ภาคโซมายา บทที่ 6 ตัดสินใจไปโซมายา
ความมืดโรยตัวครอบคลุมทั้งเมืองลงมาอย่างช้าๆ หลังลำแสงสุดท้ายกลืนหายไปกับเหลี่ยมอาคาร แสงไฟตามถนนหนทางเจิดจ้าไม่ต่างอะไรกับดวงตาของนกกลางคืนที่คอยสอดส่องและเฝ้าระวังอันตรายให้ชาวเมือง เอลลานีนยกมือขึ้นมาขยี้ตาอย่างงัวเงีย สำรวจรอบตัวก็เห็นว่าบ้านมืดสนิท นี่เธอคงเผลอนอนหลับไปนานอย่างไม่ตั้งใจ เด็กสาวหยัดกายลุกจากโซฟาเดินไปเปิดสวิตช์เพื่อขับไล่ความมืด
ขณะที่เดินมะงมมะงาหราคลำหาสวิตช์ไฟอยู่นั้น จู่ๆ ขนที่หลังคอก็ลุกชูชันอย่างไม่มีสาเหตุเหมือนกำลังถูกจับตามอง เธอจึงเบนสายตาไปทางห้องครัว แล้วก็ต้องตกใจเมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ยืนเป็นเงาตะคุ่มกลางห้องครัว แสงไฟสลัวจากถนนลอดเข้ามาทำให้มองเห็นเส้นขนรกรุงรังปกคลุมร่าง ดวงตาสีเขียวเรืองจ้องเป๋งมาทางจุดที่เด็กสาวยืนประจัญหน้ากับมัน แต่นั่นก็ไม่เท่ากับกลิ่นรุนแรงที่มาจากร่างของมัน
"มากันอีกแล้วเหรอเนี่ย" เธอสบถ พยายามที่จะไม่แสดงอาการหวาดกลัวให้ตัวประหลาดรู้สึกได้ นึกภาวนาขออย่าให้คู่บ่าวสาวโผล่มาในยามนี้เลย
"สะ...สวัสดี คงไม่ได้มาจับฉันหรอกนะ" เธอว่าพร้อมกับตั้งท่าจะขยับ แต่เสียงขู่จากเจ้าขนหนาทำให้เอลลานีนฉงักกึก
"มะ...ไม่ขยับแล้วก็ได้" เธอว่า พร้อมกับจ้องอีกฝ่ายไม่วาง ส่วนเจ้าขนหนาก็เหมือนว่าจะหยั่งเชิงเธอเหมือนกัน
เนิ่นนานที่ทั้งคู่จ้องกันอยูอย่างนั้น ในที่สุดฝ่ายของลิงยักษ์ก็สิ้นสุดความอดทนก่อน มันขยับตัวก่อนจะกระโจนจากห้องครัวเข้าหาเด็กสาวด้วยพลังกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง เอลลานีนกระโดดหลบอย่างว่องไว กรงเล็บของมันพลาดเป้าฟาดใส่เฟอร์นิเจอร์จนแตกหัก เด็กสาวฉวยเก้าอี้ใกล้ตัวเหวี่ยงใส่ร่างที่กำลังจะถลันเข้าหาเธออีกครั้งอย่างแรง
'โคร่ม' แรงปะทะทำให้ร่างของลิงยักษ์เสียหลัก เพียงไม่นานมันก็กลับมาเล่นงานเด็กสาวอีก คราวนี้ทั้งรวดเร็วและรุนแรง ลิงยักษ์โถมร่างเข้าหาเด็กสาว เสียงกรีดอากาศจากกรงเล็บที่ตามไล่หลังในขณะที่เธอกลิ้งหลบหลีกหนีตายเฉียดผ่านร่างไปอย่างหวุดหวิด เอลลานีนตัดสินใจดีดตัวกระโดดข้ามไปยืนของอีกฟากหนึ่งของโซฟาเพื่อประจัญหน้ากับเจ้าปีสาจ พลังมหาศาลจากกำลังแขนของมันกระชากโซฟาที่ขั้นกลางลอยไปตกกองกับซากปลักหักพังของเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ระหว่างเด็กสาวและปีสาจมีเพียงความว่างเปล่ากางกั้นเท่านั้น ดวงตาสีเขียวเรืองจ้องเธอไม่วางก่อนจะกู่ร้องเสียงสยดสยองชวนขวัญผวาออกมา
