง ดูสิ ฉันคงรู้เป็นคนสุดท้ายแล้วมั้งว่านายกลับมา”
“นั่งก่อนสิ...ดรัณ”
ดรัณหาที่นั่งให้ตัวเองก่อนที่เจ้าของห้องจะบอกด้วยซ้ำ พันธินวางมือจากงานที่กำลังทำและหันมาสนใจเพื่อนที่บินตรงจากอังกฤษมาหาทันทีที่รู้ถึงข่าวการมาทำงานแล้วกว่าสองสัปดาห์ของเขา
“ยังหล่อเหมือนเดิมนี่หว่า แหมๆ นึกว่าหน้านายจะมีแผลเป็นเสียแล้ว”
คนถูกชมยิ้มก่อนจะกอดอกรอฟัง ดูเหมือนในสมองของดรัณมีเรื่องมากมายที่อยากจะบอกกับเขา รวมทั้งสัปดาห์หน้าจะได้อยู่ทีมคุ้มกันของคนสำคัญระดับประเทศ
“ก็มีเหมือนกัน แค่ไม่ได้อยู่ที่หน้า ขอโทษที่ไม่ได้โทรบอกใครเลย”
“ฉันก็บ่นไปอย่างนั้นแหละ เห็นนายกลับมาเหมือนเดิมก็ดีใจแล้วล่ะ” ดรัณหัวเราะ ‘แปลกจังแฮะ ทำไมไม่โดนบ่นวะ’
พันธินหัวเราะ ดรัณมองมายิ่งงงหนัก เขารับเงินไปแล้วก็ตอนที่เขาทำทรัพย์สินของราชการพัง ไม่มากมายอะไรแค่รถกระบะของตำรวจสี่คัน ชนท้ายเพราะดันเบรกรถไม่ทัน เพื่อแลกกับการสืบบางอย่างให้ ด้วยความที่พ่อของเขาเป็นตำรวจที่มีชื่อเสียงที่ดี มีเพื่อนในวงการตำรวจมากอยู่ แถมพ่อของเขานี่แหละที่ทำคดีจิรเมธ แล้วไหงพันธินทำเหมือนจำอะไรไม่ได้ อืม หรือว่าจำไม่ได้จริงๆ
“นอกจากดีใจที่ฉันกลับมา นายมีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า” ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาทำอะไรไว้หลายอย่าง
“ก็ที่นายขอให้ฉันช่วยสืบไงล่ะ”
“มันนานแล้ว นายเล่าๆ มาเถอะ ตอนนี้ฉันปวดหัวมาก ไม่อยากนึกอะไร เข้าใจไหม”
ดรัณลุกขึ้นเดินไปล็อคประตูให้แน่ใจว่าเรื่องที่เขาพูดจะไม่มีใครรู้อีกนอกจากเขากับเพื่อนเท่านั้น เดี๋ยวนี้มันยุคโซเชียลมีเดีย พูดตรงนี้ เสียงไปซีกโลกนึงทำไมจะเป็นไปไม่ได้
“ก็เรื่องไอ้...คนที่แสงมันไปมีเรื่องด้วยน่ะ ฉันว่าแล้วว่ามันแปลกๆ อย่างที่นายสงสัย แล้วนี่นายแสงตายไปแล้วจะมาล้างบาปให้ตัวเองได้ยังไงวะ” ดรัณถอนใจทั้งเสียดายและโมโหแทน
สีหน้าของพันธินเปลี่ยนไปทันที “เข้าเรื่องเลยดีกว่าไหม”
“คืออย่างนี้คุณจิณณ์น่ะเป็นคู่แค้นของคุณภาวิต แต่ภายนอกเหมือนไม่มีอะไร แต่โคตรเกลียดกันเข้าไส้ เพราะฉะนั้นที่แกสงสัยการตายของนายจิรเมธก็อาจเป็นเรื่องการขัดแย้งผลประโยชน์ ส่วนนายแสงน่ะน่าจะถูกใส่ร้ายจริงๆ ถึงว่าสิคดีนี้มันหลักฐานแปลกๆ ชอบกล พ่อฉันยังสงสัยเลย แต่ก็นะต้องว่าไปตามหลักฐานเลยยังปิดคดีไม่ได้ ถ้าพ่อนายไม่ใช่ระดับบิ๊กเบิ้มมีหวังนายแสงเป็นไข้โป้งก่อนถูกส่งไปอเมริกาแล้ว”