แสงเรืองๆ ปรากฏบนกรงเล็บของลิงยักษ์ ไม่นานตาข่ายเถาวัลย์ก็ก่อรูปร่างขึ้น มันพุ่งตรงมายังจุดที่เด็กสาวยืนอยู่ เอลลานีนไม่มีทางที่จะหนีได้ เธอจึงโถมกำลังทั้งหมดออกแรงวิ่งตรงเข้าหาลิงยักษ์ แล้วกระโดดลอยตัวข้ามเถาวัลย์ที่กำลังพุ่งตรงมายังจุดที่เธอยืนอยู่ ทุ่มกำลังทั้งหมดลงเท้าทั้งสอง เล็งไปที่ยอดอกของมันแล้วถีบเข้าเต็มแรง ก่อนที่ร่างของเธอจะตกกระทบพื้นพร้อมกับเสียงล้มกระแทกพื้นของมันดังสนั่น เด็กสาวไม่อยู่ฟังผล เธอกลิ้งร่างอวบๆ ออกให้ห่างจุดอันตรายอย่างรวดเร็ว
ปีสาจลิงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว มันลุกยืนเต็มความสูง ดวงตาสีเขียวเรืองกวาดมองหาเหยื่ออย่างเอาเป็นเอาตาย หมายใจจะแก้แค้นให้สาสม เด็กสาวสะดุ้งวาบเมื่อดวงตาสีเขียวมองเห็นร่างของเธอที่หลบอยู่ใต้โต๊ะกินข้าว มันยกกรงเล็บขึ้นจากนั้นก็ฟาดใส่โต๊ะที่เธอใช้หลบอยู่เต็มแรง พลันโต๊ะกินข้าวของบ้านก็กลายเป็นเศษซากกระจัดกระจาย ขณะที่เอลลานีนจะกลิ้งหลบให้พ้นวิถีกรงเล็บ พลังลึกลับสายหนึ่งก็ดึงร่างของเธอให้เคลื่อนเข้าหาปีสาจลิงยักษ์อย่างรวดเร็วและรุนแรง
เด็กสาวพยายามต้านทานแรงดูดโดยการจิกเล็บลงบนพื้นกระเบื้อง ท้ายที่สุดร่างของเธอก็เคลื่อนเข้าใกล้ปีสาจไปทุกที แต่นั่นก็ไม่น่าตระหนกไปมากกว่าการที่เห็นเถาวัลย์ปีสาจกำลังเลื้อยตรงมาทางเธอ เอลลานีนดิ้นรนเมื่อถูกเถาวัลย์รัดแขนรัดขาจนไม่สามารถกระดิกได้อีกต่อไป ปีสาจลิงแสยะยิ้ม แต่มันกลับสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับเด็กสาวเป็นกำลังเมื่อเธอมองเห็นเขี้ยวขาววาววับของมันถนัดชัดตา ขณะที่เอลลานีนสิ้นหวังกับตัวเองอยู่นั้นจู่ๆ สิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายก็อุ่นวาบจนเด็กสาวต้องยกมือขึ้นมากุม
'ฉับ!...ฉับ!...ฉับ!' พลัน...เถาวัลย์ที่พันธนาการเธอนั้นก็ถูกตัดขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ใช่แต่เอลลานีนที่ตกใจ เจ้าลิงยักษ์ที่เป็นเจ้าของตาข่ายเองยังเบิกตาโตอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ยิ่งเมื่อได้เห็นลำแสงสีฟ้าพุ่งลอดง่ามนิ้วมือที่เธอยกขึ้นมากุมตรงตำแหน่งกระเป๋าเสื้อก่อเป็นรูปร่างของนกตัวโตสีฟ้าเรืองรองยืนสะบัดปีกปกป้องเธอด้วยแล้ว ปีสาจลิงก็เหมือนจะระมัดระวังตัวขึ้นเป็นเท่าตัว
"สัญลักษณ์เทซนิม" เธออุทาน เจ้านกยักษ์เพียงค้อมศีรษะให้เธออย่างเคารพก่อนจะหันไปประจัญหน้ากับปีสาจลิงยักษ์เบื้องหน้า