พันธินจำได้ดี จิณณ์เป็นนักธุรกิจส่งออกที่มีอิทธิพลมากและมีลูกชายสองคน จิรกรเป็นลูกชายคนโต ส่วนจิรเมธเป็นลูกชายคนเล็ก คนที่พันแสงไปพบเป็นศพนั้นคือจิรเมธ ส่วนภาวิตเป็นผู้มีอิทธิพลแถบภาคตะวันออกเกี่ยวกับธุรกิจค้าไม้ ถ้าดรัณไม่บอกเขาหรือใครๆ ก็คงไม่รู้เพราะภายนอกที่แสดงออกหน้าสื่อ จิณณ์กับภาวิตดูเป็นพันธมิตรที่ดีทางธุรกิจ แม้กลุ่มลูกค้าจะคนละกลุ่มก็ตาม มีข่าววงในว่าสองคนนี้เคยแย่งผู้หญิงกันสมัยหนุ่มๆ
“ตำรวจพบหลักฐานอะไรเพิ่มบ้างหรือเปล่า” เท่าที่เขาจำได้ยังมีการสืบลับๆ อยู่เพราะคดีนี้เป็นคดีใหญ่ ดรัณย่อมรู้เรื่องดี แม้พันแสงจะถูกฟ้องและยกฟ้องไปเพราะหลักฐานอ่อน แต่ทางจิณณ์คงไม่เชื่อเช่นนั้น
“มีสิ แต่แค่นี้มันยังมัดตัวคนร้ายไม่ได้หรอกนะ ฉันขอให้มือแฮกที่เคยถูกพ่อจับไปแฮกไฟล์ของคนที่ทำงานในผับ แต่ไม่ได้ นานจนฉันลืมไปแล้วด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ เจ้านั่นเพิ่งตายเมื่อสัปดาห์ก่อน เสพยาเกินขนาดน่ะ พอไปค้นบ้านก็เจอคลิปในคืนเกิดเหตุที่ตำรวจสืบลับๆ จากคลิปทำให้รู้เพิ่มว่าจิรเมธไปสาดเหล้าใส่คุณภาวิตมาก่อนน่ะสิ อย่างที่นายรู้ภาพตอนที่นายจิรเมธโดนยิงหายไป คลิปที่ตำรวจได้มาก็ไม่มีภาพในช่วงเวลานั้นเหมือนกัน แล้วดันมามีภาพอีกทีตอนที่เจ้านี่ซี้แหงและมีน้องนายสลบอยู่ใกล้ๆ น่ะสิ แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าเจ้านั่นเมายาก่อนเป็นไข้โป้ง
แล้วปืนที่ก่อเหตุก็ดันมีรอยนิ้วมือของนายแสง แต่มือของนายแสงดันไม่มีเขม่าดินปืน น้องนายถึงรอดไง ถ้าจะโยงว่านายจิรเมธไปมีเรื่องกันคุณภาวิตมาก่อน เรื่องมันก็น่าจะสืบต่อได้ ตามความเห็นฉันนะ คุณภาวิตน่าสงสัยมาก ส่วนคุณจิณณ์ ฉันว่าน่าจะยังผูกใจเจ็บอยู่ ถ้านายบอกว่าไอ้ที่รอดตายมาได้เป็นฆาตกรรมฉันจะเชื่อเต็มร้อยเลย”
พันธินคิดย้อนไปเมื่อสิบห้าเดือนก่อน ทุกอย่างเป็นไปตามที่ดรัณพูดมาทั้งหมด แต่รายละเอียดมันมีมากกว่านั้น พันแสงไม่ได้บังเอิญไปสลบอยู่ข้างศพของจิรเมธ แต่พันแสงไปที่นั่นเพื่อตามหาอรอินทุ์ต่างหาก
“ถ้าฉันขอให้นายสืบต่อไปคงไม่รบกวนงานของนายใช่ไหม” พันธินไม่แน่ใจนัก เขาต้องทดสอบดรัณดู
“ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ต้องทำลับๆ ถ้ามีใครรู้ บ้านฉันอาจโดนบึ้มแทนบ้านของนาย” ดรัณรับปากทันที การมีพ่อเป็นตำรวจจน่ะล่อเป้าอย่างดีเลย
การทดสอบเหมือนจะผ่าน อย่างน้อยเขายังมีคนที่มีความจริงใจให้อยู่ ดรัณเป็นหนึ่งในนั้น ณ เวลานี้
“ถึงโดนบึ้มจริงๆ ฉันก็สร้างบ้านให้นายใหม่ได้หรอกน่า” พันธินพูดจริงๆ พร้อมกับหยิบเช็คขึ้นมาเขียนตัวเลขแล้วเซ็นก่อนจะส่งให้ “รับไปสิ นี่ไม่ใช่การใช้เงินฟาดหัว แต่เพราะนายจริงใจและอยากช่วยฉันจริงๆ ฉันถึงให้”
“เฮ้ย! ไม่ต้องหรอก”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันสั่งให้เลขาโอนเงินเข้าบัญชีนายก็แล้วกัน”
“ไม่ต้องจริงๆ นายให้ฉันมามากแล้ว คราวนี้ฉันอยากตอบแทนที่นายเคยช่วยฉันไว้” ดรัณบอกเสียงจริงจัง ที่บอกว่ากลัวบ้านบึ้มเขาพูดไปอย่างนั้นเอง รู้หรอกว่าเป้าหมายจริงๆ ไม่ใช่เขาหรอก
พันธินไม่บังคับ ความคิดของดรัณไม่ได้บอกปัดเขาตามมารยาท แต่ไม่ต้องการเงินนี้จากใจจริง การตอบแทนไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของเงินเสมอไป
“ขอบใจมากนะ”
ดรัณพยักหน้าก่อนจะขอตัวกลับ เขาไม่ชอบอะไรที่มันซึ้งๆ ยิ่งเป็นคนอย่างพันธินที่ทำหน้าแบกโลก แต่พร้อมช่วยเพื่อนแล้วล่ะก็ เขายิ่งไม่อยากเข้าโหมดนั้น ถึงตอนนี้หน้าตาจะผ่อนคลายยิ้มเป็นบ้างแล้วก็เถอะ เขายังรู้สึกผิดไม่หาย ถ้าตอนนั้นเขาเตือนเพื่อนว่าอย่าไปหาพันแสง เรื่องราวเลวร้ายคงไม่เกิดขึ้น
อรอินทุ์ขึ้นมานั่งเล่นที่ระเบียงชั้นสอง การกลายเป็นคนตกงานหลังจากทำงานมาหนึ่งปีทำให้เธอเรียนรู้และได้บทเรียนว่าไม่ควรใจร้อน ถ้าอดทนจนได้งานใหม่ แล้วค่อยลาออกคงไม่เจอคำถามเดิมๆ ว่าลาออกทำไม มีปัญหาอะไร ซึ่งกลายเป็นว่าเธอไม่มีความอดทน เธอยอมรับเพียงครึ่งเดียวว่าไม่อดทนต่อผู้ชายเลวๆ แบบสมพงศ์ เธอสมัครงานไปหลายที่ และในหลายๆ ที่นั้นก็เรียกเธอไปสัมภาษณ์ คำตอบที่ได้ก็ทำให้เธอมานั่งถอนใจอยู่ในตอนนี้อย่างไรล่ะ
...ได้คนแล้ว
...คุณสมบัติไม่เหมาะสม
...รอผลการสัมภาษณ์
เฮ้อ! เมื่อไหร่จะมีคนรับเธอเข้าทำงานนะ
ประสบการณ์หนึ่งปีกว่าๆ น่าจะมีประโยชน์บ้างสิ เอาน่า มันเพิ่งสามสัปดาห์เอง เธอใจร้อนไปเองต่างหาก อรอินทุ์ปลอบใจตัวเอง
“เปิดบริษัทเป็นของตัวเองไหมลูก พ่อออกทุนให้” อิชย์ถามลูกสาวที่ใจลอยไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ขนาดว่าเขานั่งมองอยู่ตั้งนานยังไม่รู้ตัว เอาแต่ถอนใจจนอายุลดลงไปหลายชั่วโมงแล้ว