เพียงอึดใจทั้งนกยักษ์และลิงยักษ์ก็กระโจนเข้าหากัน เกิดฉากต่อสู้อันแสนพิสดารพันลึกจนสายตาคนธรรมดาอย่างเอลลานีนมองตามไม่ทัน เด็กสาวได้แต่หวังว่าจะไม่เกิดอันตรายกับคนในเมือง เหมือนว่าสัญลักษณ์เทซนิมจะรับรู้ความวิตกกังวลของเธอ เพราะมันพยายามพาเจ้าลิงยักษ์ให้ออกห่างจากตัวบ้านและชุมชน ไม่นานเสียงอึกทึกครึกโครมของสองปีสาจที่ไล่ตีกันก็ดังห่างออกไป
"เอลล่า! เอลล่า! อยู่ในบ้านใช่ไหม เปิดประตูให้พี่เดียวนี้" เสียงฝามือฟาดประตูรัวๆ และเสียงตะโกนอย่างวิตก
ของอลิเซียทำให้เอลลานีนสะดุ้งโหยง เด็กสาวกระพริบตาเรียกสติแล้วก็ถลันไปที่ประตูแล้วกระชากเปิดออกอย่างแรง
"กรี๊ด! ...โคร่ม!" เสียงหวีดร้องพร้อมกับร่างของอลิเซียและแดนนี่ล้มกลิ้งไม่เป็นท่าหลังจากประตูเปิดผลัวะทำให้เอลลานีนยิ่งตระหนก
"เอ่อ!...ฉะ...ฉันขอโทษ" เด็กสาวเข้าไปประคองผู้เป็นพี่ให้ลุกขึ้นแล้วพามานั่งยังโต๊ะกินข้าว
"เกิดอะไรขึ้น" อลิเซียและแดนนี่ถามขึ้นพร้อมกันเมื่อเห็นสภาพเละเทะภายในบ้านอย่างถนัดชัดตา รวมถึงสภาพดูไม่จืดของเด็กสาวที่ยังคงหน้าซีดด้วย เด็กสาวจึงรวบรวมพลังกายและพลังใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทั้งคู่ฟัง ทั้งยังไม่ลืมเล่าความวิเศษของสัญลักษณ์เทซนิมที่บุรุษลึกลับให้มาด้วย
"พรุ่งนี้แล้วสินะ" อลิเซียรำพึง
"พรุ่งนี้อะไร" แดนนี่ถามภรรยาอย่างไม่เข้าใจ แต่พอเห็นสภาพยับเยินทั้งคนและของก็นึกเรื่องที่คุยกันเมื่อวานขึ้นมาได้
"เอลล่า พี่คิดว่าเราจะต้องไปอยู่ที่เทซนิมจริงๆ แล้วล่ะ" น้ำเสียงจริงจังของอลิเซียทำให้เด็กสาวไม่กล้าจะโต้เถียง
"ไปเถอะนะ พี่ขอร้อง พี่กลัวว่า...ถ้าเรายังฝืนอยู่ที่นี่ต่อไป พี่จะไม่สามารถปกป้องเราได้ พี่ไม่อยากสูญเสียใครไปอีกแล้ว ปกป้องชีวิตของตัวเองเพื่อพี่เถอะนะ อย่างน้อยพี่ก็ได้รู้ว่าน้องสาวของพี่ยังมีชีวิตอยู่ที่ไหน" น้ำตากลิ้งจากดวงตาหม่นเศร้าไหลอาบแก้ม เอลลานีนโผเข้ากอดพี่สาวอย่างซาบซึ้ง
"ได้ๆ ฉันจะไปพี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ฉันจะดูแลตัวเองอย่างดี ว่าแต่พี่อยู่ที่นี่ก็ดูแลตัวเองด้วยนะ" อลิเซียพยักหน้าอย่างเศร้าสร้อย เธอกอดร่างน้องสาวตัวน้อยอย่างรักใคร่
"พรุ่งนี้พี่จะไปส่ง" เธอว่าพร้อมกับผละจากอ้อมกอดแล้วดันหลังเด็กสาวให้ขึ้นไปพักผ่อน