อรอินทุ์เพิ่งเห็นว่าพ่อมานั่งใกล้ๆ อารมณ์อยากอ้อนพ่อเลยคว้าแขนพ่อมากอด ใจโหวงๆ เริ่มกลับมาเต็มปรี่เข้าที่เข้าทาง
“อย่าดีกว่าค่ะ อรไม่อยากรบกวนพ่อ ลองหางานอีกสักพัก ถ้าไม่ได้แล้วค่อยคิดขยับขยายหาทางอีกทีแล้วกันนะคะ”
มือหนาลูบผมลูกสาว อรอินทุ์มีใบหน้าที่เหมือนแม่มากจนบางครั้งยามหมดกำลังใจ พอเห็นหน้าลูกสาวก็เหมือนได้รับกำลังใจจนมีแรงมีพลัง นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่หลงเหลือไว้จากภรรยาผู้ล่วงลับ
“ก็ได้ พ่อช่วยลูกเพราะรัก อย่าใช้คำว่ารบกวน”
“พ่อใครก็ไม่รู้น่ารักจัง”
อรอินทุ์กอดพ่อไว้ รู้สึกดีที่เวลาไม่สบายใจมีพ่ออยู่ข้างๆ บางทีพันธินคงทำตามสัญญาที่จะไม่เอาเวลาของพ่อไปจากเธอแล้ว อิชย์นั่งเล่นเป็นเพื่อนสักพักหนึ่งก็ขอตัวไปนอน ลูกสาวก็ว่าจะไปนอนเหมือนกัน แต่การตกงานทำให้เธอเจอเกมที่เล่นแล้วติดนี่สิ ขอเล่นอีกสักเกมแล้วกัน เธอติดด่านนี้มาตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว
แสงไฟกระพริบใส่คนที่กำลังตั้งอกตั้งใจเล่นเกมอยู่หลายครั้งจนต้องเงยหน้าขึ้น อรอินทุ์ยกมือขึ้นบังตา คนส่องไฟคงรู้ว่าเธอรู้ตัวแล้วจึงลดไฟลง เมื่อมองฝ่าความสลัวรางไป อรอินทุ์จึงเห็นพันธินยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นสามของคฤหาสน์วัสวาน เขากำลังำโบกมือให้
“ร้อยวันพันปีไม่เห็นออกมาจ๊ะเอ๋กัน วันนี้นึกยังไงออกมาที่ระเบียง” เธอพึมพำกับตัวเองก่อนจะยกมือโบกตอบ
แล้วยังไงต่อล่ะที่นี้ พันธินกระพริบไฟใส่เธออีกครั้งแล้วชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า อรอินทุ์มองตาม คืนนี้พระจันทร์ทรงกลดนี่นา เธอหันไปมองพันธินแล้วยิ้มให้ ไม่แน่ใจหรอกว่าเขามองเห็นไหมเลยยกนิ้วโป้งให้เขารู้ว่าเธอรู้แล้ว
เราต่างยืนมองพระจันทร์กำลังทรงกลด ก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายโบกมือลาแล้วเข้ามาในห้องนอน พอมองไปที่หน้าต่างซึ่งหันหน้าไปทางระเบียงก็เห็นว่าพันธินไม่อยู่แล้ว คนหน้าหินมีน้ำใจเหมือนกันแฮะ
บ้านติดกัน โบกมือให้กันก็เรื่องปกติแหละ ถึงที่ผ่านมาจะไม่เคยทำก็เถอะ
จะมา up เรื่อยๆ นะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านค่ะ
อัมราน_บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 177
แสดงความคิดเห็น