ท่าเรือของเมืองลูน่าไม่ได้เงียบเหงาวังเวงอย่างที่เด็กสาวเข้าใจ แต่กลับมีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยสีสัน อาคารสูงตระหง่านเรียงรายไปตามริมน้ำ เรือสินค้าขนาดใหญ่และเรือโดยสารแล่นเข้าออกท่าเรืออย่างต่อเนื่อง มนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์มากมายเดินจับจ่ายใช้สอยกันบนถนน มีร้านจำหน่ายสินค้าหน้าตาแปลกๆ ตั้งเรียงราย ทั้งยังร้านอาหารประจำเมืองต่างๆ เพื่อรอต้อนรับมนุษย์และอมนุษย์ที่ย่างเข้ามายังเมืองลูน่ามากมายซึ่งนั่นทำให้ย่านนี้ไม่เคยหลับไหล เอลลานีนมองรอบตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ เพราะเป็นครั้งแรกที่เด็กสาวได้มีโอกาสมาท่าเรือแห่งนี้ แม้ว่าจะรู้จักกับคุณแอนดรูเจ้าหน้าที่ประจำท่าเรือ แต่เด็กสาวก็ไม่เคยย่างกรายเข้ามาเลยสักครั้ง สองพี่น้องเดินนำโดยมีแดนนี่แบกกระเป๋าเดินตามเข้าไปยังลานกว้างที่คนส่วนใหญ่ยืนต่อแถวกันอยู่
ลานจัตตุรัสแห่งนี้เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่สำหรับชาวมนุษย์ที่มีความหวังจะเดินทางไปยังเมืองโซมายา เมืองที่มนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขและเท่าเทียม เป้าหมายหลักของชาวลูน่าที่ต้องการส่งลูกหลานไปทำงานหรือเรียนที่โซมายานั้น ประการแรกเพียงเพื่อจะได้รับการนับหน้าถือตา ได้รับอภิสิทธิ์พิเศษให้ชาวมนุษย์เรียนรู้ที่จะใช้เวทมนต์และพลังวิเศษจากแม่มด เผ่ามังกร แม้กระทั่งมนต์วิเศษจากชาวภูติก็ไม่เป็นข้อยกเว้น เพื่อช่วยเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นผู้วิเศษ และสามารถกลับมาปกครองเมืองลูน่าได้เทียมเท่ากับชนเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งกว่าด้วย
อีกประการคือต้องการไปทำงานในคฤหาสน์ของคนที่มีชื่อเสียงในโซมายา ชาวลูน่าเชื่อว่าการที่มนุษย์ผู้ไร้ซึ่งพลังวิเศษใดๆ ปกป้องนั้น ถ้ามนุษย์ผู้ชายได้อยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์ที่มีพลังวิเศษร่างกายของพวกเขาจะสามารถดูดซับพลังวิเศษและแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป และถ้าโชคดีก็จะสามารถกลายเป็นผู้วิเศษได้ด้วย
ส่วนผู้หญิงนั้นถ้าได้แต่งงานกับชาวโซมายาไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของพวกเธอก็จะกลายเป็นคนในเผ่าพันธุ์นั้นทันที และเผ่าพันธุ์นั้นๆ ก็จะต้องให้เกียรติและให้ความเคารพพวกเธอไม่ต่างจากผู้ปกครองเมืองเลย แม้ว่าผู้ที่พวกเธอแต่งงานด้วยจะเป็นชนชั้นทหารหรือไพร่ก็ได้รับการปฏิบัติไม่ต่างกัน แต่ก็เป็นส่วนน้อยที่ต่างเผ่าพันธุ์จะเลือกใช้ชีวิตกับมนุษย์ เพราะต้องการคงสายเลือดบริสุทธิ์ไว้ โชคดีที่เอลลานีนอ่านวิถีชีวิต วัฒนธรรมและกฎข้อบังคับของดินแดนนี้มาบ้าง จึงไม่แปลกใจที่ได้เห็นแอมเบอร์และเบลล่ายืนปะปนกับคนอื่นๆ ในลานจัตุรัสแห่งนี้ด้วย พวกเธอคงต้องการไปทำงานในคฤหาสน์ผู้ดีมากกว่าจะต้องทนไปนั่งเรียนกับชาวโซมายาเป็นแน่
อลิเซียและแดนนี่พาเด็กสาวมาส่งยังแถวของคฤหาสน์เทซนิม นกโลหะสีน้ำเงินตัวใหญ่ยืนกางปีกประจัญหน้ากับเอลลานีนและเด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนก้มหน้าคอตกอยู่เบื้องหน้า เอลลานีนมองไม่เห็นสีหน้าของเขา สังเกตจากการที่เขาสวมเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงวอร์มรวมถึงรองเท้าผ้าใบสีซีดๆ เด็กหนุ่มน่าจะมีวัยรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ ดูจากท่าทางก้มหน้าคอตกของเขาเหมือนจะถูกภาวะจำยอมให้มายืนยังที่ตรงนี้ไม่จากเธอสักเท่าไหร่ อลิเซียและแดนนี่แยกตัวไปยืนรวมกลุ่มกับพ่อแม่ของเขา เด็กสาวได้ยินเสียงทักทายสอบถามจากสองครอบครัวไม่นานพวกเขาก็พูดคุยกันอย่างสนิทสนม และดูเหมือนว่าทั้งสองครอบครัวมีความเห็นอกเห็นใจกันเสียด้วย
ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยสาดแสงไปทั่วผืนดิน บรรยากาศในแถวของผู้สมัครเพื่อเข้ารับคัดเลือกให้ไปทำงานประจำคฤหาสน์ของเศรษฐีนั้นหดสั้นลงเรื่อยๆ มีทั้งเสียงร้องไห้ของผู้ที่ไม่ผ่านการคัดเลือก และเสียงหัวเราะอย่างสมหวังจากผู้ที่ถูกเลือกดังปะปนกันไป ต่างจากแถวของคฤหาสน์เทซนิมที่ยังคงเงียบเชียบ แถมผู้สมัครที่นอกจากเอลลานีนและเด็กหนุ่มผอมแห้งแล้วก็ไม่มีใครมาต่อแถวอีก เด็กสาวถอนใจอย่างหดหู่เมื่อเงยหน้ามองตรงก็เห็นแต่นกยักที่ยืนตัวแข็งทื่อจ้องตอบกลับมา ไม่มีพ่อบ้านแม่บ้านประจำคฤหาสน์อย่างแถวอื่นๆ โผล่มาให้เห็นเลยสักคน
"สงสัยจะถูกอีตานั่นหลอกเข้าแล้ว" เธอพึมพำอย่างเซ็งๆ แล้วก็เลื่อนสายตาจ้องมองแผ่นหลังของเพื่อนร่วมชะตากรรมแทน แต่เหมือนว่าเด็กหนุ่มจะทนการจ้องอย่างไร้มารยาทของเอลลานีนไม่ไหวจึงหันกลับมามอง ดวงตาสีเขียวมรกตมองเธออย่างสงสัย แต่พอเอลลานีนจะอ้าปากชวนคุยเขาก็หันหลังให้เธอเสียเฉยๆ ปิดกั้นการสนทนาทุกทาง เด็กสาวถอนใจอย่างเบื่อหน่ายแล้วก็ปรายตามองไปยังจุดที่อลิเซียและแดนนี่ยืนอยู่ก็เห็นพวกเขาทอดมองมาอย่างเศร้าสร้อย เธอจึงส่งยิ้มปลอบใจให้กับทุกคนรวมถึงครอบครัวของเด็กหนุ่มด้วย
"อุ๊ย! ดูสิเบลตัวกาลากินีมาด้วยเหรอเนี่ย" เสียงแหลมๆ ของแอมเบอร์แม่หัวหน้าห้องผมแดงและเบลล่ายายขี้โรคผอมกะหร่องยืนอยู่ไม่ห่าง สีหน้าเบิกบานเหมือนจานเชิงของพวกเธอทำให้เอลลานีนรู้ว่าทั้งคู่คงผ่านการคัดเลือกแล้ว ปรายตามองป้ายสัญลักษณ์ประจำคฤหาสน์ที่คล้องบนลำคอก็อดที่จะอิจฉาพวกเธอไม่ได้ เพราะคฤหาสน์ที่ทั้งคู่ถูกเลือกให้เข้าไปทำงานนั้นเป็นคฤหาสน์ประจำของเจ้าหญิงโรเซร่าธิดาองค์เล็กของราชาแม็คโรริกเจ้าเมืองโซมายา ที่สำคัญคฤหาสน์เบรย์เดนของเจ้าหญิงโรเซร่านั้นเป็นคฤหาสน์อันดับต้นๆ ที่ลูกหลานชาวลูน่าอยากเข้าไปอยู่มากที่สุด
"อยากมีเรื่องหรือยังไง" คนที่ตอบโต้ไม่ใช่เอลลานีนแต่เป็นอลิเซีย เด็กสาวส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปราม แดนนี่เองก็พยายามปลอบใจภรรยาให้ใจเย็นลง แต่เหมือนพวกเธอจะไม่สนใจ เพราะคิดว่าถ้ายุให้อลิเซียโมโหและอาละวาดได้ก็จะส่งผลเสียต่อเอลลานีน
"อยากมากเลย พี่จะทำอะไรพวกฉันล่ะ เอาเล้ยสี้" เป็นแอมเบอร์ที่ลอยหน้าลอยตาท้าทาย อลิเซียจ้องพวกเธอกลับอย่างเอาเรื่อง เอลลานีนเห็นท่าไม่ดีจึงหันไปพูดกับพี่สาว
"พี่ฉันหิวมากเลย ไปซื้ออะไรให้กินหน่อยสิ" ไม่พูดเปล่ายังลูบท้องประกอบด้วย
"ไปหาอะไรให้น้องกินกันเถอะ ดูซินั่นหิวจนพุงโตออกมาแล้ว" คำพูดของแดนนี่ทำให้เด็กสาวถลึงตาใส่อย่างโมโหแต่กลับทำให้อลิเซียมีสีหน้าดีขึ้น เธอจึงหันไปขอตัวกับพ่อแม่ของเด็กหนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนร่วมแถวของน้องสาว แต่ก็ยังไม่วายทิ้งคำพูดเจ็บๆ คันๆ ให้เด็กสาวทั้งสองโมโหจนได้
"ถ้าอย่างนั้นนายอยู่เป็นเพื่อนน้องก็แล้วกันนะแดน ฉันกลัวว่าเอลล่าจะลงมือทำให้พวกไร้ประโยชน์บาดเจ็บน่ะ รอฉันอยู่ตรงนี้ก่อนนะพวกไร้ประโยชน์เดี๋ยวพี่สาวกลับมาหา คุณลุงคุณป้าเดี๋ยวหนูซื้ออะไรมาให้รองท้องนะคะ" ประโยคหลังอลิเซียหันไปพูดกับพ่อแม่ของเด็กหนุ่มเพื่อนร่วมชะตากรรมกับเอลลานีน
"พี่ก็ได้แต่ใช้ความรุนแรง ไม่เคยใช้สมองเลย" ยังคงเป็นแอมเบอร์ที่ท้าทายอำนาจมืด อลิเซียหยุดเท้าที่กำลังจะออกเดินหันมาแสยะยิ้ม
"ใช่แล้วจ้ะ ก็คนอย่างพวกเธอใช้สมองไปก็ไม่มีประโยชน์นี่นา คุยกันด้วยเหตุผลรู้เรื่องกันที่ไหน กี่ปีล่ะที่ฉันกับน้องใช้สมองกับพวกเธอ แล้วสิ่งที่ได้รับกลับมาคืออะไร ก็ไม่ใช่ความรุนแรงที่พวกเธอทำกับน้องสาวของฉันหรอกหรือ ไม่ต้องห่วงนะแอมเบอร์ เบลลา เพราะต่อจากนี้มีแต่ความรุนแรงที่จะตอบกลับไป เธอทำร้ายน้องสาวฉันมากเท่าไหร่ ฉันจะเอาคืนให้น้องสาวของฉันหลายเท่าตัวเลยล่ะ เตรียมตัวรับมือให้ดีเถอะ" อลิเซียจ้องเด็กสาวทั้งสองอย่างดุดัน กว่าที่ทั้งเบลลาและแอมเบอร์จะบังคับให้สายตาเบนไปทางอื่นได้นั้นก็รู้สึกหวาดวิตกไปเสียแล้ว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 253
แสดงความคิดเห็น